คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 39 (4)

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 406 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำในคดีอาญา: ศาลยังไม่วินิจฉัยการกระทำผิด คำพิพากษาเดิมไม่ถือเป็นที่สุด
ในคดีก่อน โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโดยวินิจฉัยว่า ข้อหาฐานความผิดทั้งสองตามที่กล่าวมาในฟ้องขัดกัน เป็นฟ้องเคลือบคลุม ดังนี้ ยังไม่ถือว่าศาลได้วินิจฉัยถึงการกระทำผิดของจำเลยตามข้อกล่าวหาของโจทก์ โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2331/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำคดีอาญา: ศาลยังไม่วินิจฉัยการกระทำผิด ยกฟ้องเคลือบคลุม ไม่ตัดสิทธิฟ้องใหม่
ในคดีก่อน โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโดยวินิจฉัยว่า ข้อหาฐานความผิดทั้งสองตามที่กล่าวมาในฟ้องขัดกัน เป็นฟ้องเคลือบคลุมดังนี้ ยังไม่ถือว่าศาลได้วินิจฉัยถึงการกระทำผิดของจำเลยตามข้อกล่าวหาของโจทก์ โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1449/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำในคดีอาญา: ความผิดหลายกรรมต่างกัน แม้ฟ้องแยกกระทง สิทธิฟ้องไม่ระงับ
การที่จำเลยมีลูกระเบิดมือไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาต และใช้ระเบิดมือนั้นในการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ถือว่าเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เมื่อโจทก์แยกฟ้องกระทงความผิดนั้น ส่วนกระทงความผิดที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายฐานต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานนั้นเป็นอีกกระทงหนึ่งซึ่งยังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงไม่ระงับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1449/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำในคดีอาญา: ความผิดฐานมีวัตถุระเบิดกับพยายามฆ่าเจ้าพนักงานเป็นคนละกรรมกัน
การที่จำเลยมีลูกระเบิดมือไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาตและใช้ระเบิดมือนั้นในการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ถือว่าเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เมื่อโจทก์แยกฟ้องและศาลลงโทษจำเลยฐานมีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครองแล้ว คดีย่อมเสร็จเด็ดขาดเฉพาะกระทงความผิดนั้น ส่วนกระทงความผิดที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายฐานต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานนั้น เป็นอีกกระทงหนึ่งซึ่งยังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงไม่ระงับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ, โจทก์ร่วม, พยานหลักฐาน: ศาลฎีกาชี้ขาดประเด็นการฟ้องซ้ำ การเข้าร่วมดำเนินคดี และการใช้พยานหลักฐานของโจทก์ร่วม
เมื่อประเด็นข้อกล่าวหาในคดีนี้เป็นคนละเหตุกับประเด็นข้อกล่าวหาจำเลยในคดีก่อน ฟ้องคดีนี้ย่อมไม่เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องในคดีก่อน
ผู้เสียหายที่ได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีแล้วแม้ภายหลังศาลอุทธรณ์จะยกคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมเสียเพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำแก่ผู้เสียหายที่ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมนั้นด้วยก็ตาม ก็ไม่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของโจทก์ร่วมที่ได้กระทำระหว่างเป็นคู่ความในคดีเสียเปล่าไปไม่ พยานหลักฐานที่โจทก์ร่วมได้อ้างอิงไว้ ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานสำหรับโจทก์และโจทก์ร่วมคนอื่นเพื่อศาลนำมาประมวลวินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ, โจทก์ร่วม, พยานหลักฐาน: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นฟ้องซ้ำ, สิทธิโจทก์ร่วมที่ถูกยกคำร้อง, และการใช้พยานหลักฐาน
เมื่อประเด็นข้อกล่าวหาในคดีนี้เป็นคนละเหตุกับประเด็นข้อกล่าวหาจำเลยในคดีก่อน ฟ้องคดีนี้ย่อมไม่เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องในคดีก่อน
