พบผลลัพธ์ทั้งหมด 339 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยืมรถและการรับผิดในความเสียหายจากเหตุสุดวิสัย ผู้ยืมไม่ต้องรับผิดหากความเสียหายไม่ได้เกิดจากความผิดของตน
ยืมรถของผู้อื่นไปใช้อย่างปกติ แล้วถูกรถของบุคคลภายนอกชนเสียหาย โดยไม่ใช่ความผิดของฝ่ายผู้ยืม ผู้ยืมก็ไม่ต้องรับผิดในความเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 952/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา, อายุความหนี้, การชำระหนี้, การพ้นวิสัย, สัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศ
อันอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตามที่กฎหมายให้อำนาจกระทรวงการคลังออกประกาศหรือกฎกระทรวงในการที่ทางราชการรับซื้อหรือออกขายนั้น เป็นเรื่องอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยหรือกระทรวงการคลังจะถือปฏิบัติอย่างไรเท่านั้น หาใช่กฎหมายที่จะบังคับใช้แก่ประชาชนไม่ ฉะนั้น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราจึงต้องถือตามวันเวลาที่ทำการแลกเปลี่ยนเงินตราจึงต้องถือตามวันเวลาที่ทำการแลกเปลี่ยนหรือควรจะได้ทำการแลกเปลี่ยนและความเสียหายที่โจทก์จะได้รับก็คือ ความเสียหายในเวลาที่มีการผิดนัดชำระหนี้ และต้องคิดคำนวณลงเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย คือ เป็นเงินไทยในขณะนั้น จะถือว่าเสียหายเป็นเงินปอนด์สเตอร์ลิงตลอดไปไม่ได้
แม้จะมีกฎหมายว่า ไม่นำเงินตราต่างประเทศมาขายเป็นผิดอาญาก็ตาม แต่เป็นการบังคับให้ขายเงินตราต่างประเทศอีกส่วนหนึ่งในภายหลังต่างหาก ดังนั้น สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะขอให้จำเลยต้องผูกพันอยู่เดิม อายุความจึง 10 ปี หาใช่ 5 ปี โดยถืออัตราโทษทางอาญาในพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นหลักตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคแรกไม่
การที่ต่างประเทศมีกฎหมายห้ามนำเงินตราออกนั้น ไม่ใช่เป็นข้อแก้ตัวว่าเป็นการพ้นวิสัย อันจะทำให้พ้นจากความรับผิดในการชำระหนี้
แม้จะมีกฎหมายว่า ไม่นำเงินตราต่างประเทศมาขายเป็นผิดอาญาก็ตาม แต่เป็นการบังคับให้ขายเงินตราต่างประเทศอีกส่วนหนึ่งในภายหลังต่างหาก ดังนั้น สิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะขอให้จำเลยต้องผูกพันอยู่เดิม อายุความจึง 10 ปี หาใช่ 5 ปี โดยถืออัตราโทษทางอาญาในพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นหลักตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคแรกไม่
การที่ต่างประเทศมีกฎหมายห้ามนำเงินตราออกนั้น ไม่ใช่เป็นข้อแก้ตัวว่าเป็นการพ้นวิสัย อันจะทำให้พ้นจากความรับผิดในการชำระหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยมีหน้าที่ส่งคืนทรัพย์เช่า แม้จะมอบให้บุคคลภายนอก และต้องจัดการเรียกคืนการครอบครอง
ผู้ให้เช่าฟ้องขอให้ผู้เช่าส่งมอบทรัพย์ที่เช่าคืน เพราะเลิกสัญญาเช่ากันแล้ว ผู้เช่าให้การว่าทรัพย์ที่เช่านั้น บุคคลภายนอกได้ยึดหน่วงไว้โดยอ้างว่า ผู้ให้เช่าค้างชำระค่าเช่า และทำของของเขาเสียหายจึงไม่สามารถส่งคืนได้ จึงขอให้เรียกบุคคลภายนอกนั้นเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยเช่นนี้ ศาลย่อมมีคำสั่งให้หมายเรียกบุคคลภายนอกนั้นเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยได้และเมื่อบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยแล้ว ศาลก็ย่อมพิพากษาบังคับให้บุคคลภายนอกนั้นส่งมอบทรัพย์ที่เช่าแก่ผู้ให้เช่าได้ไม่เป็นการนอกคำขอท้ายฟ้องเพราะถือได้ว่าคำขอย่อมบังคับเอาแก่จำเลยทุกคนโดยร่วมกันและแทนกัน
