คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 238

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 137 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3645/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย ต้องพิจารณาความรับผิดของผู้เอาประกันภัยควบคู่ไปด้วย
คู่ความตกลงท้ากันให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย ล.1 จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ หากต้องรับผิดจำเลยที่ 3 ยอมชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เต็มตามฟ้อง มิได้ตกลงท้ากันให้ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไว้หรือไม่ ฉะนั้นเพียงข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 3 ได้รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้ จะให้จำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ย่อมไม่ได้ต้องพิจารณาต่อไปด้วยว่า การที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้นั้น จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตามเอกสารหมาย ล.1 ว.เป็นผู้เอาประกันภัย จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อเมื่อ ว. ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกไม่ปรากฏว่า ว. เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 อย่างใด เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีนั้น เป็นการวินิจฉัยความรับผิดของจำเลยที่ 3 ตามเอกสารหมาย ล.1 มิใช่เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกสำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2245/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความจำนอง-ฟ้องเคลือบคลุม-ผิดนัดชำระหนี้: สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ตามมาตรา 189 และผลของการผิดนัด
คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยอุทธรณ์ทั้งปัญหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงแล้วยกฟ้องโจทก์โดยมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์ โดยฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนได้ โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะทายาทของ ต. ผู้ตาย เพื่อให้จำเลยไถ่ถอนที่ดินที่ ต. จำนองประกันหนี้เงินกู้ไว้ แม้จะฟ้องหลังจาก ต. ตายไปแล้วเกิน 1 ปี คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรคสามแล้วก็ตาม แต่บทบัญญัติดังกล่าวก็บัญญัติยกเว้นมิให้บังคับแก่กรณีสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ตามมาตรา 189 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยได้
เมื่อฟ้องไม่ยืนยันว่า ต. ไม่ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์เลย หรือผิดนัดชำระแต่เมื่อใด จึงไม่สามารถคำนวณดอกเบี้ยได้ถูกต้อง ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับดอกเบี้ยจึงไม่ชัดแจ้ง เป็นฟ้องเคลือบคลุม โจทก์จะเรียกให้จำเลยชำระดอกเบี้ยที่ค้างไม่ได้
โจทก์ส่งหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองภายใน 15 วัน จำเลยอ่านข้อความแล้วไม่ยอมเซ็นรับหนังสือ ดังนี้ เมื่อครบกำหนด 15 วัน นับแต่วันส่งหนังสือแก่จำเลย จำเลยมิได้ชำระหนี้ ถือได้ว่าจำเลยผิดนัด โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้ตั้งแต่วันผิดนัดเป็นต้นไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3607/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าหมดอายุ และสิทธิในการฟ้องขับไล่ของผู้ซื้อทรัพย์สิน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากตึกพิพาทซึ่งจำเลยเช่าจากเจ้าของเดิมในอัตราค่าเช่าเดือนละ 500 บาท จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาทซึ่งจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เป็นคดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย และในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
จำเลยเช่าตึกพิพาทจากเจ้าของเดิม ในสัญญาเช่ามีข้อตกลงว่า ถ้าผู้ให้เช่าตกลงขายทรัพย์สินที่ให้เช่าให้แก่ผู้ใดก่อนครบกำหนดการเช่าตามสัญญาแล้วผู้ให้เช่าจะต้องแจ้งให้ผู้เช่าทราบด้วยว่าจะตกลงขายแก่ผู้ใดเป็นเงินเท่าใด เพื่อผู้เช่าจะได้มีโอกาสตกลงซื้อได้ก่อนในเมื่อเห็นว่าเป็นราคาสมควร ข้อตกลงนี้เป็นข้อกำหนดให้ผู้ให้เช่าแจ้งแก่ผู้เช่า จึงไม่มีผลถึงโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกแม้โจทก์จะซื้อตึกพิพาทโดยรู้ถึงข้อตกลงดังกล่าวก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเมื่อตึกพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และระยะเวลาตามสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับเจ้าของเดิมก็สิ้นสุดลงแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1652/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีขับไล่ผู้เช่าหลังสัญญาหมดอายุ แม้มีการเก็บค่าเช่าต่อ ก็ไม่ถือเป็นสัญญาใหม่
