พบผลลัพธ์ทั้งหมด 406 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1979/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจยื่นคำร้องขอคืนของกลาง: ศาลต้องพิจารณาเนื้อหาคำร้องก่อน หากยังไม่เชื่อมั่นในตัวผู้ร้อง สิทธิยื่นคำร้องไม่ระงับ
ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์ของกลาง(ซึ่งศาลสั่งริบไว้) แก่ผู้ร้องครั้งหนึ่งแล้ว แต่ศาลสั่งยกคำร้องเสีย เพราะเห็นว่าข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดโตโยต้านครราชสีมาซึ่งเป็นผู้ร้องมีจริงหรือไม่ และเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางจริงหรือไม่ คำสั่งดังกล่าวเป็นการยกคำร้องโดยไม่เชื่อว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจยื่นคำร้อง ยังไม่ได้วินิจฉัยเนื้อหาแห่งคำร้องที่ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางมิได้รู้เห็นเป็นใจที่จำเลยนำไปใช้กระทำผิด สิทธิยื่นคำร้องของผู้ร้องจึงยังไม่ระงับไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1970/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเบิกความเท็จซ้ำ: สิทธิฟ้องไม่ระงับหากศาลยกฟ้องเนื่องจากคำฟ้องไม่ชัดเจน
จำเลยเคยถูก ข. ฟ้องว่าเบิกความเท็จมาแล้ว ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะฟ้องเคลือบคลุม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) โจทก์มาฟ้องจำเลยในคดีเดียวกันอีก คดีก่อนศาลยังไม่ได้วินิจฉัยความผิดซึ่งได้ฟ้อง ไม่เป็นฟ้องซ้ำตาม มาตรา 39(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 509/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวฟ้องซ้ำ สิทธิฟ้องระงับเมื่อมีคำพิพากษาเด็ดขาดแล้ว
โจทก์เป็นบิดาผู้ตาย ฟ้องจำเลยฐานฆ่าผู้ตายไว้ก่อน ต่อมาอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยฐานประมาททำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดลงโทษจำเลย คดีถึงที่สุด ดังนี้เมื่อการกระทำของจำเลยครั้งเดียวเป็นกรรมเดียวแม้จะถูกฟ้องต่างข้อหากัน เมื่อได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่อัยการฟ้องแล้วสิทธิฟ้องคดีของโจทก์แม้จะได้ฟ้องไว้ก่อน ก็ต้องถือว่าระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 424/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำในคดีอาญา: ความผิดพยายามฆ่าเชื่อมโยงกับคดีปล้นทรัพย์ที่ศาลตัดสินแล้ว
จำเลยถูกฟ้อง ศาลพิพากษาเสร็จไปแล้วในคดีเรื่องปล้นทรัพย์อัยการโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกว่าจำเลยพยายามฆ่า ส. ซึ่งเข้ามาช่วยเจ้าทรัพย์ในคดีปล้นทรัพย์นั้น เพื่อเอาผลประโยชน์แห่งการปล้นทรัพย์ ดังนี้ เป็นกรรมเดียวกับปล้นทรัพย์ซึ่งศาลพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปแล้วเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2837/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวกันลงโทษซ้ำ: สิทธิฟ้องระงับเมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่า ส. โดยเจตนาคดีอยู่ในระหว่างนัดไต่สวนมูลฟ้อง วันรุ่งขึ้นพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยว่าทำปืนลั่นโดยประมาทเป็นเหตุให้ส. ถึงแก่ความตาย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดแล้ว การกระทำผิดของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องกับที่พนักงานอัยการฟ้องนั้น แม้จะต่างข้อหากัน ก็เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวกัน ศาลฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าเป็นการกระทำโดยประมาท จะรื้อฟื้นให้ศาลพิจารณาพิพากษาความผิดกรรมเดียวกันนั้นอีกเป็นการทำผิดครั้งเดียวลงโทษ 2 ครั้งหาได้ไม่ เมื่อศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้นแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าโจทก์ฟ้องคดีก่อนหรือหลังพนักงานอัยการ(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1037/2501)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2837/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: สิทธิฟ้องระงับเมื่อศาลมีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่า ส. โดยเจตนา คดีอยู่ในระหว่างนัดไต่สวนมูลฟ้อง วันรุ่งขึ้นพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยว่าทำปืนลั่นโดยประมาทเป็นเหตุให้ ส. ถึงแก่ความตาย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดแล้ว การกระทำผิดของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องกับที่พนักงานอัยการฟ้องนั้น แม้จะต่างข้อหากัน ก็เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวกัน ศาลฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าเป็นการกระทำโดยประมาท จะรื้อฟื้นให้ศาลพิจารณาพิพากษาความผิดกรรมเดียวกันนั้นอีกเป็นการทำผิดครั้งเดียวลงโทษ 2 ครั้งหาได้ไม่ เมื่อศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้นแล้ว สิทธิ์นำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าโจทก์ฟ้องคดีก่อนหรือหลังพนักงานอัยการ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1037/2501)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดหลายบท ความผิดฐานปลอมแปลงเงินตราและไพ่ การฟ้องซ้ำ อำนาจสอบสวน และการริบของกลาง
