พบผลลัพธ์ทั้งหมด 208 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2042/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมกิจการเทปฯ และการริบของกลางที่ถือเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด
จำเลยฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
เทปหรือวัสดุโทรทัศน์ของกลางเป็นเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานตามกฎหมายแล้วจำเลยมีหน้าที่จัดให้มีการแสดงตราหมายเลขรหัสบนเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ของกลางตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2531) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ.2530 แต่ไม่มีการแสดงตรา หมายเลขรหัสบนเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ดังกล่าวซึ่งจำเลยมีไว้ในครอบครอง จำเลยผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการให้เช่าเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ย่อมมีความผิดตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวมาตรา 6, 10, 36 ดังนี้ เทปและวัสดุโทรทัศน์ของกลางจึงเป็นทรัพย์ที่ถือได้ว่าจำเลยมีไว้เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 32 เมื่อเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ของกลางเป็นทรัพย์ที่ถือได้ว่าจำเลยมีไว้เป็นความผิด ทั้งโจทก์บรรยายคำฟ้องอ้างบทบัญญัติดังกล่าวขอให้ศาลริบ ศาลจึงต้องริบตามคำขอของโจทก์
ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียงว่าให้ริบของกลางโดยมิได้พิพากษาว่า นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น ยังไม่ถูกต้องเพราะศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้บทมาตราและโทษที่ลงแก่จำเลยแต่อย่างใดศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้
เทปหรือวัสดุโทรทัศน์ของกลางเป็นเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับความเห็นชอบจากเจ้าพนักงานตามกฎหมายแล้วจำเลยมีหน้าที่จัดให้มีการแสดงตราหมายเลขรหัสบนเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ของกลางตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2531) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ.2530 แต่ไม่มีการแสดงตรา หมายเลขรหัสบนเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ดังกล่าวซึ่งจำเลยมีไว้ในครอบครอง จำเลยผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการให้เช่าเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ย่อมมีความผิดตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวมาตรา 6, 10, 36 ดังนี้ เทปและวัสดุโทรทัศน์ของกลางจึงเป็นทรัพย์ที่ถือได้ว่าจำเลยมีไว้เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 32 เมื่อเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ของกลางเป็นทรัพย์ที่ถือได้ว่าจำเลยมีไว้เป็นความผิด ทั้งโจทก์บรรยายคำฟ้องอ้างบทบัญญัติดังกล่าวขอให้ศาลริบ ศาลจึงต้องริบตามคำขอของโจทก์
ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เพียงว่าให้ริบของกลางโดยมิได้พิพากษาว่า นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น ยังไม่ถูกต้องเพราะศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้บทมาตราและโทษที่ลงแก่จำเลยแต่อย่างใดศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4974/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คชำระหนี้ที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ การฟ้องร้องบังคับคดี และความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ซึ่งกำหนดให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาได้นั้น บทบัญญัติดังกล่าวมิได้กำหนดจำกัดไว้ว่าอนุญาตได้เฉพาะปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมาย ดังนั้น ผู้พิพากษาดังกล่าวจึงมีอำนาจที่จะอนุญาตให้ฎีกาได้ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อปรากฏว่าผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1349/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองกัญชาเพื่อจำหน่ายและการปรับบทลงโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ ศาลฎีกาไม่อนุญาตฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาว่า ตามฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่าจำเลยมีกัญชาน้ำหนักเพียง 15.90 กรัม แต่ตามมาตรา 26 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2523 กำหนดว่าต้องมีกัญชาไว้ในครอบครองมีปริมาณถึง 10 กิโลกรัม ขึ้นไป จึงจะให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 26 วรรคสอง และ 76 วรรคสอง นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยมีกัญชาจำนวน15.90 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 76 วรรคสองดังกล่าวหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยจึงไม่อาจฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้ต้องห้ามตามมาตรา 218 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ในคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายสถานเดียว อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 76 วรรคสองเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามบทมาตราดังกล่าวแล้วจึงไม่จำเป็นต้องปรับบทลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 26 วรรคแรก และ76 วรรคแรก อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1349/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองกัญชาเพื่อจำหน่าย: ศาลฎีกาไม่รับฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง และพิจารณาความผิดฐานครอบครองเพื่อจำหน่ายเท่านั้น
