พบผลลัพธ์ทั้งหมด 5 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1754/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาฐานลักทรัพย์-ยักยอกทรัพย์ของนายจ้าง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลฎีกาแก้ไขฐานความผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นลูกจ้างของผู้เสียหาย ได้รับมอบหมายจากผู้เสียหายให้มีหน้าที่จัดการทรัพย์สิน รวบรวมเงินค่าขายน้ำมันเชื้อเพลิงและสินค้าของผู้เสียหาย จากสถานีบริการน้ำมันจัดส่งแก่ผู้เสียหายทุกวัน แต่จำเลยได้กระทำผิดหน้าที่ตน ด้วยการไม่จัดส่งค่าขายน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าสินค้าตามหน้าที่โดยทุจริต โดยบังอาจลักเอาเงินที่เป็นของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยไปโดยทุจริต เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นการบรรยายข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏเพื่อให้ศาลวินิจฉัยลงโทษตามที่ศาลจะฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานของโจทก์ มิใช่เป็นการบรรยายฟ้องที่ขัดกันอยู่ในตัว ทั้งจำเลยมีเจตนากระทำความผิดอย่างไรเป็นเรื่องภายในใจของจำเลย ซึ่งจำเลยควรเข้าใจข้อหาได้ดีว่าโจทก์ฟ้องจำเลยว่ากระทำความผิดอย่างใด คำฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้นๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วย พอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เป็นฟ้องที่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6009/2551 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อของโจร: ศาลปรับบทลงโทษจากมาตรา 357 วรรคแรก เป็นวรรคสอง หลังจำเลยซื้อทรัพย์ที่ได้จากการปล้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยช่วยซ่อนเร้น ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับไว้โดยประการใดๆ ซึ่งวิทยุเทปติดรถยนต์จำนวน 1 เครื่อง ที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์กระบะของบริษัท ส. ซึ่งถูก จ. กับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ไป โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการปล้นทรัพย์ ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคสาม ดังนี้ คำบรรยายฟ้องดังกล่าวทำให้จำเลยสามารถเข้าใจข้อหาได้โดยถูกต้องแล้วว่าโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดอย่างไร แม้โจทก์จะขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคสาม โดยมิได้ระบุขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคสอง ให้สอดคล้องกับคำบรรยายฟ้องก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างวรรคผิดเท่านั้น มิใช่เรื่องคำฟ้องโจทก์ข้อแย้งกันแต่อย่างใด คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว
ทางพิจารณาโจทก์นำสืบได้ว่า จำเลยซื้อวิทยุเทปติดรถยนต์กระบะที่ถูก จ. กับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ไปโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการปล้นทรัพย์ ถือว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสมแล้ว เมื่อกรณีเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างวรรคผิด ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคห้า
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยซื้อวิทยุเทปดังกล่าวไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ จำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ข้อเท็จจริงจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การกระทำของจำเลยดังกล่าวย่อมเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคแรก จึงเป็นการไม่ถูกต้อง แต่มิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ และมิใช่เรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้องแต่อย่างใด ปัญหาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 อ้างวรรคผิดเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ทางพิจารณาโจทก์นำสืบได้ว่า จำเลยซื้อวิทยุเทปติดรถยนต์กระบะที่ถูก จ. กับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ไปโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการปล้นทรัพย์ ถือว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์สืบสมแล้ว เมื่อกรณีเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างวรรคผิด ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคห้า
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยซื้อวิทยุเทปดังกล่าวไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ จำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ข้อเท็จจริงจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การกระทำของจำเลยดังกล่าวย่อมเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคแรก จึงเป็นการไม่ถูกต้อง แต่มิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ และมิใช่เรื่องข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้องแต่อย่างใด ปัญหาที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 อ้างวรรคผิดเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 291/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบด้วยกฎหมายของฟ้องหมิ่นประมาทที่ไม่ระบุรายละเอียดจำนวนกรรมและเวลาที่กระทำ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 ถึง 16 สิงหาคม2532 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายต่างกรรมต่างวาระกัน โดยจำเลยได้กล่าวคำหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามพร้อมทั้งบรรยายข้อความดังกล่าวแม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระกันเป็นจำนวนกี่กรรม และแต่ละกรรมนั้นจำเลยกระทำความผิดเมื่อใดและอย่างไรก็เป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3185/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษปรับรายวันในความผิด พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร: การพิสูจน์วันเริ่มใช้และข้อจำกัดการอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานใช้อาคารประเภทควบคุมก่อนได้รับใบรับรองการก่อสร้าง ตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคารฯมาตรา 32,65 แต่ฟ้องโจทก์ในข้อหานี้ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองใช้อาคารที่ก่อสร้างวันใดระยะเวลาที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิด คือระหว่างวันที่ 2 มิถุนายน 2531ถึงวันที่ 8 กันยายน 2531 นั้น ไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยทั้งสองก่อสร้างอาคารเสร็จเมื่อใด เปิดใช้อาคารเมื่อใด แม้จำเลยทั้งสองจะให้การรับสารภาพ เมื่อไม่มีวันที่จำเลยทั้งสองใช้อาคารที่สร้างเสร็จแล้วเมื่อใด จึงไม่อาจคำนวณโทษปรับนับแต่วันที่จำเลยทั้งสองใช้อาคารที่สร้างเสร็จโดยไม่ได้รับใบรับรองจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้ ฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่สมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158(5) ศาลไม่อาจลงโทษปรับเป็นรายวันตามพ.ร.บ. ควบคุมอาคารฯ มาตรา 65 วรรคสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1809/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุตัวเจ้าของทรัพย์ในคดีลักทรัพย์: ฟ้องไม่เคลือบคลุมหากระบุได้ว่าทรัพย์เป็นของบุคคลกลุ่มที่ชัดเจน และการรับสารภาพของผู้ต้องหา
ฟ้องว่าจำเลยบังอาจอาศัยโอกาสที่มีเพลิงไหม้ลักกระปุกอัดจารบีโรงสีเล็ก 1 อัน ราคา 80 บาท ของผู้ขนย้ายสิ่งของหนีไฟ โดยทุจริต ดังนี้ พอที่จะเข้าใจได้ว่าทรัพย์เป็นของคนใดคนหนึ่ง ในพวกขนของหนีไฟ แล้วจำเลยบังอาจลักเอาไป เท่ากับฟ้องระบุตัวเจ้าทรัพย์ไว้พอสมควรที่จำเลยต่อต่อสู้คดีได้ ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
เมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วว่าได้ลักของกลางของผู้ขนของหนีไฟ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษไปได้ตามข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพนั้น ศาลจะยกเอาข้อสงสัยว่า ที่จำเลยรับอาจไม่ใช่ความจริงมาเป็นเหตุยกฟ้องหาได้ไม่
เมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วว่าได้ลักของกลางของผู้ขนของหนีไฟ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษไปได้ตามข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพนั้น ศาลจะยกเอาข้อสงสัยว่า ที่จำเลยรับอาจไม่ใช่ความจริงมาเป็นเหตุยกฟ้องหาได้ไม่