พบผลลัพธ์ทั้งหมด 50 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งเด็กไปฝึกอบรมแทนการลงโทษจำคุก: ศาลฎีกาห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหากศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาเดิม
การส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางเป็นเวลา 2 ปี นั้น ไม่เป็นการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18 แต่เป็นวิธีการสำหรับเด็กตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 74(5) ที่เบากว่าการลงโทษจำคุก เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยฎีกาว่า มิใช่เด็กเร่ร่อนจรจัด มีบิดามารดาให้ความอบอุ่นและหลักฐานบ้านช่องพร้อมที่จะให้ความรับรองต่อศาลจำเลยยังศึกษาอยู่ในโรงเรียน จำเลยมิได้มีเถยจิตหรือสันดานเป็นอาชญากร ขอใช้วิธีการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 อนุ (1) ถึง (3)นั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้ แต่ถ้าจำเลยหรือบิดามารดาจำเลยเห็นว่า พฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ก็ย่อมมีสิทธิที่จะไปร้องต่อศาลชั้นต้น เพื่อขอให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งหรือสั่งใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1510/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาจากความขัดแย้งเรื่องค่าอาหาร ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิมไม่ลดโทษ
จำเลยที่ 1 อายุ 19 ปี จำเลยที่ 2 อายุ 17 ปี เป็นนักเรียนโรงเรียนช่างกลแห่งหนึ่ง เลิกเรียนแล้วได้ไปดื่มสุราที่ร้านอาหารที่มีการแสดงดนตรีจนดึกเกือบ 24 นาฬิกา แล้วแสดงความประพฤติไม่ดีจะไม่จ่ายค่าอาหาร ครั้นถูกติดตามทวงค่าอาหารก็เกิดความไม่พอใจและไปพาพวกมายิงพนักงานร้านอาหารนั้นจนถึงแก่ความตาย แสดงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 รู้สึกผิดชอบเป็นผู้ใหญ่และประพฤติตนเป็นอาชญากรเหี้ยมโหดถึงกับฆ่าผู้ประกอบกิจการงานโดยสุจริต เป็นภัยแก่สังคมอย่างยิ่ง ไม่สมควรได้รับการลดมาตราส่วนโทษลงอีก หรือดำเนินการตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3352/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งตัวนักเรียนกระทำผิดไปฝึกอบรมไม่ใช่การลงโทษ จึงห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีความผิด ให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางนั้น มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นวิธีการที่เบากว่าการลงโทษจำคุก จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3352/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งตัวผู้เยาว์เข้าสถานพินิจไม่ใช่การลงโทษ จึงไม่สามารถฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยมีความผิด ให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางนั้น มิใช่เป็นการลงโทษ แต่เป็นวิธีการที่เบากว่าการลงโทษจำคุก จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับเด็กในคดีอาญา: การพิจารณาข้อจำกัดในการอุทธรณ์ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยซึ่งมีอายุ 12 ปี มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางมีกำหนด 6 ปี แต่อย่าให้เกินกว่าจำเลยมีอายุครบ 18 ปี จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74(2) โดยบิดาจำเลยขอรับตัวไปและจะปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาล ดังนี้ เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาดังกล่าวไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะอุทธรณ์ได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ทวิ(1) ถึง (4) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษเด็กอายุ 12 ปีในคดีลักทรัพย์ ซึ่งถูกจำกัดสิทธิการอุทธรณ์ตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยซึ่งมีอายุ 12 ปี มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางมีกำหนด 6 ปี แต่อย่าให้เกินกว่าจำเลยมีอายุครบ 18 ปี จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 (2) โดยบิดาจำเลยขอรับตัวไปและจะปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาล ดังนี้ เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาดังกล่าวไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะอุทธรณ์ได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ (1) ถึง (4) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1506/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย บาดแผลเล็กน้อยเข้าข่ายวรรคสองมาตรา 339 และการบังคับชำระค่าปรับจากศาล
