คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ม. 90

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 7 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10125/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์และมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย: การลงโทษและบทริบของกลาง
ร้านขายยาที่เกิดเหตุเป็นของจำเลยที่ 2 ที่ให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างดำเนินการซื้อและขายยาแทน จำเลยที่ 1 ได้ขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 10 เม็ด ให้แก่สายลับ เมื่อเจ้าพนักงานเข้าไปตรวจค้นพบวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และประเภท 4 ภายในร้านขายยานั้น โดยจำเลยที่ 2 ก็ทราบดีว่ามีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และประเภท 4 อยู่ในร้านดังกล่าว แม้ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 มิได้อยู่ในร้าน แต่ตามพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายยาและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จำนวน 10 เม็ด ให้แก่สายลับ และมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และประเภท 4 ไว้ในครอบครองเพื่อขาย
การขายและการมีวัตถุออกฤทธิ์ไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ตามนิยาม คำว่า "ขาย" ใน พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4 มิใช่เป็นความผิดหลายบท
ความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 เป็นความผิดที่มีบทความผิดและบทลงโทษคนละมาตรากับความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 จึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน
เมื่อการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 16 วรรคหนึ่ง, 89, 90 ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว ก็ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรหนึ่ง และวรรคสอง ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
ศาลล่างทั้งสองมิได้สั่งริบวัตถุออกฤทธิ์ให้แก่กระทรวงสาธารณสุขตามมาตรา 116 เป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1688/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษจากครอบครองเพื่อขายเป็นครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และอำนาจการริบของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ไว้ในครอบครองเพื่อขายตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 16 วรรคหนึ่ง, 90 ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง, 106 วรรคสอง ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุก 8 เดือน แม้จะเป็นการแก้ไขมาก แต่มิได้เป็นการเพิ่มเติมโทษจำคุกจำเลย เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219
แม้เรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่การที่จำเลยฎีกาอ้างว่าการสอบสวนไม่ชอบ เนื่องจากพนักงานอัยการได้มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีแล้ว พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนโดยการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม แก่จำเลยอีก ซึ่งจะเป็นจริงตามที่จำเลยอ้างหรือไม่จะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวน ฎีกาข้อนี้ของจำเลย จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานมีเฟนโพรพอเรกซ์ไว้ในครอบครองของจำเลยเพื่อขาย ขอให้ ลงโทษตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 16 และ 90 ความผิดดังกล่าวย่อมรวมถึงการมีเฟนโพรพอเรกซ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 62 วรรคหนึ่ง และ 106 วรรคสอง อยู่ด้วย ถือได้ว่าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง ซึ่งแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง เมื่อทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยมีเฟนโพรพอเรกซ์ไว้ในครอบครอง ศาลย่อมมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีเฟนโพรพอเรกซ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งมีบทลงโทษเบากว่าตามที่พิจารณาได้ความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้ายได้
วัตถุออกฤทธิ์ที่จะริบให้แก่กระทรวงสาธารณสุขตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 116 ต้องเป็นกรณีที่มีการลงโทษตามมาตรา 89 มาตรา 90 มาตรา 99 มาตรา 100 หรือมาตรา 101 ศาลมิได้ลงโทษจำเลยตามมาตราดังกล่าว จึงไม่อาจริบเฟนโพรพอเรกซ์ของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุขได้ แต่วัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวผู้ใดมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดซึ่งตาม ป.อ. มาตรา 32 ให้ริบเสียทั้งสิ้น ดังนี้ ศาลย่อมมีอำนาจริบเฟนโพรพอเรกซ์ของกลางได้ตาม ป.อ. มาตรา 32

