พบผลลัพธ์ทั้งหมด 208 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 136/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกเงินภาษีและการปลอมแปลงเอกสาร: ข้อหาชัดเจนและพิจารณาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ
บรรยายฟ้องว่าจำเลยยักยอกเงินค่าภาษีโรงค้ารายนายฉลองไป 600 บาท แต่ต่อมานำส่งเสีย 57.60 บาท จำเลยยักยอกไปเพียง 542.40 บาท ดังนี้จัดว่าชัดเจนพอให้จำเลยเข้าใจข้อหาฐานยักยอกได้ดีตาม ม.158 วิ.อาญา.หาเคลือบคลุมไม่
แม้ข้อเท็จจริงทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยยักยอกเงินค่าภาษีรายนายฉลองไป 600 บาท มิใช่ 542.40 บาท ดังข้อหาให้จำเลยรับผิดตามฟ้องก็ดี ควรฟังข้อเท็จจริงดังนี้เพราะเงิน 57.60 บาท ที่จำเลยนำส่งเป็นค่าภาษีรายนายช่อล้องมิใช่นายฉลอง ฉนั้นเงินค่าภาษีนายฉลองที่จำเลยยักยอกจึงคงมี 600 บาท จึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณากับฟ้องเช่นนี้หาเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์ตาม ป.วิ.อาญา ม.192ได้ไม่
ถึงจำเลยจะมีหน้าที่เขียนต้นขั้วใบเสร็จรับเงินด้วยตนเองก็ดี แต่ถ้าจำเลยตกเติมแก้ไขต้นขั้วใบเสร็จนั้นโดยมีเจตนาปลอมแปลงจากเดิมให้เข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นและอาจเกิดการเสียหายขึ้นได้ ดังนี้จำเลยก็หาพ้นความรับผิดฐานปลอมหนังสือไม่
การที่จะวินิจฉัยข้อ ก.ม.นั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้ว.
แม้ข้อเท็จจริงทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยยักยอกเงินค่าภาษีรายนายฉลองไป 600 บาท มิใช่ 542.40 บาท ดังข้อหาให้จำเลยรับผิดตามฟ้องก็ดี ควรฟังข้อเท็จจริงดังนี้เพราะเงิน 57.60 บาท ที่จำเลยนำส่งเป็นค่าภาษีรายนายช่อล้องมิใช่นายฉลอง ฉนั้นเงินค่าภาษีนายฉลองที่จำเลยยักยอกจึงคงมี 600 บาท จึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณากับฟ้องเช่นนี้หาเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์ตาม ป.วิ.อาญา ม.192ได้ไม่
ถึงจำเลยจะมีหน้าที่เขียนต้นขั้วใบเสร็จรับเงินด้วยตนเองก็ดี แต่ถ้าจำเลยตกเติมแก้ไขต้นขั้วใบเสร็จนั้นโดยมีเจตนาปลอมแปลงจากเดิมให้เข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นและอาจเกิดการเสียหายขึ้นได้ ดังนี้จำเลยก็หาพ้นความรับผิดฐานปลอมหนังสือไม่
การที่จะวินิจฉัยข้อ ก.ม.นั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 136/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกเงินภาษีและการปลอมแปลงเอกสารราชการ จำเลยมีความผิดตามกฎหมายอาญา
บรรยายฟ้องว่าจำเลยยักยอกเงินค่าภาษีโรงค้ารายนายฉลองไป600 บาท แต่ต่อมานำส่งเสีย 57.60 บาท จำเลยยักยอกไปเพียง542.40 บาท ดังนี้จัดว่าชัดเจนพอให้จำเลยเข้าใจข้อหาฐานยักยอกได้ดีตาม มาตรา158 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หาเคลือบคลุมไม่
