พบผลลัพธ์ทั้งหมด 626 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1221/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองรถยนต์เช่าซื้อหลังศาลยกฟ้อง และผลกระทบต่อการยึดทรัพย์ชั่วคราว
เดิมรถยนต์อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ได้เอาประกันวินาศภัยโดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชำระเบี้ยประกันภัย โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์จากสัญญาประกันภัย ต่อมารถยนต์ถูกชนเสียหาย บริษัทรับประกันได้รับมอบไปจัดการซ่อม เมื่อโจทก์ร้องขอให้ศาลคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาโจทก์ได้นำยึดรถยนต์คันอื่นอีก 6 คัน เว้นแต่รถยนต์คันนี้ซึ่งอยู่ในอู่ของบริษัทผู้รับประกันภัยโจทก์มิได้นำยึด ดังนี้เห็นว่ารถยนต์คันนี้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 มาแต่ต้น การที่โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์จากสัญญาประกันภัยก็เพราะกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนี้ยังเป็นของโจทก์ในฐานะผู้ให้เช่าซื้อเท่านั้น ไม่อาจถือได้ว่ารถยนต์คันนี้กลับมาอยู่ในความครอบครองของโจทก์ ต้องถือว่าในระหว่างรถยนต์คันนี้ได้รับการซ่อมแซมอยู่ในอู่ของบริษัทผู้รับประกันภัย อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ตลอดมาจนเสร็จคดี เมื่อศาลพิพากษาให้ส่งมอบจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์คันนี้ให้โจทก์
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้มีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาและได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์ 4 คันจากจำเลยที่ 1 แล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีมอบรถยนต์ 4 คันนี้ให้โจทก์รักษาไว้ ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชนะคดีเฉพาะรถยนต์ 4 คันนี้ โดยฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ไม่มีอำนาจบอกเลิกสัญญาได้ ให้ยกฟ้องโจทก์ ในคำพิพากษามิได้กล่าวไว้ซึ่งวิธีการชั่วคราวที่ศาลสั่งไว้ในระหว่างพิจารณา ฉะนั้น จึงต้องถือว่าคำสั่งของศาลที่ให้ยึดรถยนต์ 4 คันนี้ไว้ชั่วคราวเป็นอันยกเลิกไปในตัว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(1) จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิได้รับรถยนต์ 4 คันนี้กลับคืนไปในฐานะผู้เช่าซื้อซึ่งมิได้ผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์ 4 คันนี้ไว้ได้ เพราะโจทก์มิใช่ผู้ครองรถยนต์ 4 คันนี้โดยมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่โจทก์ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 241 โจทก์เป็นแต่เพียงผู้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานบังคับคดีให้รักษารถยนต์ 4 คันนี้ไว้ในระหว่างถูกยึดไว้ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อการยึดทรัพย์ถูกยกเลิกไป โจทก์ในฐานะผู้รักษาทรัพย์ก็ต้องคืนรถยนต์ที่รับรักษาไว้แก่จำเลยที่ 1 ไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้มีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาและได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์ 4 คันจากจำเลยที่ 1 แล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีมอบรถยนต์ 4 คันนี้ให้โจทก์รักษาไว้ ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชนะคดีเฉพาะรถยนต์ 4 คันนี้ โดยฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ผิดสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ไม่มีอำนาจบอกเลิกสัญญาได้ ให้ยกฟ้องโจทก์ ในคำพิพากษามิได้กล่าวไว้ซึ่งวิธีการชั่วคราวที่ศาลสั่งไว้ในระหว่างพิจารณา ฉะนั้น จึงต้องถือว่าคำสั่งของศาลที่ให้ยึดรถยนต์ 