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1688/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 219 และการลงโทษฐานครอบครองวัตถุออกฤทธิ์โดยไม่มีคำขอท้ายฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ไว้ในครอบครองเพื่อขายตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ มาตรา 16 วรรคหนึ่ง,90 ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ มาตรา 62 วรรคหนึ่ง,106 วรรคสอง ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุก8 เดือน แม้จะเป็นการแก้ไขมาก แต่มิได้เป็นการเพิ่มเติมโทษจำคุกจำเลย เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน2 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่การที่จำเลยอ้างว่าการสอบสวนไม่ชอบเนื่องจากพนักงานอัยการได้มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีแล้ว พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจที่จะสอบสวนโดยการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่จำเลยอีก ซึ่งจะเป็นจริงตามที่จำเลยอ้างหรือไม่จะต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานมีเฟนโพรพอเรกซ์ไว้ในครอบครองของจำเลยเพื่อขาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ มาตรา 16และ 90 ซึ่งความผิดดังกล่าวย่อมรวมถึงการมีเฟนโพรพอเรกซ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 62 วรรคหนึ่งและ 106 วรรคสอง อยู่ด้วย ถือได้ว่าความผิดตามที่ฟ้องรวมการกระทำหลายอย่าง ซึ่งแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลย่อมมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลย ในความผิดฐานมีเฟนโพรพอเรกซ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งมีบทเบากว่าตามที่พิจารณาได้ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้ายได้
กรณีที่จะริบวัตถุออกฤทธิ์ให้แก่กระทรวงสาธารณสุขตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯ มาตรา 116นั้น ต้องเป็นกรณีที่มีการลงโทษตามมาตรา 89,90,99,100 หรือ 101 หากมิได้ลงโทษจำเลยตามมาตราดังกล่าวก็ไม่อาจริบวัตถุออกฤทธิ์ให้แก่กระทรวงสาธารณสุขได้ แต่วัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าวหากผู้ใดมีไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตเป็นความผิดจึงต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1244/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดฐานนำเข้ายาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ฯ เป็นกรรมเดียว ลดโทษตามเหตุปรานี
เฮโรอีนของกลางทั้งหมดแต่ละก้อนถูกผสมด้วยฟีโนบาร์บิตาลและไดอาซีแพม ซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 รวมอยู่ด้วย จึงเป็นวัตถุอันเดียว การที่ จำเลยมีและนำเข้าซึ่งเฮโรอีนและวัตถุออกฤทธิ์ดังกล่าว เป็นการกระทำคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำผิด เพียงกรรมเดียว เหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78เพราะมีเหตุอันควรปรานี ไม่จำกัดเฉพาะที่บัญญัติไว้เท่านั้นเหตุอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกันศาลก็อาจนำมาพิจารณาวินิจฉัยลดโทษให้ได้ พฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยเดินทางเข้ามา ในราชอาณาจักรไทยนั้น ไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าพนักงาน ของรัฐเมื่อถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดเพราะไม่รู้หนังสือ และกฎหมายไทยไม่มีญาติพี่น้องที่จะติดต่อขอความช่วยเหลือได้ จำเลยเป็นผู้ตกอยู่ในความทุกข์อย่างแสนสาหัส และจำเลย ได้รับความช่วยเหลือทางด้านคดีเมื่อได้ถูกฟ้องคดีต่อศาลแล้ว โดยศาลขอแรงทนายความให้แก้ต่างให้ กรณีจึงมีเหตุอันควร ปรานีแก่จำเลย สมควรลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบกับมาตรา 53

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1244/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดฐานนำเข้ายาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ ศาลพิจารณาโทษโดยคำนึงถึงเหตุบรรเทาโทษและพฤติการณ์จำเลย