เช่าทรัพย์เขามาโดยได้รับมอบทรัพย์ที่เช่ามาจากเขา แล้วครั้นเมื่อเลิกสัญญาเช่ากัน ไม่ส่งคืนทรัพย์ที่เขาแก่เขา กลับเอาไปมอบแก่บุคคลภายนอก ครั้นเขาทวงคืน จึงไปขอจากบุคคลภายนอก ๆ ไม่ยอมคืนให้ ดังตนชอบที่จะต้องจัดการเรียกคืนการครอบครองตามสิทธิของตน ถ้าไม่+ารดังกล่าวแล้ว จะอ้าง+เป็นเหตุสุดวิสัยในการชำระหนี้ ไม่ได้
เช่าทรัพย์เขามาโดยได้รับมอบทรัพย์ที่เช่ามาจากเขา แล้วครั้นเมื่อเลิกสัญญาเช่ากัน ไม่ส่งคืนทรัพย์ที่เขาแก่เขา กลับเอาไปมอบแก่บุคคลภายนอก ครั้นเขาทวงคืน จึงไปขอจากบุคคลภายนอก ๆ ไม่ยอมคืนให้ ดังตนชอบที่จะต้องจัดการเรียกคืนการครอบครองตามสิทธิของตน ถ้าไม่+ารดังกล่าวแล้ว จะอ้าง+เป็นเหตุสุดวิสัยในการชำระหนี้ ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้เช่าส่งมอบทรัพย์ให้บุคคลภายนอกหลังเลิกสัญญา ผู้ให้เช่ามีสิทธิเรียกคืนจากบุคคลภายนอกได้
ผู้ให้เช่าฟ้องขอให้ผู้เช่าส่งมอบทรัพย์ที่เช่าคืนเพราะเลิกสัญญาเช่ากันแล้ว ผู้เช่าให้การว่าทรัพย์ที่เช่านั้น บุคคลภายนอกได้ยึดหน่วงไว้โดยอ้างว่า ผู้ให้เช่าค้างชำระค่าเช่า และทำของของเขาเสียหายจึงไม่สามารถส่งคืนได้ จึงขอให้เรียกบุคคลภายนอกนั้นเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยเช่นนี้ ศาลย่อมมีคำสั่งให้หมายเรียกบุคคลภายนอกนั้นเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยได้และเมื่อบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยแล้ว ศาลก็ย่อมพิพากษาบังคับให้บุคคลภายนอกนั้นส่งมอบทรัพย์ที่เช่าแก่ผู้ให้เช่าได้ไม่เป็นการนอกคำขอท้ายฟ้อง เพราะถือได้ว่าคำขอย่อมบังคับเอาแก่จำเลยทุกคนโดยร่วมกันและแทนกันได้
เช่าทรัพย์เขามาโดยได้รับมอบทรัพย์ที่เช่ามาจากเขาแล้ว ครั้นเมื่อเลิกสัญญาเช่ากัน ไม่ส่งคืนทรัพย์ที่เช่าแก่เขา กลับเอาไปมอบแก่บุคคลภายนอก ครั้นเขาทวงคืนจึงไปขอจากบุคคลภายนอกบุคคลภายนอกไม่ยอมคืนให้ ดังนี้ตนชอบที่จะต้องจัดการเรียกคืนการครอบครองตามสิทธิของตนถ้าไม่จัดการดังกล่าวแล้ว จะอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยในการชำระหนี้ไม่ได้
เช่าทรัพย์เขามาโดยได้รับมอบทรัพย์ที่เช่ามาจากเขาแล้ว ครั้นเมื่อเลิกสัญญาเช่ากัน ไม่ส่งคืนทรัพย์ที่เช่าแก่เขา กลับเอาไปมอบแก่บุคคลภายนอก ครั้นเขาทวงคืนจึงไปขอจากบุคคลภายนอกบุคคลภายนอกไม่ยอมคืนให้ ดังนี้ตนชอบที่จะต้องจัดการเรียกคืนการครอบครองตามสิทธิของตนถ้าไม่จัดการดังกล่าวแล้ว จะอ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยในการชำระหนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 114/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อยกเว้นการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพระราชทาน: การตีความต้องจำกัด และมีข้อแตกต่างตามแต่ละรัชกาล
การตีความข้อยกเว้นจากหลักทั่วไป ต้องตีความโดยจำกัดเงื่อนไขห้ามการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้ก่อนตายหรือโดยพินัยกรรมจะมีอยู่ได้ก็โดยจำกัดอย่างเคร่งครัด