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นบริวารของผู้เช่าออกจากตึกแถวที่เช่าเพราะครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว โดยเรียกค่าเสียหายที่ไม่อาจให้ผู้อื่นเช่าได้ค่าเช่าเดือนละ 1,500 บาทมาด้วย จำเลยให้การต่อสู้ว่ายังไม่ครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่า และโจทก์ให้จำเลยเช่าต่อจากบิดาจำเลย เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าหรือผู้อาศัยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 3 จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย และศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังมาจากพยานหลักฐานในสำนวน
ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 1,000 บาท เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นและเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้จำเลยอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ถึงแม้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับบิดาจำเลยจะเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ก็ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิอยู่ในตึกแถวพิพาทหลังจากสัญญาเช่าครบกำหนดได้
เมื่อสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับบิดาจำเลยระงับลงตามกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว โจทก์ผู้ให้เช่าจึงไม่ต้องบอกกล่าวเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 564
หลังจากบิดาจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าถึงแก่กรรม แม้โจทก์ยังเก็บค่าเช่าจากจำเลยและออกใบเสร็จรับเงินให้ แต่ออกให้ในนามของบิดาจำเลย กรณีจึงถือไม่ได้ว่าใบเสร็จรับเงินดังกล่าวเป็นหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือระหว่างโจทก์กับจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1652/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีขับไล่ผู้เช่าพ้นอาคารหลังสัญญาเช่าสิ้นสุด ศาลจำกัดสิทธิอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายตามมาตรา 224 ว.สอง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นบริวารของผู้เช่าออกจากตึกแถวที่เช่าเพราะครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว โดยเรียกค่าเสียหายที่ไม่อาจให้ผู้อื่นเช่าได้ค่าเช่าเดือนละ 1,500บาทมาด้วย จำเลยให้การต่อสู้ว่ายังไม่ครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่า และโจทก์ให้จำเลยเช่าต่อจากบิดาจำเลยเป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าหรือผู้อาศัยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 2,000 บาทจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2518 มาตรา 3จำเลยจึงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย และศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังมาจากพยานหลักฐานในสำนวน
ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 1,000 บาทเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นและเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้จำเลยอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ถึงแม้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับบิดาจำเลยจะเป็นสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา ก็ไม่ทำให้จำเลยมีสิทธิอยู่ในตึกแถวพิพาทหลังจากสัญญาเช่าครบกำหนดได้
เมื่อสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับบิดาจำเลยระงับลงตามกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้แล้ว โจทก์ผู้ให้เช่าจึงไม่ต้องบอกกล่าวเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 564
หลังจากบิดาจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าถึงแก่กรรม แม้โจทก์ยังเก็บค่าเช่าจากจำเลยและออกใบเสร็จรับเงินให้ แต่ออกให้ในนามของบิดาจำเลย กรณีจึงถือไม่ได้ว่าใบเสร็จรับเงินดังกล่าวเป็นหลักฐานการเช่าเป็นหนังสือระหว่างโจทก์กับจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1713/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายและการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องเรียกค่าซ่อมหม้อแปลงไฟฟ้าจากจำเลยเป็นเงิน 19,920 บาท โดยอ้างว่าหม้อแปลงชำรุดในระหว่างเวลารับประกันศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยประกันจะซ่อมให้เมื่อหม้อแปลงชำรุดภายใน 180 วัน หม้อแปลงรายพิพาทชำรุดเมื่อพ้นเวลารับประกันแล้วจำเลยไม่ต้องรับผิดพิพากษายกฟ้องดังนี้ โจทก์จะอุทธรณ์ได้เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายและการวินิจฉัยข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาจากพยานหลักฐานในสำนวนที่โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง และโจทก์มีสิทธินำสืบพยานว่าตามสัญญาซื้อขายจำเลยรับประกัน 5-10 ปีนั้นเมื่อศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยรับประกันเพียง 180 วัน หม้อแปลงรายพิพาทชำรุดเมื่อพ้นกำหนดเวลารับประกันแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิด ดังนั้น ปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์อุทธรณ์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้พิจารณาพิพากษาใหม่ จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2415/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีขับไล่ขึ้นอยู่กับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน แม้จะมีคำพิพากษาภายหลังก็เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วไม่ได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่าให้ออกจากห้องพิพาทซึ่งมีค่าเช่าเดือนละ 80 บาท จำเลยให้การรับว่าได้เช่าห้องพิพาทจากโจทก์จริงแต่ต่อสู้ว่าห้องพิพาทมิใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ แต่เป็นของกรมธนารักษ์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ข้อต่อสู้ของจำเลยเช่นนี้หาใช่ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1619/2506)คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 และ 247ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าห้องพิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่ ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังเป็นยุติตามนั้น แม้ต่อมาภายหลังจะมีคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเรื่องอื่นวินิจฉัยว่าห้องพิพาทเป็นของกรมธนารักษ์กระทรวงการคลังก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงซึ่งศาลชั้นต้นฟังเป็นยุติแล้วในคดีนี้ได้
เมื่อจำเลยรับว่าได้เช่าห้องพิพาทจากโจทก์ จำเลยจะเถียงสิทธิของโจทก์ผู้ให้เช่าว่าห้องพิพาทเป็นของผู้อื่น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1531 - 1532/2499) ข้อที่จำเลยอ้างว่าได้ทำสัญญาเช่าจากกรมธนารักษ์ผู้เป็นเจ้าของแล้วจำเลยมีสิทธิจะอยู่และใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าได้นั้น เป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากคดีนี้ จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2415/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องขับไล่ยึดตามกรรมสิทธิ์เดิม แม้กรรมสิทธิ์จะเปลี่ยนภายหลัง ศาลยึดข้อเท็จจริงเดิมที่ฟังเป็นยุติ
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่าให้ออกจากห้องพิพาทซึ่งมีค่าเช่าเดือนละ 80 บาท จำเลยให้การรับว่าได้เช่าห้องพิพาทจากโจทก์จริง แต่ต่อสู้ว่า ห้องพิพาทมิใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ แต่เป็นของกรมธนารักษ์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ข้อต่อสู้ของจำเลยเช่นนี้หาใช่ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1619/2506) คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 และ 247ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าห้องพิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่ ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังเป็นยุติตามนั้น แม้ต่อมาภายหลังจะมีคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเรื่องอื่นวินิจฉัยว่าห้องพิพาทเป็นของกรมธนารักษ์กระทรวงการคลังก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงซึ่งศาลชั้นต้นฟังเป็นยุติแล้วในคดีนี้ได้
เมื่อจำเลยรับว่าได้เช่าห้องพิพาทจากโจทก์ จำเลยจะเถียงสิทธิของโจทก์ผู้ให้เช่าว่าห้องพิพาทเป็นของผู้อื่น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1531-1532/2499) ข้อที่จำเลยอ้างว่าได้ทำสัญญาเช่าจากกรมธนารักษ์ผู้เป็นเจ้าของแล้วจำเลยมีสิทธิจะอยู่และใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าได้นั้นเป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากคดีนี้ จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 451/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีขับไล่ผู้เช่าค่าเช่าต่ำกว่า 2,000 บาท ห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ศาลต้องยึดข้อเท็จจริงเดิม
คดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงย่อมเป็นอันยุติแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จำต้องฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้น จะวินิจฉัยให้เป็นอย่างอื่นหาชอบด้วยวิธีพิจารณาไม่
การเช่าโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา เมื่อผู้ให้เช่าได้บอกเลิกการเช่ากับผู้เช่าด้วยวาจาแล้ว สัญญาเช่าย่อมระงับไปปัญหาที่ว่าการบอกเลิกการเช่าโดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับซึ่งทำภายหลัง จะเป็นการบอกเลิกการเช่าโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่จำต้องพิจารณาเพราะสัญญาเช่าได้ระงับไปแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 451/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีขับไล่ผู้เช่า: ข้อเท็จจริงยุติแล้ว ศาลต้องฟังตามชั้นต้น แม้การบอกเลิกซ้ำซ้อน
คดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงย่อมเป็นอันยุติแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จำต้องฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้น จะวินิจฉัยให้เป็นอย่างอื่นหาชอบด้วยวิธีพิจารณาไม่
การเช่าโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา เมื่อผู้ให้เช่าได้บอกเลิกการเช่ากับผู้เช่าด้วยวาจาแล้ว สัญญาเช่าย่อมระงับไปปัญหาที่ว่าการบอกเลิกการเช่าโดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับซึ่งทำภายหลัง จะเป็นการบอกเลิกการเช่าโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ไม่จำต้องพิจารณาเพราะสัญญาเช่าได้ระงับไปแล้ว
of 14