ปัญหาว่า การที่จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองนำเข้าซึ่งเฮโรอีน และนำเข้าซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4เป็นการกระทำความผิดเพียงกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกันเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง เฮโรอีนของกลางแต่ละก้อนถูกผสมด้วยพีโนบาร์บิตาลและไดอาซีแพม จึงเป็นวัตถุอันเดียว การที่จำเลยมีและนำเข้า ซึ่งเฮโรอีนและวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ดังกล่าวเป็นการกระทำคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำผิดเพียงกรรมเดียว ศาลอุทธรณ์ได้ลดโทษให้แก่จำเลยหนึ่งในสามโดยอาศัย เหตุที่คำให้การรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีของศาล โดยศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกเอาปัญหา ที่จำเลยเป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญาเพราะไม่รู้หนังสือไทยและกฎหมายไทย หรือตกอยู่ในความทุกข์อย่างแสนสาหัสมาพิจารณาวินิจฉัยแต่การที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้ยกปัญหาดังกล่าวมาลดโทษให้จำเลยเพราะเห็นว่าไม่จำเป็นหรือเห็นว่าไม่ใช่เหตุ ที่จะลดโทษให้ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ดังนี้ การที่ศาลไม่ได้ลดโทษให้จำเลยโดยเหตุดังกล่าวจึงไม่ใช่เรื่องที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีโดยคลาดเคลื่อนต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 พฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยซึ่งเป็นชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าพนักงานของรัฐเมื่อถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดเพราะจำเลยไม่รู้หนังสือและกฎหมายไทย ไม่มีญาติพี่น้องที่จะติดต่อขอความช่วยเหลือได้ และจำเลยเป็นผู้ตกอยู่ในความทุกข์อย่างแสนสาหัส ประกอบกับจำเลยได้รับความช่วยเหลือทางด้านคดีเมื่อได้ถูกฟ้องคดีต่อศาลแล้ว โดยศาลขอแรง ทนายความ ให้แก่ต่างให้ กรณีจึงมีเหตุอันควรปรานีแก่จำเลย ศาลฎีกาเห็นควรลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1244/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรวมกรรมความผิด - ลดโทษจำเลยตามมาตรา 78 เหตุจากความยากลำบากและสถานการณ์
ปัญหาว่า การที่จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง นำเข้าซึ่งเฮโรอีน และนำเข้าซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 เป็นการกระทำความผิดเพียงกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสอง
เฮโรอีนของกลางแต่ละก้อนถูกผสมด้วยฟีโนบาร์บิตาลและไดอาซีแพมจึงเป็นวัตถุอันเดียว การที่จำเลยมีและนำเข้าซึ่งเฮโรอีนและวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 4 ดังกล่าว เป็นการกระทำคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำผิดเพียงกรรมเดียว
ศาลอุทธรณ์ได้ลดโทษให้แก่จำเลยหนึ่งในสามโดยอาศัยเหตุที่คำให้การรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีของศาล โดยศาลอุทธรณ์มิได้หยิบยกเอาปัญหาที่จำเลยเป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญาเพราะไม่รู้หนังสือไทยและกฎหมายไทย หรือตกอยู่ในความทุกข์อย่างแสนสาหัสมาพิจารณาวินิจฉัยแต่การที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้ยกปัญหาดังกล่าวมาลดโทษให้จำเลยเพราะเห็นว่าไม่จำเป็นหรือเห็นว่าไม่ใช่เหตุที่จะลดโทษให้ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ดังนี้การที่ศาลไม่ได้ลดโทษให้จำเลยโดยเหตุดังกล่าว จึงไม่ใช่เรื่องที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีโดยคลาดเคลื่อนต่อ ป.อ.มาตรา 78
พฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยซึ่งเป็นชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ไม่สามารถสื่อสารกับเจ้าพนักงานของรัฐเมื่อถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดเพราะจำเลยไม่รู้หนังสือและกฎหมายไทย ไม่มีญาติพี่น้องที่จะติดต่อขอความช่วยเหลือได้ และจำเลยเป็นผู้ตกอยู่ในความทุกข์อย่างแสนสาหัส ประกอบกับจำเลยได้รับความช่วยเหลือทางด้านคดีเมื่อได้ถูกฟ้องคดีต่อศาลแล้ว โดยศาลขอแรงทนายความให้แก้ต่างให้ กรณีจึงมีเหตุอันควรปรานีแก่จำเลย ศาลฎีกาเห็นควรลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตาม ป.อ.มาตรา 78

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2377/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ฯ เจ้าของร้านมีส่วนร่วมความผิด แม้ไม่ได้เป็นผู้ขายโดยตรง
จำเลยเป็นเจ้าของร้านขายยาและเป็นผู้รับอนุญาตขายยาแผนโบราณที่ร้านขายยานั้น ใบทะเบียนพาณิชย์ก็ระบุว่าจำเลยเป็นผู้ขายยาสำเร็จรูปแผนปัจจุบันที่ร้านขายยานั้นด้วย ขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ในร้านขายยาขณะที่นางสาว ด.ขายวัตถุออกฤทธิ์ให้เด็กชายพ.จำเลยจึงเป็นผู้มีวัตถุออกฤทธิ์ไว้เพื่อขาย และร่วมกับนางสาว ด.ขายวัตถุออกฤทธิ์นั้น