พบผลลัพธ์ทั้งหมด 163 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3797-3798/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริง และผลของการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาวินิจฉัย
คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้อาศัยออกจากที่พิพาท แม้ไม่ปรากฏตามคำฟ้องว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้เดือนละเท่าใด แต่ก็ได้ความจากคดีในสำนวนหลังซึ่งมีผู้ฟ้องโจทก์คดีนี้กับพวกให้ร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์จากที่พิพาทเป็นเงินปีละ 2,400 บาท ถือได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาทเมื่อจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาอาศัย คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา โจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาได้ ข้อเท็จจริงคงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีสำนวนแรกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลัง (โจทก์ในสำนวนแรก) ซึ่งคดีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงแต่เมื่อศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์ให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วย เพราะเป็นกรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245, 247
คดีสำนวนแรกศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 (ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลัง) แต่ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นของ พ.จำเลยที่ 1 (ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนแรก) ดังนี้ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้สิทธิแก่ พ.จำเลยที่ 1 ในการที่จะฟ้องบังคับตามสิทธิที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาฎีกานี้ต่อไป
คดีสำนวนแรกศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 (ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลัง) แต่ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นของ พ.จำเลยที่ 1 (ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนแรก) ดังนี้ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้สิทธิแก่ พ.จำเลยที่ 1 ในการที่จะฟ้องบังคับตามสิทธิที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาฎีกานี้ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3797-3798/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดินและการบังคับคดี: ห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงหากมิได้ยกข้อต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์
คดีสำนวนแรกโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้อาศัยออกจากที่พิพาทแม้ไม่ปรากฏตามคำฟ้องว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้เดือนละเท่าใดแต่ก็ได้ความจากคดีในสำนวนหลังซึ่งมีผู้ฟ้องโจทก์คดีนี้กับพวกให้ร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์จากที่พิพาทเป็นเงินปีละ2,400บาทถือได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละสองพันบาทเมื่อจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์หรือยกข้อโต้เถียงในเรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญาอาศัยคดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาโจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาได้ข้อเท็จจริงคงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีสำนวนแรกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่1ในสำนวนหลัง(โจทก์ในสำนวนแรก)ซึ่งคดีไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในข้อเท็จจริงแต่เมื่อศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่1ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์ให้มีผลถึงจำเลยที่2ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วยเพราะเป็นกรณีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา245,247 คดีสำนวนแรกศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่1(ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนหลัง)แต่ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นของ พ.จำเลยที่1(ซึ่งเป็นโจทก์ในสำนวนแรก)ดังนี้ในคดีสำนวนหลังศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้สิทธิแก่พ.จำเลยที่1ในการที่จะฟ้องบังคับตามสิทธิที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาฎีกานี้ต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2787/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมรดก: การพิสูจน์ความเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมรดก และผลกระทบต่อจำเลยที่ไม่ฎีกา
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่โจทก์เป็นผู้จัดการมรดก เมื่อศาลฎีกาฟังว่าที่พิพาทมิได้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมรดกแล้ว แม้ในชั้นฎีกาจะมีเพียงโจทก์และจำเลยที่ 2 เป็นฎีกา โดยจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาด้วยแต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2787/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมรดก: ศาลฎีกายกฟ้องกรณีพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์และสิ่งปลูกสร้าง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกเมื่อศาลฎีกาฟังว่าที่พิพาทมิได้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมรดกแล้วแม้ในชั้นฎีกาจะมีเพียงโจทก์และจำเลยที่2เป็นฎีกาโดยจำเลยที่1มิได้ฎีกาด้วยแต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยให้มีผลถึงจำเลยที่1ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2787/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมรดก: ศาลฎีกายกฟ้องเมื่อข้อเท็จจริงไม่สนับสนุนการเป็นส่วนหนึ่งของมรดก
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายที่โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกเมื่อศาลฎีกาฟังว่าที่พิพาทมิได้เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินมรดกแล้ว แม้ในชั้นฎีกาจะมีเพียงโจทก์และจำเลยที่ 2 เป็นฎีกา โดยจำเลยที่ 1 มิได้ฎีกาด้วยแต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถ, การหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง, และความรับผิดทางละเมิดร่วมกัน
ถนนที่เกิดเหตุเป็นทางตรง จำเลยที่ 2 เห็นก้อนหินขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 ซม. ขวางถนนอยู่ในช่องทางเดินรถของตน จำเลยที่ 2 ได้ขับรถหลบก้อนหินเข้ามาในช่องทางเดินรถของโจทก์เพียงเล็กน้อย คนขับรถของโจทก์เห็นรถที่จำเลยที่ 2 ขับหลบก้อนหินเข้ามาในช่องทางเดินรถของตน แต่คนขับรถของโจทก์มิได้ชะลอความเร็วลงหรือขับรถหลบไปทางซ้ายมือซึ่งผิวจราจรหรือไหล่ถนนตรงนั้นกว้างพอที่จะแล่นหลบไปได้โดยไม่ตกถนนและรถทั้งสองคันก็จะไม่ชนกัน ดังนี้ ถือได้ว่าความเสียหายที่เกิดจากรถยนต์สองคันชนกันนั้นเกิดจากการขับรถโดยประมาทของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยและ คนขับรถของโจทก์ละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยควรรับผิดเพื่อความเสียหายสองในสามส่วนของความเสียหายที่โจทก์ได้รับ.
คำวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้นั้นศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในชั้นอุทธรณ์ฎีกาด้วย
คำวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้นั้นศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในชั้นอุทธรณ์ฎีกาด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 657/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถและการละเลยไม่บำบัดปัดป้องความเสียหาย ผู้ขับขี่มีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวัง
ถนนที่เกิดเหตุเป็นทางตรงจำเลยที่2เห็นก้อนหินขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ12ซม.ขวางถนนอยู่ในช่องทางเดินรถของตนจำเลยที่2ได้ขับรถหลบก้อนหินเข้ามาในช่องทางเดินรถของโจทก์เพียงเล็กน้อย.คนขับรถของโจทก์เห็นรถที่จำเลยที่2ขับหลบก้อนหินเข้ามาในช่องทางเดินรถของตนแต่คนขับรถของโจทก์มิได้ชะลอความเร็วลงหรือขับรถหลบไปทางซ้ายมือซึ่งผิวจราจรหรือไหล่ถนนตรงนั้นกว้างพอที่จะแล่นหลบไปได้โดยไม่ตกถนนและรถทั้งสองคันก็จะไม่ชนกันดังนี้ถือได้ว่าความเสียหายที่เกิดจากรถยนต์สองคันชนกันนั้นเกิดจากการขับรถโดยประมาทของจำเลยที่2ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยและคนขับรถของโจทก์ละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยตามพฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยควรรับผิดเพื่อความเสียหายสองในสามส่วนของความเสียหายที่โจทก์ได้รับ. คำวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้นั้นศาลฎีกาพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่2ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในชั้นอุทธรณ์ฎีกาด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4178/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับหนี้จากการประนีประนอมยอมความของทายาทผู้เช่าซื้อ และผลกระทบต่อสิทธิเรียกร้องของเจ้าของรถที่ได้รับความเสียหาย
ผู้เช่าซื้อรถยนต์กับโจทก์ ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายต่อบุคคลผู้กระทำความเสียหายแก่รถที่เช่าซื้อได้ เมื่อผู้เช่าซื้อถึงแก่ความตายในระหว่างที่ยังเช่าซื้อ ภรรยาของผู้เช่าซื้อในฐานะทายาทของผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายของรถจากผู้ทำละเมิดได้ และมีสิทธิจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความในการทำละเมิดนี้ได้ เมื่อปรากฏว่าภรรยาของผู้เช่าซื้อได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในเรื่องค่าเสียหายของทรัพย์สินดังกล่าวจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของรถที่ทำละเมิดแล้วสิทธิเรียกร้องในมูลละเมิดดังกล่าวย่อมระงับไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยอีก สำหรับจำเลยที่ 1 ลูกจ้างแม้จะไม่ได้ฎีกา แต่หนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ในมูลละเมิดซึ่งเป็นหนี้ร่วมอันไม่อาจแบ่งแยกได้จำเลยที่ 1 จึงได้รับผลจากคำพิพากษานี้ด้วย ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1), 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2117-2124/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นไม่ใช่ส่วนราชการ การจ่ายเงินตามระเบียบไม่เป็นการละเมิด
โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นไม่เป็นส่วนราชการของกรมการปกครองโจทก์มิได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน จำเลยเป็นข้าราชการสังกัดกรมโจทก์ได้รับแต่งตั้งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้เป็นกรรมการดำเนินงานของโรงพิมพ์ อันเป็นการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนมีอำนาจจัดการโรงพิมพ์แทนเจ้าของกิจการซึ่งเป็นตัวการ การที่จำเลยร่วมกันอนุมัติจ่ายเงินผลกำไรสุทธิและเงินกำไรสะสมของโรงพิมพ์ให้แก่ตนเองและผู้อื่นเป็นไปตามระเบียบของโรงพิมพ์ซึ่งโจทก์ยินยอมให้ถือปฏิบัติย่อมเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตัวแทนตามที่ได้รับมอบหมายโดยชอบถึงหากจะฟังว่าโรงพิมพ์ เครื่องพิมพ์ และทรัพย์สินของ โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่นเป็นของโจทก์ การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จะฟ้องให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่โจทก์หาได้ไม่ และเนื่องจากคำพิพากษาเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงให้มีผลถึงจำเลยซึ่งมิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 ประกอบด้วย มาตรา 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3627/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายหลังการฟ้องเพิกถอนการให้โดยเสน่หา จำเลยซื้อโดยสุจริต
โจทก์ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเสน่หา แล้วจำเลยที่ 1 โอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3 โจทก์ฟ้องถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยที่ 1 ประพฤติเนรคุณ และขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยอ้างว่าเป็นการสมยอมกันเพื่อฉ้อฉลโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริต โจทก์ก็ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 คืนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ซึ่งขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณากับมิได้อุทธรณ์ คงอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 2 และที่ 3 ดังนี้ คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ด้วยไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 คืนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ซึ่งขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณากับมิได้อุทธรณ์ คงอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 2 และที่ 3 ดังนี้ คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ด้วยไม่ได้