4 คันนี้ไว้ชั่วคราวเป็นอันยกเลิกไปในตัว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(1) จำเลยที่ 1 จึงมีสิทธิได้รับรถยนต์ 4 คันนี้กลับคืนไปในฐานะผู้เช่าซื้อซึ่งมิได้ผิดสัญญา โจทก์ไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์ 4 คันนี้ไว้ได้ เพราะโจทก์มิใช่ผู้ครองรถยนต์ 4 คันนี้โดยมีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่โจทก์ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 241 โจทก์เป็นแต่เพียงผู้รับมอบหมายจากเจ้าพนักงานบังคับคดีให้รักษารถยนต์ 4 คันนี้ไว้ในระหว่างถูกยึดไว้ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อการยึดทรัพย์ถูกยกเลิกไป โจทก์ในฐานะผู้รักษาทรัพย์ก็ต้องคืนรถยนต์ที่รับรักษาไว้แก่จำเลยที่ 1 ไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ของผู้เช่าซื้อ และการฟ้องรวมค่าเสียหายของครอบครัว
ผู้ที่เช่าซื้อทรัพย์โดยมีข้อสัญญาว่าผู้เช่าซื้อจะระมัดระวังดูแลรักษาทรัพย์นั้นให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยคงเดิม การชำรุดเสียหายเป็นหน้าที่ของผู้เช่าซื้อจะต้องซ่อมแซม เมื่อทรัพย์นั้นถูกทำละเมิดให้เสียหาย และผู้เช่าซื้อได้ชำระเงินค่าซ่อมแซมไปแล้ว จึงเป็นผู้เสียหายโดยตรง มีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องรักษาตัวเกิน 20 วัน โจทก์ต้องรักษาตัว เสียค่ายา ค่ารักษา จึงขอคิดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายรวมทั้งค่าทนทุกข์ทรมาน 5,000 บาท ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม เพราะค่าเสียหายเป็นค่าอะไร เท่าใดเสียให้แก่ใคร เมื่อใด และเพราะเหตุใดนั้น เป็นรายละเอียดซึ่งต้องนำสืบในชั้นพิจารณา(อ้างฎีกาที่ 497/2499)
โจทก์เช่าซื้อรถมาใช้ในครอบครัวระหว่างโจทก์และสามีโจทก์ โดยใช้ไปทำงานด้วยกันโดยสามีโจทก์เป็นผู้ขับ เมื่อจำเลยทำละเมิดทำให้รถดังกล่าวเสียหายต้องเข้าอู่ซ่อม เป็นเหตุให้โจทก์และสามีโจทก์ต้องจ้างรถยนต์รับจ้างไปทำงานและรับแพทย์มารักษาโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวรวมกันมาได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องรักษาตัวเกิน 20 วัน โจทก์ต้องรักษาตัว เสียค่ายา ค่ารักษา จึงขอคิดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายรวมทั้งค่าทนทุกข์ทรมาน 5,000 บาท ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม เพราะค่าเสียหายเป็นค่าอะไร เท่าใดเสียให้แก่ใคร เมื่อใด และเพราะเหตุใดนั้น เป็นรายละเอียดซึ่งต้องนำสืบในชั้นพิจารณา(อ้างฎีกาที่ 497/2499)
โจทก์เช่าซื้อรถมาใช้ในครอบครัวระหว่างโจทก์และสามีโจทก์ โดยใช้ไปทำงานด้วยกันโดยสามีโจทก์เป็นผู้ขับ เมื่อจำเลยทำละเมิดทำให้รถดังกล่าวเสียหายต้องเข้าอู่ซ่อม เป็นเหตุให้โจทก์และสามีโจทก์ต้องจ้างรถยนต์รับจ้างไปทำงานและรับแพทย์มารักษาโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวรวมกันมาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องผู้เช่าซื้อเรียกค่าเสียหายจากละเมิดต่อรถยนต์ และการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนที่เกี่ยวข้อง
ผู้ที่เช่าซื้อทรัพย์โดยมีข้อสัญญาว่าผู้เช่าซื้อจะระมัดระวังดูแลรักษาทรัพย์นั้นให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยคงเดิม การชำรุดเสียหายเป็นหน้าที่ของผู้เช่าซื้อจะต้องซ่อมแซม เมื่อทรัพย์นั้นถูกทำละเมิดให้เสียหาย และผู้เช่าซื้อได้ชำระเงินค่าซ่อมแซมไปแล้ว จึงเป็นผู้เสียหายโดยตรง มีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องรักษาตัวเกิน 20 วัน โจทก์ต้องรักษาตัว เสียค่ายา ค่ารักษาจึงขอคิดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายรวมทั้งค่าทนทุกข์ทรมาน 5,000 บาท ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม เพราะค่าเสียหายเป็นค่าอะไรเท่าใดเสียให้แก่ใคร เมื่อใด และเพราะเหตุใดนั้น เป็นรายละเอียดซึ่งต้องนำสืบในชั้นพิจารณา(อ้างฎีกาที่ 497/2499)