พระราชหัตถเลขาพระราชทานที่ดิน มีข้อความว่า ยกที่ดินให้เป็นสิทธิแก่ผู้รับผู้เดียว ถ้าผู้รับไม่มีตัวลงเมื่อใดก็ให้ที่ตกเป็นของผู้ที่ควรจะได้รับมรดกตามความพอใจของผู้รับหรือตามพระราชกำหนดกฎหมายต่อไปอีกประการหนึ่งในเวลาที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ถ้าผู้รับจะขายที่รายนี้ให้แก่ผู้ใดต้องบอกให้พระองค์รู้ก่อน เมื่อพระองค์ทรงอนุญาตแล้วจึงขายได้ ดังนี้ ย่อมเห็นได้ชัดแล้วว่าเมื่อพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตแล้ว ผู้รับก็มิต้องขอพระบรมราชานุญาตอย่างใดในการโอน
พระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงสั่งไว้ในเรื่องพระทรงพลราบขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตขายที่ดินซึ่งได้รับพระราชทาน ให้แก่นายพีทีวอง เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2471 ซึ่งมีข้อความว่า'..สำหรับกระทรวงเกษตรนั้น จะจัดการตามหน้าที่ ให้ในเรื่องเช่นนี้ได้ต่อเมื่อเจ้าของที่มีหนังสือสำคัญแสดงว่าได้รับพระบรมราชานุญาตให้ขาย ก็ให้จัดการไปได้ถ้าไม่มีหนังสือต้องไม่รับรู้เสียทีเดียว ให้ไปนำหนังสือมาก่อน...'นั้น เป็นพระบรมราชโองการเพื่อวางวิธีการปฏิบัติสำหรับที่ดินที่พระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 6 พระราชทานแก่ข้าทูลละอองธุลีพระบาทของพระองค์ซึ่งยังสับสนกันอยู่เท่านั้น คำว่า'เรื่องเช่นนี้'จะแปลความไปให้หมายถึงที่ดินที่พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของพระองค์ไม่ว่าในรัชกาลใดๆ นั้นหาได้ไม่
พระราชหัตถเลขาพระราชทานที่ดิน มีข้อความว่า ยกที่ดินให้เป็นสิทธิแก่ผู้รับผู้เดียว ถ้าผู้รับไม่มีตัวลงเมื่อใดก็ให้ที่ตกเป็นของผู้ที่ควรจะได้รับมรดกตามความพอใจของผู้รับหรือตามพระราชกำหนดกฎหมายต่อไปอีกประการหนึ่งในเวลาที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ถ้าผู้รับจะขายที่รายนี้ให้แก่ผู้ใดต้องบอกให้พระองค์รู้ก่อน เมื่อพระองค์ทรงอนุญาตแล้วจึงขายได้ ดังนี้ ย่อมเห็นได้ชัดแล้วว่าเมื่อพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตแล้ว ผู้รับก็มิต้องขอพระบรมราชานุญาตอย่างใดในการโอน
พระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงสั่งไว้ในเรื่องพระทรงพลราบขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตขายที่ดินซึ่งได้รับพระราชทาน ให้แก่นายพีทีวอง เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2471 ซึ่งมีข้อความว่า'..สำหรับกระทรวงเกษตรนั้น จะจัดการตามหน้าที่ ให้ในเรื่องเช่นนี้ได้ต่อเมื่อเจ้าของที่มีหนังสือสำคัญแสดงว่าได้รับพระบรมราชานุญาตให้ขาย ก็ให้จัดการไปได้ถ้าไม่มีหนังสือต้องไม่รับรู้เสียทีเดียว ให้ไปนำหนังสือมาก่อน...'นั้น เป็นพระบรมราชโองการเพื่อวางวิธีการปฏิบัติสำหรับที่ดินที่พระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 6 พระราชทานแก่ข้าทูลละอองธุลีพระบาทของพระองค์ซึ่งยังสับสนกันอยู่เท่านั้น คำว่า'เรื่องเช่นนี้'จะแปลความไปให้หมายถึงที่ดินที่พระมหากษัตริย์พระราชทานแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของพระองค์ไม่ว่าในรัชกาลใดๆ นั้นหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1316/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดในการฎีกาขอโทษฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา หากศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นที่ยกข้อหา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 ศาลชั้นต้นลงโทษ ตามมาตรา254 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษตามมาตรา 251 ดังนี้ถือว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นในข้อที่ให้ยกข้อหาของโจทก์ในฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา 249แล้ว โจทก์จะฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 249 ไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 (อ้างฎีกา773/2491)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 462/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายแร่: การตีความสัญญา, เหตุสุดวิสัย, และฐานตัวแทนที่มิได้เปิดเผย
การที่จำเลยทำสัญญาขายแร่ในนามของตนเอง ในสัญญามิได้ระบุว่าทำแทนใคร แม้จะมีตัวการ ๆ ก็ไม่เคยแสดงต่อผู้ซื้อมาก่อนว่าจำเลยทำแทน ดังนี้ จำเลยต้องรับผิดตามสัญญา ตัวการหาอาจทำให้เสื่อมสิทธิของผู้ซื้อที่มีต่อจำเลย ฐานจำเลยผิดสัญญาได้ไม่
เมื่อข้อความในสัญญามิได้ระบุว่า จำเลยทำแทนผู้ใด ที่จำเลยนำสืบว่าทำในฐานะตัวแทน จึงต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 94
ข้อสัญญาที่ว่า ค่าส่งจากสถานีโกดังผู้ซื้อ ผู้ขายต้องเสียเองนั้น หมายถึงว่า ผู้ขายต้องส่งมอบถึงโกดังผู้ซื้อ ไม่หมายเลยไปถึงว่า ผู้ขายจะต้องไปเอาแร่จากที่ใดที่หนึ่งมาส่ง ผู้ขายจึงอ้างเหตุสุดวิสัยว่าไม่สามารถขนส่งแร่จากที่หนึ่งมาแก้ตัวไม่ได้
การซื้อขายแร่แม้ผู้ซื้อขายไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติความผิดอยู่ที่ไม่ขออนุญาตกฎหมายมิได้ห้ามการซื้อขายแร่ทั้งสัญญาได้ทำในจังหวัดที่ยังมิได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.การทำเหมืองแร่ ฯ 2474 สัญญานั้นไม่เป็นโมฆะ
เมื่อข้อความในสัญญามิได้ระบุว่า จำเลยทำแทนผู้ใด ที่จำเลยนำสืบว่าทำในฐานะตัวแทน จึงต้องห้ามตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 94
ข้อสัญญาที่ว่า ค่าส่งจากสถานีโกดังผู้ซื้อ ผู้ขายต้องเสียเองนั้น หมายถึงว่า ผู้ขายต้องส่งมอบถึงโกดังผู้ซื้อ ไม่หมายเลยไปถึงว่า ผู้ขายจะต้องไปเอาแร่จากที่ใดที่หนึ่งมาส่ง ผู้ขายจึงอ้างเหตุสุดวิสัยว่าไม่สามารถขนส่งแร่จากที่หนึ่งมาแก้ตัวไม่ได้
การซื้อขายแร่แม้ผู้ซื้อขายไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติความผิดอยู่ที่ไม่ขออนุญาตกฎหมายมิได้ห้ามการซื้อขายแร่ทั้งสัญญาได้ทำในจังหวัดที่ยังมิได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.การทำเหมืองแร่ ฯ 2474 สัญญานั้นไม่เป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 462/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายแร่: การส่งมอบ, ข้อจำกัดการอ้างเหตุสุดวิสัย, และการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในสัญญา
การที่จำเลยทำสัญญาขายแร่ในนามของตนเอง ในสัญญามิได้ระบุว่าทำแทนใคร แม้จะมีตัวการตัวการก็ไม่เคยแสดงต่อผู้ซื้อมาก่อนว่าจำเลยทำแทน ดังนี้จำเลยต้องรับผิดตามสัญญา ตัวการหาอาจทำให้เสื่อมสิทธิของผู้ซื้อที่มีต่อจำเลย ฐานจำเลยผิดสัญญาได้ไม่
เมื่อข้อความในสัญญามิได้ระบุว่า จำเลยทำแทนผู้ใด ที่จำเลยนำสืบว่าทำในฐานะตัวแทน จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94