ผู้เสียหายที่ได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีแล้วแม้ภายหลังศาลอุทธรณ์จะยกคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมเสียเพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำแก่ผู้เสียหายที่ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมนั้นด้วยก็ตาม ก็ไม่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของโจทก์ร่วมที่ได้กระทำระหว่างเป็นคู่ความในคดีเสียเปล่าไปไม่ พยานหลักฐานที่โจทก์ร่วมได้อ้างอิงไว้ ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานสำหรับโจทก์และโจทก์ร่วมคนอื่นเพื่อศาลนำมาประมวลวินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1656/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดกรรมเดียวฟ้องซ้ำ: ศาลยกฟ้องเมื่อศาลเคยพิพากษาลงโทษในความผิดนั้นแล้ว แม้จะแบ่งเป็นหลายฐาน
ในคดีความผิดครั้งเดียวและกรรมเดียวกัน เมื่ออัยการโจทก์ได้ฟ้องจำเลยและศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยเสร็จเด็ดขาดไปแล้วผู้เสียหายจะฟ้องจำเลยในความผิดกรรมเดียวนั้นอีกไม่ได้แม้ว่าการกระทำหรือกรรมนั้นจะแบ่งแยกความผิดออกได้เป็นหลายฐานหรือเป็นความผิดอาญาแผ่นดินกับความผิดที่ยอมความกันได้ก็ตาม เพราะคำว่า "ในความผิด"ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) มีความหมายถึงการกระทำอันหนึ่งๆในคราวเดียวกัน มิได้หมายถึงฐานความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1656/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดกรรมเดียวฟ้องซ้ำ: สิทธิฟ้องระงับเมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว แม้จะแบ่งแยกฐานความผิดได้
ในคดีความผิดครั้งเดียวและกรรมเดียวกัน เมื่ออัยการโจทก์ได้ฟ้องจำเลยและศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว. ผู้เสียหายจะฟ้องจำเลยในความผิดกรรมเดียวนั้นอีกไม่ได้.แม้ว่าการกระทำหรือกรรมนั้นจะแบ่งแยกความผิดออกได้เป็นหลายฐานหรือเป็นความผิดอาญาแผ่นดินกับความผิดที่ยอมความกันได้ก็ตาม. เพราะคำว่า 'ในความผิด'ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) มีความหมายถึงการกระทำอันหนึ่งๆในคราวเดียวกัน มิได้หมายถึงฐานความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1604-1605/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีทำร้ายร่างกาย: ผู้เสียหายต้องมีสิทธิฟ้องจริง แม้คดีก่อนหน้าศาลพิพากษาว่าไม่ใช่ผู้เสียหาย
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น. ก็ฎีกาได้.
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 ใช้กำลังกาย ไม้ตะพด เป็นอาวุธ. ชกต่อยและตีประทุษร้ายร่างกายโจทก์ถูกบริเวณศีรษะแตกจนโลหิตไหล และถูกตามใบหน้าและลำตัวจนฟกช้ำดำเขียวหลายแห่ง. เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่โจทก์. ดังนี้ เป็นฟ้องที่บรรยายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำผิดของจำเลยว่า.จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์จนโจทก์ได้รับอันตรายแก่กายของส่วนใดของร่างกาย และลักษณะบาดแผลที่เกิดจากถูกจำเลยทำร้ายเป็นอย่างไร ไว้ชัดแจ้งเพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว. ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม. และเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5).
พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ในคดีนี้แต่ผู้เดียวในข้อหาว่าทำร้ายร่างกายโจทก์ในคดีนี้ มิได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ด้วย. แม้มูลคดีเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเดียวกับคดีนี้ และโจทก์ในคดีนี้จะได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในคดีนั้นก็ตาม. ฟ้องโจทก์คดีนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลย ที่ 1 ที่ 2 ก็หาเป็นฟ้องซ้ำไม่. เพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยังไม่เคยถูกฟ้องและมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องในมูลคดีเดียวกันนี้มาก่อน.
โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่3 กระทำความผิดรวม 4 กระทงคือความผิดต่อร่างกายความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม และความผิดต่อเสรีภาพ. โดยเฉพาะข้อหาว่าจำเลยร่วมกันกระทำความผิดต่อร่างกายนั้น. ปรากฏว่าเป็นข้อหาเดียวกับที่พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ 3 ในคดีนี้หาว่าทำร้ายร่างกายโจทก์ไว้ในสำนวนคดีอื่นซึ่งโจทก์ในคดีนี้ได้เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ. คดีนั้นถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์ในคดีนี้มิใช่ผู้เสียหาย.เพราะเป็นกรณีต่างวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน. โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหรือเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้. คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นคำพิพากษาในลักษณะคดี. แม้จำเลยที่ 1 ที่2 จะมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว. ก็ย่อมได้รับผลนี้ด้วย. ฉะนั้น โจทก์จะมาฟ้องหาว่าจำเลยที่ 1 ที่2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ในมูลคดีเดียวกับคดีที่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 3 แล้วหาได้ไม่. ส่วนความผิดข้ออื่นๆ โจทก์ยังเป็นผู้เสียหาย และมีอำนาจฟ้องในความผิดนั้นๆ ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1604-1605/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญา: ผลคำพิพากษาคดีก่อนหน้ามีผลผูกพันผู้มิได้เป็นคู่ความ และการฟ้องซ้ำ
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ก็ฎีกาได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 ใช้กำลังกาย ไม้ตะพด เป็นอาวุธ ชกต่อยและตีประทุษร้ายร่างกายโจทก์ถูกบริเวณศีรษะแตกจนโลหิตไหล และถูกตามใบหน้าและลำตัวจนฟกช้ำดำเขียวหลายแห่ง เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่โจทก์ ดังนี้ เป็นฟ้องที่บรรยายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำผิดของจำเลยว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์จนโจทก์ได้รับอันตรายแก่กายของส่วนใดของร่างกาย และลักษณะบาดแผลที่เกิดจากถูกจำเลยทำร้ายเป็นอย่างไร ไว้ชัดแจ้งเพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม และเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 3 ในคดีนี้แต่ผู้เดียวในข้อหาว่าทำร้ายร่างกายโจทก์ในคดีนี้ มิได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ด้วย แม้มูลคดีเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเดียวกับคดีนี้ และโจทก์ในคดีนี้จะได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในคดีนั้นก็ตาม ฟ้องโจทก์คดีนี้ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลย ที่ 1 ที่ 2 ก็หาเป็นฟ้องซ้ำไม่ เพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยังไม่เคยถูกฟ้องและมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องในมูลคดีเดียวกันนี้มาก่อน
โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดรวม 4 กระทงคือความผิดต่อร่างกายความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม และความผิดต่อเสรีภาพ โดยเฉพาะข้อหาว่าจำเลยร่วมกันกระทำความผิดต่อร่างกายนั้น ปรากฏว่าเป็นข้อหาเดียวกับที่พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ 3 ในคดีนี้หาว่าทำร้ายร่างกายโจทก์ไว้ในสำนวนคดีอื่นซึ่งโจทก์ในคดีนี้ได้เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ คดีนั้นถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า โจทก์ในคดีนี้มิใช่ผู้เสียหายเพราะเป็นกรณีต่างวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหรือเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นคำพิพากษาในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะมิได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว ก็ย่อมได้รับผลนี้ด้วย ฉะนั้น โจทก์จะมาฟ้องหาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ในมูลคดีเดียวกับคดีที่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 3 แล้วหาได้ไม่ ส่วนความผิดข้ออื่นๆ โจทก์ยังเป็นผู้เสียหาย และมีอำนาจฟ้องในความผิดนั้นๆ ได้
of 41