โจทก์เช่าซื้อรถมาใช้ในครอบครัวระหว่างโจทก์และสามีโจทก์โดยใช้ไปทำงานด้วยกันโดยสามีโจทก์เป็นผู้ขับ เมื่อจำเลยทำละเมิดทำให้รถดังกล่าวเสียหายต้องเข้าอู่ซ่อม เป็นเหตุให้โจทก์และสามีโจทก์ต้องจ้างรถยนต์รับจ้างไปทำงานและรับแพทย์มารักษาโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวรวมกันมาได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องรักษาตัวเกิน 20 วัน โจทก์ต้องรักษาตัว เสียค่ายา ค่ารักษาจึงขอคิดค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายรวมทั้งค่าทนทุกข์ทรมาน 5,000 บาท ดังนี้ ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม เพราะค่าเสียหายเป็นค่าอะไรเท่าใดเสียให้แก่ใคร เมื่อใด และเพราะเหตุใดนั้น เป็นรายละเอียดซึ่งต้องนำสืบในชั้นพิจารณา(อ้างฎีกาที่ 497/2499)
โจทก์เช่าซื้อรถมาใช้ในครอบครัวระหว่างโจทก์และสามีโจทก์โดยใช้ไปทำงานด้วยกันโดยสามีโจทก์เป็นผู้ขับ เมื่อจำเลยทำละเมิดทำให้รถดังกล่าวเสียหายต้องเข้าอู่ซ่อม เป็นเหตุให้โจทก์และสามีโจทก์ต้องจ้างรถยนต์รับจ้างไปทำงานและรับแพทย์มารักษาโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวรวมกันมาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผ่อนเวลาชำระหนี้และทำสัญญาจำนองย่อมแสดงเจตนาที่จะไม่บังคับชำระหนี้เดิมจนกว่าจะครบกำหนดตามสัญญาจำนอง
โจทก์ให้จำเลยทำหนังสือรับรองหนี้ค่าเช่าซื้อที่จำเลยไม่ชำระตามกำหนดเวลาในสัญญาเช่าซื้อทั้งหมด และยอมให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อได้ต่อไปอีก 12 เดือนย่อมเป็นการที่จำเลยรับสภาพหนี้และโจทก์ยอมผ่อนเวลาการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อไปโดยมีกำหนดเวลาเมื่อถึงกำหนดเวลาจำเลยไม่ชำระ โจทก์ยอมให้จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยให้จำเลยเอาทรัพย์สินมาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้มีกำหนด 5 ปี ย่อมเป็นการรับสภาพหนี้ด้วยให้ประกันต่อมาโจทก์ยอมรับเอาการรับสภาพหนี้ด้วยการให้จำเลยเอาทรัพย์สินมาทำสัญญาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ โดยมิได้กำหนดเวลาการชำระค่าเช่าซื้อไว้เป็นอย่างอื่น นอกจากกำหนดเวลาตามสัญญาจำนอง 5 ปีเท่านั้น จึงต้องแปลเจตนาของโจทก์ว่าจะไม่บังคับการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อแก่จำเลยก่อนครบกำหนด 5 ปี เท่ากำหนดเวลาในสัญญาจำนองนั้นโจทก์จะอ้างว่ารับสภาพหนี้โดยไม่มีกำหนดเวลาและฟ้องตามสัญญาเช่าซื้อหาได้ไม่ เพราะยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่จำเลยจะชำระค่าเช่าซื้อตามที่โจทก์ได้ผ่อนเวลาให้จำเลยตามสัญญาจำนองนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผ่อนเวลาหนี้และการรับสภาพหนี้ใหม่โดยมีประกัน การตีความเจตนาของเจ้าหนี้
โจทก์ให้จำเลยทำหนังสือรับรองหนี้ค่าเช่าซื้อที่จำเลยไม่ชำระตามกำหนดเวลาในสัญญาเช่าซื้อทั้งหมด และยอมให้จำเลยชำระค่าเช่าซื้อได้ต่อไปอีก 12 เดือน ย่อมเป็นการที่จำเลยรับสภาพหนี้และโจทก์ยอมผ่อนเวลาการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อไปโดยมีกำหนดเวลา เมื่อถึงกำหนดเวลาจำเลยไม่ชำระ โจทก์ยอมให้จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยให้จำเลยเอาทรัพย์สินมาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้มีกำหนด 5 ปี ย่อมเป็นการรับสภาพหนี้ด้วยให้ประกัน ต่อมาโจทก์ยอมรับเอาการรับสภาพหนี้ด้วยการให้จำเลยเอาทรัพย์สินมาทำสัญญาจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ โดยมิได้กำหนดเวลาการชำระค่าเช่าซื้อไว้เป็นอย่างอื่น นอกจากกำหนดเวลาตามสัญญาจำนอง 