จำเลยฎีกาว่า ตามฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่าจำเลยมีกัญชาน้ำหนักเพียง 15.90 กรัม แต่ตามมาตรา 26 วรรคสอง แห่งพ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 กำหนดว่าต้องมีกัญชาไว้ในครอบรองมีปริมาณถึง 10 กิโลกรัม ขึ้นไป จึงจะให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 26 วรรคสอง และ 76 วรรคสอง นั้นเป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่าจำเลยมีกัญชาจำนวน 15.90กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 76 วรรคสองดังกล่าวหรือไม่จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อปรากฎว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี จำเลยจึงไม่อาจฎีกาในปัญหาดังกล่าวได้ต้องห้ามตามมาตรา 218 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ในคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายสถานเดียว อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 76 วรรคสองเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามบทมาตราดังกล่าวแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปรับบทลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 26 วรรคแรก และ 76 วรรคแรก อีก
ในคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยมีความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายสถานเดียว อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 76 วรรคสองเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามบทมาตราดังกล่าวแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปรับบทลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 26 วรรคแรก และ 76 วรรคแรก อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1205/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เอกสารที่ไม่เป็นความจริงเป็นพยานหลักฐานในคดีอื่น และข้อจำกัดในการฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่าเอกสารนั้นไม่ปลอม
คดีของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เฉพาะความผิดข้อหาว่าร่วมกันปลอมสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน หนังสือรับรองให้ทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดินและเช็ค กับความผิดข้อหาใช้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและหนังสือรับรองให้ทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดิน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในข้อหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมเช็คตามฟ้องแล้วนำไปใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมโดยมิได้กล่าวอ้างว่าบุคคลอื่นเป็นผู้ปลอมแต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยมิได้ปลอมเช็คดังกล่าว และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ปลอมเช็คหรือไม่จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คตามฟ้องไม่ใช่เอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 2 นำเอกสารดังกล่าวไปใช้อ้างเป็นพยานในการดำเนินคดี จึงไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1205/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เอกสารที่ไม่ใช่เอกสารปลอม ไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
คดีของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เฉพาะความผิดข้อหาว่าร่วมกันปลอมสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน หนังสือรับรองให้ทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดินและเช็ค กับความผิดข้อหาใช้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและหนังสือรับรองให้ทำการปลูกสร้างอาคารในที่ดิน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในข้อหาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
โจทก์ฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมเช็คตามฟ้องแล้วนำไปใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมโดยมิได้กล่าวอ้างว่าบุคคลอื่นเป็นผู้ปลอมแต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยมิได้ปลอมเช็คดังกล่าว และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ปลอมเช็คหรือไม่จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา
ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คตามฟ้องไม่ใช่เอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 2 นำเอกสารดังกล่าวไปใช้อ้างเป็นพยานในการดำเนินคดี จึงไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