ข้อสัญญาที่ว่า ค่าส่งจากสถานีถึงโกดังผู้ซื้อ ผู้ขายต้องเสียเองนั้นหมายถึงว่า ผู้ขายต้องส่งมอบถึงโกดังผู้ซื้อ ไม่หมายเลยไปถึงว่า ผู้ขายจะต้องไปเอาแร่จากที่ใดที่หนึ่งมาส่ง ผู้ขายจึงอ้างเหตุสุดวิสัยว่าไม่สามารถขนส่งแร่จากที่หนึ่งมาแก้ตัวไม่ได้
การซื้อขายแร่แม้ผู้ซื้อขายไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติความผิดอยู่ที่ไม่ขออนุญาตกฎหมายมิได้ห้ามการซื้อขายแร่ทั้งสัญญาได้ทำในจังหวัดที่ยังมิได้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ฯ 2474 สัญญานั้นไม่เป็นโมฆะ
เมื่อข้อความในสัญญามิได้ระบุว่า จำเลยทำแทนผู้ใด ที่จำเลยนำสืบว่าทำในฐานะตัวแทน จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94
ข้อสัญญาที่ว่า ค่าส่งจากสถานีถึงโกดังผู้ซื้อ ผู้ขายต้องเสียเองนั้นหมายถึงว่า ผู้ขายต้องส่งมอบถึงโกดังผู้ซื้อ ไม่หมายเลยไปถึงว่า ผู้ขายจะต้องไปเอาแร่จากที่ใดที่หนึ่งมาส่ง ผู้ขายจึงอ้างเหตุสุดวิสัยว่าไม่สามารถขนส่งแร่จากที่หนึ่งมาแก้ตัวไม่ได้
การซื้อขายแร่แม้ผู้ซื้อขายไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติความผิดอยู่ที่ไม่ขออนุญาตกฎหมายมิได้ห้ามการซื้อขายแร่ทั้งสัญญาได้ทำในจังหวัดที่ยังมิได้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ฯ 2474 สัญญานั้นไม่เป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายบุรณาการ - ฟ้องบังคับก่อนเงื่อนไขครบถ้วนเป็นอุปสรรค
มารดากับบุตรทำสัญญาจะขายทรัพย์มฤดกรายเดียวกันให้แก่ผู้ซื้อ ถือว่า เป็นสัญญาไม่อาจแบ่งแยก ผู้ซื้อจะมาฟ้องบังคับผู้ขายคนใดคนหนึ่งมิได้
สัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งมีเงื่อนไขว่า ฝ่ายผู้ขายจะไปขอโอนใส่ชื่อผู้ขาย เป็นเจ้าของแล้วจะโอนขายให้ผู้ซื้อใน 3 เดือนนั้น เมื่อผู้ขายยังไปโอนใส่ชื่อผู้ขายไม่ได้โดยมีอุปสรรคอยู่ หากผู้ซื้อมาฟ้องบังคับตามสัญญาจะซื้อขาย ดังนี้ ถือว่าผู้ซื้อมาฟ้องก่อนการเป็นไปตามเงื่อนไข
สัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งมีเงื่อนไขว่า ฝ่ายผู้ขายจะไปขอโอนใส่ชื่อผู้ขาย เป็นเจ้าของแล้วจะโอนขายให้ผู้ซื้อใน 3 เดือนนั้น เมื่อผู้ขายยังไปโอนใส่ชื่อผู้ขายไม่ได้โดยมีอุปสรรคอยู่ หากผู้ซื้อมาฟ้องบังคับตามสัญญาจะซื้อขาย ดังนี้ ถือว่าผู้ซื้อมาฟ้องก่อนการเป็นไปตามเงื่อนไข
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายที่ดินไม่อาจแบ่งแยก ฟ้องบังคับก่อนเงื่อนไขเป็นไปไม่ได้
มารดากับบุตรทำสัญญาจะขายทรัพย์มรดกรายเดียวกันให้แก่ผู้ซื้อ ถือว่า เป็นสัญญาไม่อาจแบ่งแยก ผู้ซื้อจะมาฟ้องบังคับผู้ขายคนใดคนหนึ่งมิได้
สัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งมีเงื่อนไขว่า ฝ่ายผู้ขายจะไปขอโอนใส่ชื่อผู้ขายเป็นเจ้าของแล้วจะโอนขายให้ผู้ซื้อใน 3 เดือนนั้น เมื่อผู้ขายยังไปโอนใส่ชื่อผู้ขายไม่ได้โดยมีอุปสรรคอยู่ หากผู้ซื้อมาฟ้องบังคับตามสัญญาจะซื้อขาย ดังนี้ ถือว่าผู้ซื้อมาฟ้องก่อนการเป็นไปตามเงื่อนไข
สัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งมีเงื่อนไขว่า ฝ่ายผู้ขายจะไปขอโอนใส่ชื่อผู้ขายเป็นเจ้าของแล้วจะโอนขายให้ผู้ซื้อใน 3 เดือนนั้น เมื่อผู้ขายยังไปโอนใส่ชื่อผู้ขายไม่ได้โดยมีอุปสรรคอยู่ หากผู้ซื้อมาฟ้องบังคับตามสัญญาจะซื้อขาย ดังนี้ ถือว่าผู้ซื้อมาฟ้องก่อนการเป็นไปตามเงื่อนไข