แม้ข้อเท็จจริงทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยยักยอกเงินค่าภาษีรายนายฉลองไป 600 บาท มิใช่ 542.40 บาท ดังข้อหาให้จำเลยรับผิดตามฟ้องก็ดีการฟังข้อเท็จจริงดังนี้เพราะเงิน 57.60 บาท ที่จำเลยนำส่งเป็นค่าภาษีรายนายช่อล้องมิใช่รายนายฉลองฉะนั้นเงินค่าภาษีรายนายฉลองที่จำเลยยักยอกจึงคงมี 600 บาทจึงถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาต่างกับฟ้องเช่นนี้หาเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา192ได้ไม่
ถึงจำเลยจะมีหน้าที่เขียนต้นขั้วใบเสร็จรับเงินด้วยตนเองก็ดีแต่ถ้าจำเลยตกเติมแก้ไขต้นขั้วใบเสร็จนั้นโดยมีเจตนาปลอมแปลงจากเดิมให้เข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นและอาจเกิดการเสียหายขึ้นได้ดังนี้จำเลยก็หาพ้นความรับผิดฐานปลอมหนังสือไม่
การที่จะวินิจฉัยข้อกฎหมายนั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้ว
แม้ข้อเท็จจริงทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยยักยอกเงินค่าภาษีรายนายฉลองไป 600 บาท มิใช่ 542.40 บาท ดังข้อหาให้จำเลยรับผิดตามฟ้องก็ดีการฟังข้อเท็จจริงดังนี้เพราะเงิน 57.60 บาท ที่จำเลยนำส่งเป็นค่าภาษีรายนายช่อล้องมิใช่รายนายฉลองฉะนั้นเงินค่าภาษีรายนายฉลองที่จำเลยยักยอกจึงคงมี 600 บาทจึงถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาต่างกับฟ้องเช่นนี้หาเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา192ได้ไม่
ถึงจำเลยจะมีหน้าที่เขียนต้นขั้วใบเสร็จรับเงินด้วยตนเองก็ดีแต่ถ้าจำเลยตกเติมแก้ไขต้นขั้วใบเสร็จนั้นโดยมีเจตนาปลอมแปลงจากเดิมให้เข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นและอาจเกิดการเสียหายขึ้นได้ดังนี้จำเลยก็หาพ้นความรับผิดฐานปลอมหนังสือไม่
การที่จะวินิจฉัยข้อกฎหมายนั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1707/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสุจริตของผู้กระทำผิดและผลต่อการเอาผิดทางอาญา แม้ใบอนุญาตไม่ชอบ
ถึงแม้จะวินิจฉัยว่าใบเสร็จรับเงินค่าใบอนุญาตเร่ขายไม่ใช่เป็นใบอนุญาตให้ทำการเร่ขายได้ก็ดี แต่ข้อเท็จจริงซึ่งศาลฎีกาจำต้องถือตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คือ จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นใบอนุญาตให้เร่ขายได้แล้วเช่นนี้ จึงย่อมเอาผิดแก่จำเลยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1707/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเชื่อโดยสุจริตเป็นเหตุยกฟ้อง แม้ใบอนุญาตไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ถึงแม้จะวินิจฉัยว่าใบเสร็จรับเงินค่าใบอนุญาตเร่ขายไม่ใช่เป็นใบอนุญาตให้ทำการเร่ขายได้ก็ดี แต่ข้อเท็จจริงซึ่งศาลฎีกาจำต้องถือตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คือ จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นในอนุญาตให้เร่ขายได้แล้วเช่นนี้ จึงย่อมเอาผิดแก่จำเลยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1707/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเชื่อโดยสุจริตเป็นเหตุยกฟ้อง