ตำรวจจับจำเลยที่ 4 กับค้นพบแท่นพิมพ์ ภาพพิมพ์ธนบัตรรัฐบาลพม่าและไพ่ป๊อกปลอมในขณะเดียวกัน สถานที่เดียวกันซึ่งจำเลยฟ้องข้อหาปลอมไพ่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่การกระทำความผิดทำปลอมเงินตรา มีเครื่องมือปลอมเงินตราและมีธนบัตรปลอมคดีนี้ กับการกระทำความผิดฐานปลอมไพ่ เป็นการกระทำความผิดหลายกรมต่างกัน เมื่อความผิดของจำเลยที่ 4 คดีนี้ยังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้อง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับ
จำเลยที่ 4 มีที่อยู่และถูกจับในเขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ และความผิดฐานทำบัตรรัฐบาลพม่าปลอมก็เกิดในเขตดังกล่าว แต่จำเลยที่ 4 ต้องหาว่าร่วมกันจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานทำปลอมเงินตรา มีเครื่องมือปลอมเงินตรา และมีธนบัตรปลอมไว้เพื่อนำออกใช้ กระทำลงในท้องที่ต่าง ๆ กัน และกระทำต่อเนื่องกัน พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ท้องที่ที่จับจำเลยที่ 1 ฐานมีธนบัตรปลอม มีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้
แท่นพิมพ์ของกลางมิใช่เป็นของที่ทำหรือมีไว้เป็นความผิด ทั้งโจทก์มิได้ขอให้ริบ กลับขอให้คืนเจ้าของ ศาลจึงพิพากษาให้ริบไม่ได้
จำเลยที่ 4 มีที่อยู่และถูกจับในเขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ และความผิดฐานทำบัตรรัฐบาลพม่าปลอมก็เกิดในเขตดังกล่าว แต่จำเลยที่ 4 ต้องหาว่าร่วมกันจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานทำปลอมเงินตรา มีเครื่องมือปลอมเงินตรา และมีธนบัตรปลอมไว้เพื่อนำออกใช้ กระทำลงในท้องที่ต่าง ๆ กัน และกระทำต่อเนื่องกัน พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ท้องที่ที่จับจำเลยที่ 1 ฐานมีธนบัตรปลอม มีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้
แท่นพิมพ์ของกลางมิใช่เป็นของที่ทำหรือมีไว้เป็นความผิด ทั้งโจทก์มิได้ขอให้ริบ กลับขอให้คืนเจ้าของ ศาลจึงพิพากษาให้ริบไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดหลายกรรมต่างกัน การฟ้องซ้ำ และอำนาจสอบสวนคดีปลอมเงินตรา
ตำรวจจับจำเลยที่ 4 กับค้นพบแท่นพิมพ์ แบบพิมพ์ ภาพพิมพ์ธนบัตรรัฐบาลพม่าและไพ่ป๊อกปลอมในขณะเดียวกัน สถานที่เดียวกันซึ่งจำเลยถูกฟ้องข้อหาปลอมไพ่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่การกระทำความผิดฐานนทำปลอมเงินตรามีเครื่องมือปลอมเงินตราและมีธนบัตรปลอมคดีนี้ กับการกระทำความผิดฐานปลอมไพ่ เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน เมื่อความผิดของจำเลยที่ 4คดีนี้ยังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้อง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับ
จำเลยที่ 4 มีที่อยู่และถูกจับในเขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ และความผิดฐานทำธนบัตรรัฐบาลพม่าปลอมก็เกิดในเขตดังกล่าว แต่จำเลยที่ 4 ต้องหาว่าร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานทำปลอมเงินตรา มีเครื่องมือปลอมเงินตราและมีธนบัตรปลอมไว้เพื่อนำออกใช้ กระทำลงในท้องที่ต่าง ๆ กัน และกระทำต่อเนื่องกัน พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมท้องที่ที่จับจำเลยที่ 1 ฐานมีธนบัตรปลอม มีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้
แท่นพิมพ์ของกลางมิใช่เป็นของที่ทำหรือมีไว้เป็นความผิด ทั้งโจทก์มิได้ขอให้ริบ กลับขอให้คืนเจ้าของ ศาลจึงพิพากษาให้ริบไม่ได้
จำเลยที่ 4 มีที่อยู่และถูกจับในเขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ และความผิดฐานทำธนบัตรรัฐบาลพม่าปลอมก็เกิดในเขตดังกล่าว แต่จำเลยที่ 4 ต้องหาว่าร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานทำปลอมเงินตรา มีเครื่องมือปลอมเงินตราและมีธนบัตรปลอมไว้เพื่อนำออกใช้ กระทำลงในท้องที่ต่าง ๆ กัน และกระทำต่อเนื่องกัน พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐมท้องที่ที่จับจำเลยที่ 1 ฐานมีธนบัตรปลอม มีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้
แท่นพิมพ์ของกลางมิใช่เป็นของที่ทำหรือมีไว้เป็นความผิด ทั้งโจทก์มิได้ขอให้ริบ กลับขอให้คืนเจ้าของ ศาลจึงพิพากษาให้ริบไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาซ้ำ: เวลากระทำผิดเป็นข้อสำคัญในฟ้อง หากศาลยกฟ้องเพราะขาดรายละเอียดนี้ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องซ้ำ
เวลากระทำผิดเป็นข้อสำคัญที่โจทก์ต้องกล่าวในฟ้อง และเป็นข้อเท็จจริงในเรื่องความผิดที่จำเลยกระทำ เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องคดีก่อนเพราะฟ้องโจทก์ไม่ระบุเวลากระทำผิด จึงได้ชื่อว่าได้ยกฟ้องในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยอีก (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1576/2495)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาซ้ำ: การขาดรายละเอียดเวลากระทำผิดทำให้ฟ้องไม่ถูกต้อง และไม่อาจฟ้องซ้ำได้
เวลากระทำผิดเป็นข้อสำคัญที่โจทก์ต้องกล่าวในฟ้อง และเป็นข้อเท็จจริงในเรื่องความผิดที่จำเลยกระทำเมื่อศาลพิพากษายกฟ้องคดีก่อนเพราะฟ้องโจทก์ไม่ระบุเวลากระทำผิด จึงได้ชื่อว่าได้ยกฟ้องในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) โจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยอีก (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่1576/2495)