จำเลยกับพวกร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายชกต่อยผู้เสียหายปรากฏตามรายงานการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เพียงว่า คางข้างขวาบวม ไม่มีเขียว ไม่ช้ำ รักษาหายภายใน 3 วัน เป็นบาดแผลเล็กน้อย ไม่ถึงกับเป็นเหตุได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง มิใช่วรรคสี่
การขอให้ศาลปรับผู้ปกครองในกรณีเด็กก่อเหตุร้ายขึ้นภายในเวลาในข้อกำหนด นั้น จะต้องร้องขอในคดีเดิมที่ศาลวางข้อกำหนดไว้ โจทก์จะมาขอในคดีนี้ไม่ได้
การขอให้ศาลปรับผู้ปกครองในกรณีเด็กก่อเหตุร้ายขึ้นภายในเวลาในข้อกำหนด นั้น จะต้องร้องขอในคดีเดิมที่ศาลวางข้อกำหนดไว้ โจทก์จะมาขอในคดีนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1506/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย การพิจารณาความรุนแรงของบาดแผล และการบังคับชำระค่าปรับ
จำเลยกับพวกร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายชกต่อยผู้เสียหายปรากฏตามรายงาน การตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เพียงว่า คางข้างขวาบวม ไม่มีเขียว ไม่ช้ำ รักษาหายภายใน 3 วัน เป็นบาดแผลเล็กน้อย ไม่ถึงกับเป็นเหตุได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสองมิใช่วรรคสี่
การขอให้ศาลปรับผู้ปกครองในกรณีเด็กก่อเหตุร้ายขึ้นภายในเวลาในข้อกำหนดนั้น จะต้องร้องขอในคดีเดิมที่ศาลวางข้อกำหนดไว้ โจทก์จะมาขอในคดีนี้ไม่ได้
การขอให้ศาลปรับผู้ปกครองในกรณีเด็กก่อเหตุร้ายขึ้นภายในเวลาในข้อกำหนดนั้น จะต้องร้องขอในคดีเดิมที่ศาลวางข้อกำหนดไว้ โจทก์จะมาขอในคดีนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์ในคดีการพนัน: ศาลมีอำนาจริบได้แม้ผู้กระทำผิดไม่ต้องรับโทษ หากทรัพย์สินนั้นเป็นของกลางที่ใช้ในการพนัน
ในเรื่องริบทรัพย์นั้น แม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18บัญญัติว่าเป็นโทษสถานหนึ่ง แต่ก็เป็นโทษที่มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญต่างกับโทษสถานอื่น แม้จำเลยซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดจะไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 ศาลก็ชอบที่จะสั่งริบทรัพย์สินของกลางได้
ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 10 ทรัพย์สินพนันกันซึ่งจับได้ในวงการเล่นนั้น เป็นทรัพย์สินที่ต้องริบโดยเด็ดขาดเว้นแต่ทรัพย์สินซึ่งมิได้เอาออกพนัน ส่วนทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเล่นพนัน ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจที่จะสั่งริบหรือไม่ก็ได้
ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 10 ทรัพย์สินพนันกันซึ่งจับได้ในวงการเล่นนั้น เป็นทรัพย์สินที่ต้องริบโดยเด็ดขาดเว้นแต่ทรัพย์สินซึ่งมิได้เอาออกพนัน ส่วนทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเล่นพนัน ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจที่จะสั่งริบหรือไม่ก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์ในคดีพนัน แม้ผู้กระทำความผิดไม่ต้องรับโทษ ศาลก็มีอำนาจริบได้ โดยแยกพิจารณาทรัพย์สินพนันกับเครื่องมือ
ในเรื่องริบทรัพย์นั้น แม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18บัญญัติว่าเป็นโทษสถานหนึ่ง แต่ก็เป็นโทษที่มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญ ต่างกับโทษสถานอื่น แม้จำเลยซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดจะไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 ศาลก็ชอบที่จะสั่งริบทรัพย์สินของกลางได้
ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 10 ทรัพย์สินพนันกันซึ่งจับได้ในวงการเล่นนั้น เป็นทรัพย์สินที่ต้องริบโดยเด็ดขาดเว้นแต่ทรัพย์สินซึ่งมิได้เอาออกพนัน ส่วนทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเล่นพนัน ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจที่จะสั่งริบหรือไม่ก็ได้
ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 10 ทรัพย์สินพนันกันซึ่งจับได้ในวงการเล่นนั้น เป็นทรัพย์สินที่ต้องริบโดยเด็ดขาดเว้นแต่ทรัพย์สินซึ่งมิได้เอาออกพนัน ส่วนทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเล่นพนัน ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจที่จะสั่งริบหรือไม่ก็ได้