แม้ใบอนุญาตไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ถึงแม้จะวินิจฉัยว่าใบเสร็จรับเงินค่าใบอนุญาตเร่ขายไม่ใช่เป็นใบอนุญาตให้ทำการเร่ขายได้ก็ดี แต่ข้อเท็จจริงซึ่งศาลฎีกาจำต้องถือตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คือ จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นใบอนุญาตให้เร่ขายได้แล้วเช่นนี้ จึงย่อมเอาผิดแก่จำเลยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201-1203/2498 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงโดยหลอกลวงให้ลงทุนหวังผลตอบแทนสูงเกินจริง และการเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบ
จำเลยตั้งสำนักงานขึ้นให้ชื่อว่าบริษัทชัยวัฒนา มีวัตถุประสงค์ทำการค้าและชักชวนให้ประชาชนำเงินมาฝากเป็นการเข้าหุ้น แต่การเข้าหุ้นนี้จำเลยคิดผลประโยชน์ให้ร้อยละ 50 ต่อเดือนเป็นรายเดือน มีประชาชนหลายจังหวัดนำเงินมามอบให้จำเลยเป็นจำนวนมากมายหลายสิบล้านบาทเพราะหวังประโยชน์ตอบแทนอันสูง ดังนี้เมื่อคำนวนอัตราผลประโยชน์ร้อยละ 50 ต่อเดือนที่จำเลยคิดให้แล้วในต้นเดือนที่จำเลยคิดให้แล้วในต้นเงินเพียง 100 บาท ถ้าฝากจำเลยสมทบทั้งต้นและผลประโยชน์ ในปีหนึ่งจำเลยจะต้องจ่ายเป็นเงินหนึ่งหมื่นเศษ ถ้าถึงปีที่ 2 ก็เป็นจำนวนเกินล้านบาท ซึ่งเป็นที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยจะไปหาผลกำไรจากที่ไหนมาจ่ายให้ได้ แม้จำเลยเองก็ว่าหุ้นส่วนมีกำไรเท่าใดไม่อาจรู้ได้ แต่กระนั้นจำเลยก็ยังคงจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ฝากไปได้ เหตุที่จำเลยจ่ายเงินปันผลทั้ง ๆที่ไม่รู้ว่ามีกำไรเท่าใดนั้น ย่อมประกอบให้เห็นเจตนาจำเลยในการลวงให้เข้าหลงเชื่อโดยแท้การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้อุบายเป็นทำนองว่าตนทำการค้าใหญ่โตให้เขานำเงินมาฝากเข้าเป็นหุ้นส่วน โดยสัญญาจะจ่ายเงินปันผลให้ร้อยละ 50 ต่อเดือน ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็รู้ดีว่าไม่สามารถจะจ่ายให้เขาได้จึงนับว่าเป็นความเท็จและคนหลงเชื่อนำเงินมาฝากมากมายเช่นนี้ย่อมเข้าเกณฑ์ความผิดฐานฉ้อโกงตาม ก.ม. อาญา ม.304 และการกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ธนาคารพานิชย์เพราะไม่ใช่ทำการเป็นธนาคารพานิชย์และไม่มีสภาพคล้ายคลึงกับกิจการธนาคารตาม พ.ร.บ.ควบคุมกิจการค้าอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขแห่งสาธารณะชน พ.ศ. 2471 ม.7
โจทก์กล่าวฟ้องว่าก่อนคดีนี้จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษฐานไม่ทำบัญชีแสดงรายการรับและจำหน่ายน้ำตาลมาครั้งหนึ่ง ศาลพิพากษาปรับ 50 บาท ดังปรากฎในคดีแดงที่ 178/2489 พ้นโทษยังไม่เกิน 5 ปี จำเลยแถลงรับว่าเคยต้องโทษจริงตามฟ้อง แล้วโจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องว่า ความผิดฐานไม่ทำบัญชีซึ่งจำเลยเคยต้องโทษนั้นเป็นความผิดซึ่งไม่ใช่เป็นส่วนลหุโทษและมิใช่ความผิดที่เกิดขึ้นด้วยประมาทศาลสองจำเลย จำเลยไม่คัดค้านศาลอนุญาตและปรากฎว่าในสำนวนเลขแดงที่ 178/2489 ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ตาม พ.ร.บ.ภาษีอากรซื้อน้ำตาล ม.26 ที่บัญญัติให้มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาทหรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมิใช่ความผิดฐานลหุโทษ ดังนี้แม้ในฟ้องจะมิได้ระบุว่าโทษครั้งก่อนเนื่องจากความผิดต่อ ก.ม. ใดเลยก็เพิ่มโทษจำเลยฐานไม่เข็ดหลาบตาม ก.ม. อาญา ม.72 ตามฟ้องของโจทก์ได้
ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อ ก.ม. ในการวินิจฉัยปัญหาข้อ ก.ม. นั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
โจทก์กล่าวฟ้องว่าก่อนคดีนี้จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษฐานไม่ทำบัญชีแสดงรายการรับและจำหน่ายน้ำตาลมาครั้งหนึ่ง ศาลพิพากษาปรับ 50 บาท ดังปรากฎในคดีแดงที่ 178/2489 พ้นโทษยังไม่เกิน 5 ปี จำเลยแถลงรับว่าเคยต้องโทษจริงตามฟ้อง แล้วโจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องว่า ความผิดฐานไม่ทำบัญชีซึ่งจำเลยเคยต้องโทษนั้นเป็นความผิดซึ่งไม่ใช่เป็นส่วนลหุโทษและมิใช่ความผิดที่เกิดขึ้นด้วยประมาทศาลสองจำเลย จำเลยไม่คัดค้านศาลอนุญาตและปรากฎว่าในสำนวนเลขแดงที่ 178/2489 ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ตาม พ.ร.บ.ภาษีอากรซื้อน้ำตาล ม.26 ที่บัญญัติให้มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาทหรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมิใช่ความผิดฐานลหุโทษ ดังนี้แม้ในฟ้องจะมิได้ระบุว่าโทษครั้งก่อนเนื่องจากความผิดต่อ ก.ม. ใดเลยก็เพิ่มโทษจำเลยฐานไม่เข็ดหลาบตาม ก.ม. อาญา ม.72 ตามฟ้องของโจทก์ได้
ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อ ก.ม. ในการวินิจฉัยปัญหาข้อ ก.ม. นั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201-1203/2498 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงจากการระดมทุนลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง และการเพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบ
จำเลยตั้งสำนักงานขึ้นให้ชื่อว่าบริษัทชัยวัฒนา มีวัตถุประสงค์ทำการค้าและชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาฝากเป็นการเข้าหุ้น แต่การเข้าหุ้นนี้จำเลยคิดผลประโยชน์ให้ร้อยละ 50 ต่อเดือนเป็นรายเดือน มีประชาชนหลายจังหวัดนำเงินมามอบให้จำเลยเป็นจำนวนมากมายหลายสิบล้านบาทเพราะหวังประโยชน์ตอบแทนอันสูง ดังนี้เมื่อคำนวณอัตราผลประโยชน์ร้อยละ 50 ต่อเดือนที่จำเลยคิดให้แล้วในต้นเงินเพียง100 บาท ถ้าฝากจำเลยสมทบทั้งต้นและผลประโยชน์ ในปีหนึ่งจำเลยจะต้องจ่ายเป็นเงินหนึ่งหมื่นเศษ ถ้าถึงปีที่ 2 ก็เป็นจำนวนเกินล้านบาท ซึ่งเป็นที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยจะไปหาผลกำไรจากที่ไหนมาจ่ายให้ได้ แม้จำเลยเองก็ว่าหุ้นส่วนมีกำไรเท่าใดไม่อาจรู้ได้ แต่กระนั้นจำเลยก็ยังคงจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ฝากไปได้ เหตุที่จำเลยจ่ายเงินปันผลทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามีกำไรเท่าใดนั้น