โจทก์ฎีกาอ้างว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ปลอมเช็คตามฟ้องแล้วนำไปใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดี จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมโดยมิได้กล่าวอ้างว่าบุคคลอื่นเป็นผู้ปลอมแต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยมิได้ปลอมเช็คดังกล่าว และพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ปัญหาว่าจำเลยที่ 2 ปลอมเช็คหรือไม่จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา
ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเช็คตามฟ้องไม่ใช่เอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 2 นำเอกสารดังกล่าวไปใช้อ้างเป็นพยานในการดำเนินคดี จึงไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1205/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้เช็คที่ไม่เป็นเอกสารปลอม ไม่ถือเป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองมิได้ปลอมเช็คตามฟ้องและพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาปลอมเอกสาร จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา และเมื่อโจทก์มิได้ฎีกาว่าเช็คตามฟ้องเป็นเอกสารปลอม การที่จำเลยที่ 2 นำเช็คนั้นไปใช้อ้างเป็นพยานในการดำเนินคดีมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมหรือไม่จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่ง ป.วิ.อ. มาตรา 222 บัญญัติว่า ถ้าคดีมีปัญหาแต่เฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้น ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เช็คตามฟ้องไม่ใช่เอกสารปลอม ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 นำเอกสารดังกล่าวไปใช้จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 266.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 78-79/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวและการประเมินบาดแผลเพื่อพิจารณาความผิดฐานทำร้ายร่างกายอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายสาหัส
การที่จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุด่าโจทก์ก่อน เมื่อโจทก์จะเข้ามาทำร้ายร่างกาย จำเลยจึงได้ทำร้ายโจทก์นั้น ไม่เป็นการป้องกัน
เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัย ศาลฎีกาย่อมฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากพยานหลักฐานในสำนวนได้
จำเลยทำร้ายโจทก์บาดเจ็บมีแผลที่หางคิ้วซ้ายยาวประมาณ4.5 เซนติเมตร เย็บไว้ 12 เข็ม แพทย์ผู้ตรวจรักษาบาดแผลว่าแผลนี้เมื่อหายแล้วเป็นแผลเป็นมองเห็นได้ในระยะ 6 เมตรแต่แผลเป็นนี้อาจจางลงได้ และปรากฏจากภาพถ่ายว่า แผลที่คิ้วซ้ายเป็นเพียงรอยขีด ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ดังนี้ จึงยังไม่ถึงกับทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4).(ที่มา-ส่งเสริม)
เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัย ศาลฎีกาย่อมฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากพยานหลักฐานในสำนวนได้
จำเลยทำร้ายโจทก์บาดเจ็บมีแผลที่หางคิ้วซ้ายยาวประมาณ4.5 เซนติเมตร เย็บไว้ 12 เข็ม แพทย์ผู้ตรวจรักษาบาดแผลว่าแผลนี้เมื่อหายแล้วเป็นแผลเป็นมองเห็นได้ในระยะ 6 เมตรแต่แผลเป็นนี้อาจจางลงได้ และปรากฏจากภาพถ่ายว่า แผลที่คิ้วซ้ายเป็นเพียงรอยขีด ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ดังนี้ จึงยังไม่ถึงกับทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4).(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม-ปัญหาข้อกฎหมายใหม่-การรับสารภาพ: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาที่ยกข้อกฎหมายใหม่หลังจำเลยรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 218
จำเลยฎีกาขอให้ศาลรอการลงโทษ เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2325/2528 ของศาลชั้นต้น กับฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้ฟ้องคดีภายใน 72ชั่วโมงและไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการฎีกาดังกล่าวแม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ดังนี้ข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยไม่มีปรากฏในการพิจารณาของศาลชั้นต้น ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
จำเลยฎีกาขอให้ศาลรอการลงโทษ เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2325/2528 ของศาลชั้นต้น กับฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้ฟ้องคดีภายใน 72ชั่วโมงและไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการฎีกาดังกล่าวแม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ดังนี้ข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยไม่มีปรากฏในการพิจารณาของศาลชั้นต้น ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเนื่องจากข้อเท็จจริงยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และไม่ได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาโจทก์ในความผิดฐานฉ้อโกงเพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง คงรับเฉพาะฎีกาโจทก์เกี่ยวกับคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ชอบ โจทก์มิได้อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่ยอมรับฎีกาในความผิดฐานฉ้อโกง ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้กระทำผิดฐานฉ้อโกงตามที่โจทก์ฟ้อง จึงไม่มีประโยชน์แก่คดีที่จะวินิจฉัยฎีกาโจทก์ต่อไป