5 ปีเท่านั้น จึงต้องแปลเจตนาของโจทก์ว่าจะไม่บังคับการชำระหนี้ค่าเช่าซื้อแก่จำเลยก่อนครบกำหนด 5 ปี เท่ากำหนดเวลาในสัญญาจำนองนั้น โจทก์จะอ้างว่ารับสภาพหนี้โดยไม่มีกำหนดเวลาและฟ้องตามสัญญาเช่าซื้อหาได้ไม่ เพราะยังไม่พ้นกำหนดเวลาที่จำเลยจะชำระค่าเช่าซื้อตามที่โจทก์ได้ผ่อนเวลาให้จำเลยตามสัญญาจำนองนั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 798/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงนอกสัญญาเช่าซื้อ และการนำสืบเปลี่ยนแปลงสัญญา, หน้าที่ผู้ให้เช่าในการดูแลทรัพย์สิน
เมื่อสัญญาเช่าซื้อไม่มีข้อความว่าให้จำเลยออกเงินทดรองค่าซ่อมรถที่จำเลยเช่าซื้อมาจากโจทก์แทนโจทก์ไปก่อนเช่นนี้ จำเลยจะนำสืบถึงข้อตกลงนี้ซึ่งนอกเหนือจากที่ปรากฏในสัญญาที่กฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือไม่ได้เป็นการสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสาร
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาโดยไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์ประเภทโดยสารรับจ้าง จำเลยต่อสู้ว่า ได้มอบเงินให้โจทก์ไปต่อใบอนุญาตแล้วโจทก์ไม่ต่อให้จึงไม่อาจใช้รถออกวิ่งรับคนโดยสารได้ตามวัตถุประสงค์ที่เช่าซื้อกันมา ดังนี้ แม้ในสัญญาเช่าซื้อไม่มีข้อความว่าโจทก์จะต้องต่อใบอนุญาตรถยนต์ให้จำเลยจำเลยก็นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวมาข้างต้นได้ ไม่ใช่เรื่องนำสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสาร
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาโดยไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์ประเภทโดยสารรับจ้าง จำเลยต่อสู้ว่า ได้มอบเงินให้โจทก์ไปต่อใบอนุญาตแล้วโจทก์ไม่ต่อให้จึงไม่อาจใช้รถออกวิ่งรับคนโดยสารได้ตามวัตถุประสงค์ที่เช่าซื้อกันมา ดังนี้ แม้ในสัญญาเช่าซื้อไม่มีข้อความว่าโจทก์จะต้องต่อใบอนุญาตรถยนต์ให้จำเลยจำเลยก็นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวมาข้างต้นได้ ไม่ใช่เรื่องนำสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 798/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงนอกสัญญาเช่าซื้อและการนำสืบแก้ไขสัญญา, หน้าที่ผู้ให้เช่าในการดูแลทรัพย์สิน
เมื่อสัญญาเช่าซื่อไม่มีข้อความว่าให้จำเลยออกเงินทดรองค่าซ่อมรถที่จำเลยเช่าซื้อมาจากโจทก์แทนโจทก์ไปก่อน เช่นนี้ จำเลยจะนำสืบถึงข้อตกลงนี้ซึ่งนอกเหนือจากที่ปรากฏในสัญญาที่กฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือไม่ได้ เป็นการสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสาร
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาโดยไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์ประเภทโดยสารรับจ้างจำเลยต่อสู้ว่า ได้มอบเงินให้โจทก์ไปต่อใบอนุญาตแล้วโจทก์ไม่ต่อให้ จึงไม่อาจใช้รถออกวิ่งรับคนโดยรับสารได้ตามวัตถุประสงค์ที่เช่าซื้อกันมา ดังนี้ แม้ในสัญญาเช่าซื้อไม่มีข้อความว่าโจทก์จะต้องต่อใบอนุญาตรถยนต์ให้จำเลย จำเลยก็นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวมาข้างต้นได้ ไม่ใช่เรื่องนำสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสาร
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาโดยไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์ประเภทโดยสารรับจ้างจำเลยต่อสู้ว่า ได้มอบเงินให้โจทก์ไปต่อใบอนุญาตแล้วโจทก์ไม่ต่อให้ จึงไม่อาจใช้รถออกวิ่งรับคนโดยรับสารได้ตามวัตถุประสงค์ที่เช่าซื้อกันมา ดังนี้ แม้ในสัญญาเช่าซื้อไม่มีข้อความว่าโจทก์จะต้องต่อใบอนุญาตรถยนต์ให้จำเลย จำเลยก็นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวมาข้างต้นได้ ไม่ใช่เรื่องนำสืบเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 787/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือชัดเจน และผลของการครอบครองทำประโยชน์เกิน 10 ปี ต่อการรับมรดก