ย่อมประกอบให้เห็นเจตนาจำเลยในการลวงให้เขาหลงเชื่อโดยแท้การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้อุบายเป็นทำนองว่าตนทำการค้าใหญ่โตให้เขานำเงินมาฝากเข้าเป็นหุ้นส่วน โดยสัญญาจะจ่ายเงินปันผลให้ร้อยละ 50 ต่อเดือนทั้งๆ ที่ตนเองก็รู้ดีว่าไม่สามารถจะจ่ายให้เขาได้จึงนับว่าเป็นความเท็จและคนหลงเชื่อนำเงินมาฝากมากมายเช่นนี้ย่อมเข้าเกณฑ์ความผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 304 และการกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติธนาคารพานิชย์ เพราะไม่ใช่ทำการเป็นธนาคารพานิชย์ และไม่มีสภาพคล้ายคลึงกับกิจการธนาคารตาม พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขแห่งสาธารณะชน พ.ศ.2471 มาตรา 7
โจทก์กล่าวฟ้องว่าก่อนคดีนี้จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษฐานไม่ทำบัญชีแสดงรายการรับและจำหน่ายน้ำตาลมาครั้งหนึ่ง ศาลพิพากษาปรับ 50 บาท ดังปรากฏในคดีแดงที่ 178/2489 พ้นโทษยังไม่เกิน 5 ปีจำเลยแถลงรับว่าเคยต้องโทษจริงตามฟ้อง แล้วโจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องว่าความผิดฐานไม่ทำบัญชีซึ่งจำเลยเคยต้องโทษนั้นเป็นความผิด ซึ่งไม่ใช่เป็นส่วนลหุโทษ และมิใช่ความผิดที่เกิดขึ้นด้วยประมาท ศาลสอบจำเลย จำเลยไม่คัดค้านศาลอนุญาตและปรากฏว่าในสำนวนเลขแดงที่ 178/2489 ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พระราชบัญญัติภาษีการซื้อน้ำตาล มาตรา 26 ที่บัญญัติให้มีโทษปรับไม่เกิน 2000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน2 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมิใช่ความผิดฐานลหุโทษดังนี้แม้ในฟ้องจะมิได้ระบุว่าโทษครั้งก่อนเนื่องจากความผิดต่อ กฎหมาย ใดเลยก็เพิ่มโทษจำเลยฐานไม่เข็ดหลาบตามกฎหมายอาญา มาตรา 72 ตามฟ้องของโจทก์ได้
ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย นั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
โจทก์กล่าวฟ้องว่าก่อนคดีนี้จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษฐานไม่ทำบัญชีแสดงรายการรับและจำหน่ายน้ำตาลมาครั้งหนึ่ง ศาลพิพากษาปรับ 50 บาท ดังปรากฏในคดีแดงที่ 178/2489 พ้นโทษยังไม่เกิน 5 ปีจำเลยแถลงรับว่าเคยต้องโทษจริงตามฟ้อง แล้วโจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องว่าความผิดฐานไม่ทำบัญชีซึ่งจำเลยเคยต้องโทษนั้นเป็นความผิด ซึ่งไม่ใช่เป็นส่วนลหุโทษ และมิใช่ความผิดที่เกิดขึ้นด้วยประมาท ศาลสอบจำเลย จำเลยไม่คัดค้านศาลอนุญาตและปรากฏว่าในสำนวนเลขแดงที่ 178/2489 ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พระราชบัญญัติภาษีการซื้อน้ำตาล มาตรา 26 ที่บัญญัติให้มีโทษปรับไม่เกิน 2000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน2 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมิใช่ความผิดฐานลหุโทษดังนี้แม้ในฟ้องจะมิได้ระบุว่าโทษครั้งก่อนเนื่องจากความผิดต่อ กฎหมาย ใดเลยก็เพิ่มโทษจำเลยฐานไม่เข็ดหลาบตามกฎหมายอาญา มาตรา 72 ตามฟ้องของโจทก์ได้
ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย นั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201-1203/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงลงทุน-ผลตอบแทนสูงเกินจริง-เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบ
จำเลยตั้งสำนักงานขึ้นให้ชื่อว่าบริษัทชัยวัฒนา มีวัตถุประสงค์ทำการค้าและชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาฝากเป็นการเข้าหุ้น แต่การเข้าหุ้นนี้จำเลยคิดผลประโยชน์ให้ร้อยละ 50 ต่อเดือนเป็นรายเดือน มีประชาชนหลายจังหวัดนำเงินมามอบให้จำเลยเป็นจำนวนมากมายหลายสิบล้านบาทเพราะหวังประโยชน์ตอบแทนอันสูง ดังนี้เมื่อคำนวณอัตราผลประโยชน์ร้อยละ 50 ต่อเดือนที่จำเลยคิดให้แล้วในต้นเงินเพียง100 บาท ถ้าฝากจำเลยสมทบทั้งต้นและผลประโยชน์ ในปีหนึ่งจำเลยจะต้องจ่ายเป็นเงินหนึ่งหมื่นเศษ ถ้าถึงปีที่ 2 ก็เป็นจำนวนเกินล้านบาท ซึ่งเป็นที่เห็นได้ชัดว่าจำเลยจะไปหาผลกำไรจากที่ไหนมาจ่ายให้ได้ แม้จำเลยเองก็ว่าหุ้นส่วนมีกำไรเท่าใดไม่อาจรู้ได้ แต่กระนั้นจำเลยก็ยังคงจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ฝากไปได้ เหตุที่จำเลยจ่ายเงินปันผลทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามีกำไรเท่าใดนั้น ย่อมประกอบให้เห็นเจตนาจำเลยในการลวงให้เขาหลงเชื่อโดยแท้การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้อุบายเป็นทำนองว่าตนทำการค้าใหญ่โตให้เขานำเงินมาฝากเข้าเป็นหุ้นส่วน โดยสัญญาจะจ่ายเงินปันผลให้ร้อยละ 50 ต่อเดือนทั้งๆ ที่ตนเองก็รู้ดีว่าไม่สามารถจะจ่ายให้เขาได้จึงนับว่าเป็นความเท็จและคนหลงเชื่อนำเงินมาฝากมากมายเช่นนี้ย่อมเข้าเกณฑ์ความผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 304 และการกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติธนาคารพานิชย์ เพราะไม่ใช่ทำการเป็นธนาคารพานิชย์ และไม่มีสภาพคล้ายคลึงกับกิจการธนาคารตาม พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุขแห่งสาธารณะชน พ.ศ.2471 มาตรา 7
โจทก์กล่าวฟ้องว่าก่อนคดีนี้จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษฐานไม่ทำบัญชีแสดงรายการรับและจำหน่ายน้ำตาลมาครั้งหนึ่ง ศาลพิพากษาปรับ 50 บาท ดังปรากฏในคดีแดงที่ 178/2489 พ้นโทษยังไม่เกิน 5 ปีจำเลยแถลงรับว่าเคยต้องโทษจริงตามฟ้อง แล้วโจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องว่าความผิดฐานไม่ทำบัญชีซึ่งจำเลยเคยต้องโทษนั้นเป็นความผิด ซึ่งไม่ใช่เป็นส่วนลหุโทษ และมิใช่ความผิดที่เกิดขึ้นด้วยประมาท ศาลสอบจำเลย จำเลยไม่คัดค้านศาลอนุญาตและปรากฏว่าในสำนวนเลขแดงที่ 178/2489 ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พระราชบัญญัติภาษีการซื้อน้ำตาล มาตรา 26 ที่บัญญัติให้มีโทษปรับไม่เกิน 2000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน2 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมิใช่ความผิดฐานลหุโทษดังนี้แม้ในฟ้องจะมิได้ระบุว่าโทษครั้งก่อนเนื่องจากความผิดต่อ กฎหมาย ใดเลยก็เพิ่มโทษจำเลยฐานไม่เข็ดหลาบตามกฎหมายอาญา มาตรา 72 ตามฟ้องของโจทก์ได้
ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย นั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
โจทก์กล่าวฟ้องว่าก่อนคดีนี้จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษฐานไม่ทำบัญชีแสดงรายการรับและจำหน่ายน้ำตาลมาครั้งหนึ่ง ศาลพิพากษาปรับ 50 บาท ดังปรากฏในคดีแดงที่ 178/2489 พ้นโทษยังไม่เกิน 5 ปีจำเลยแถลงรับว่าเคยต้องโทษจริงตามฟ้อง แล้วโจทก์ขอเพิ่มเติมฟ้องว่าความผิดฐานไม่ทำบัญชีซึ่งจำเลยเคยต้องโทษนั้นเป็นความผิด ซึ่งไม่ใช่เป็นส่วนลหุโทษ และมิใช่ความผิดที่เกิดขึ้นด้วยประมาท ศาลสอบจำเลย จำเลยไม่คัดค้านศาลอนุญาตและปรากฏว่าในสำนวนเลขแดงที่ 178/2489 ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พระราชบัญญัติภาษีการซื้อน้ำตาล มาตรา 26 ที่บัญญัติให้มีโทษปรับไม่เกิน 2000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน2 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมิใช่ความผิดฐานลหุโทษดังนี้แม้ในฟ้องจะมิได้ระบุว่าโทษครั้งก่อนเนื่องจากความผิดต่อ กฎหมาย ใดเลยก็เพิ่มโทษจำเลยฐานไม่เข็ดหลาบตามกฎหมายอาญา มาตรา 72 ตามฟ้องของโจทก์ได้
ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย นั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1936/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องฉ้อโกงและการยักยอกทรัพย์: การแยกความผิดฐานและความสมบูรณ์ของฟ้อง
บรรยายฟ้องว่าจำเลยฉ้อโกงและว่าจำเลยเอาทรัพย์ที่ฉ้อโกงไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียนั้น ไม่เป็นฟ้องในความผิดฐานยักยอก
คดีความผิดฐานฉ้อโกงศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฉะนั้นศาลฎีกาย่อมจะไม่วินิจฉัยข้อกฎหมายที่ว่าฟ้องโจทก์สมบูรณ์ในฐานฉ้อโกงหรือไม่ เพราะย่อมไม่มีผลให้มีต้องยกฟ้องโจทก์
คดีความผิดฐานฉ้อโกงศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฉะนั้นศาลฎีกาย่อมจะไม่วินิจฉัยข้อกฎหมายที่ว่าฟ้องโจทก์สมบูรณ์ในฐานฉ้อโกงหรือไม่ เพราะย่อมไม่มีผลให้มีต้องยกฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1936/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฉ้อโกงและยักยอก: การฟ้องไม่สมบูรณ์ในฐานยักยอกเมื่อได้ทรัพย์มาจากการฉ้อโกง
บรรยายฟ้องว่าจำเลยฉ้อโกงและว่าจำเลยเอาทรัพย์ที่ฉ้อโกงไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียนั้น ไม่เป็นฟ้องในความผิดฐานยักยอก
คดีความผิดฐานฉ้อโกงศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฉะนั้นศาลฎีกาย่อมจะไม่วินิจฉัยข้อกฎหมายที่ว่าฟ้องโจทก์สมบูรณ์ในฐานฉ้อโกงหรือไม่ เพราะย่อมไม่มีผลให้มิต้องยกฟ้องโจทก์
คดีความผิดฐานฉ้อโกงศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฉะนั้นศาลฎีกาย่อมจะไม่วินิจฉัยข้อกฎหมายที่ว่าฟ้องโจทก์สมบูรณ์ในฐานฉ้อโกงหรือไม่ เพราะย่อมไม่มีผลให้มิต้องยกฟ้องโจทก์