ที่ว่า "สัญญาเช่าซื้อนั้น ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือท่านว่าเป็นโมฆะ" นั้น หมายถึงว่า คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องทำหนังสือสัญญานั้นขึ้นด้วย จึงจะผูกพันกันสัญญาเช่าซื้อที่มีแต่ผู้เช่าซื้อลงชื่อเพียงฝ่ายเดียวจึงไม่ผูกพันเจ้าของทรัพย์ที่ถูกอ้างว่าให้เช่าซื้อ
เมื่อฟ้องเรียกทรัพย์มรดกเกินกว่า 1 ปีนับแต่เจ้ามรดกตาย ทายาทผู้ครอบครองทรัพย์มรดกนั้นอยู่ย่อมยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้ และผู้รับมรดกจากทายาทย่อมอ้างสิทธิของทายาทผู้ครอบครองทรัพย์นั้นเป็นข้อต่อสู้ทายาทผู้ฟ้องเรียกมรดกได้เช่นเดียวกัน
เมื่อฟ้องเรียกทรัพย์มรดกเกินกว่า 1 ปีนับแต่เจ้ามรดกตาย ทายาทผู้ครอบครองทรัพย์มรดกนั้นอยู่ย่อมยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้ และผู้รับมรดกจากทายาทย่อมอ้างสิทธิของทายาทผู้ครอบครองทรัพย์นั้นเป็นข้อต่อสู้ทายาทผู้ฟ้องเรียกมรดกได้เช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 787/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือ การครอบครองปรปักษ์ และการอ้างสิทธิมรดก
ที่ว่า 'สัญญาเช่าซื้อนั้น ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือท่านว่าเป็นโมฆะ' นั้นหมายถึงว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องทำหนังสือสัญญานั้นขึ้นด้วยกันจึงจะผูกพันกันสัญญาเช่าซื้อที่มีแต่ผู้เช่าซื้อลงชื่อเพียงฝ่ายเดียวจึงไม่ผูกพันเจ้าของทรัพย์ที่ถูกอ้างว่าให้เช่าซื้อ
เมื่อฟ้องเรียกทรัพย์มรดกเกินกว่า 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตายทายาทผู้ครอบครองทรัพย์มรดกนั้นอยู่ย่อมยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้ และผู้รับมรดกจากทายาทย่อมอ้างสิทธิของทายาทผู้ครอบครองทรัพย์นั้นเป็นข้อต่อสู้ทายาทผู้ฟ้องเรียกมรดกได้เช่นเดียวกัน
เมื่อฟ้องเรียกทรัพย์มรดกเกินกว่า 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกตายทายาทผู้ครอบครองทรัพย์มรดกนั้นอยู่ย่อมยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้ และผู้รับมรดกจากทายาทย่อมอ้างสิทธิของทายาทผู้ครอบครองทรัพย์นั้นเป็นข้อต่อสู้ทายาทผู้ฟ้องเรียกมรดกได้เช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 266/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับจำนำเกินวงเงินที่กฎหมายกำหนด ไม่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของ พ.ร.บ.โรงรับจำนำ และสิทธิเจ้าของทรัพย์
จำเลยรับจำนำจักรไว้เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2505 เป็นเงิน 1,700 บาท ขณะนั้นพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.2480 ยังใช้บังคับอยู่ มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัตินี้บัญญัติให้รับจำนำประกันเงินกู้ซึ่งมีจำนวนไม่เกิน 400 บาท เมื่อเป็นเช่นนี้ จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.2480 การรับจำนำเช่นนี้ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การที่จำเลยรับจำนำจักรรายนี้ต่อเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2506 และออกตั๋วให้ใหม่ ไม่ทำให้เป็นการรับจำนำตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.2506 ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 31 ธันวาคม 2505
การที่จำเลยรับจำนำจักรรายนี้ต่อเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2506 และออกตั๋วให้ใหม่ ไม่ทำให้เป็นการรับจำนำตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.2506 ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ 31 ธันวาคม 2505