คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 ม. 30

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 38 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 232/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการขอคืนทรัพย์สิน (รถยนต์) ที่ถูกใช้ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ขึ้นอยู่กับกรรมสิทธิ์ของผู้เช่าซื้อ
ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30 วรรคสอง บัญญัติว่า "ให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีนั้นเพื่อขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตามวรรคหนึ่ง และเมื่อศาลสั่งรับคำร้องแล้วให้ศาลสั่งให้ประกาศในหนังสือพิมพ์ที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นสองวันติดต่อกันเพื่อให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินมายื่นคำร้องขอเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง..." เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากบริษัทสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ขณะจำเลยใช้รถยนต์คันนี้กระทำความผิดผู้ร้องยังผ่อนชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบถ้วน กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังเป็นของผู้ให้เช่าซื้อ ผู้ร้องจึงไม่ใช่เจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน 3 ณ - 2576 กรุงเทพมหานคร จึงไม่ใช่เจ้าของผู้มีสิทธิขอคืนรถยนต์ของกลางตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30 วรรคสอง เมื่อผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้องในประเด็นอื่นอีกเพราะไม่มีผลที่เปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9697/2556

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด: รถยนต์และโทรศัพท์มือถือ
แม้ผู้คัดค้านที่ 3 ซึ่งถูกฟ้องเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 จะถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา แต่คดีนี้ เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อขอให้ศาลสั่งริบทรัพย์สินตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30 ผู้คัดค้านที่ 3 ยื่นคำคัดค้านว่า รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ หมายเลขทะเบียน บก 9142 ปัตตานี โทรศัพท์เคลื่อนที่ ยี่ห้อโมโตโรล่าหมายเลข 0 9736 2023 เป็นของผู้คัดค้านที่ 3 ไม่ได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และศาลชั้นต้นไต่สวนจนเสร็จสิ้นกระแสความ กับวินิจฉัยในประเด็นว่าทรัพย์สินดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือไม่แล้ว จนกระทั่งคดีขึ้นสู่ศาลฎีกา จึงมิใช่กรณีที่ไม่อาจดำเนินคดีต่อไปได้เพราะเหตุที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยถึงแก่ความตาย ย่อมไม่อาจนำพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 32 วรรคสอง มาใช้บังคับ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิจารณาในส่วนของผู้คัดค้านที่ 3 ต่อไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12873/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบทรัพย์สินในคดียาเสพติด: ต้องยื่นคัดค้านก่อนศาลมีคำสั่ง
คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30 ดังนั้น การดำเนินกระบวนพิจารณาต้องปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 30 วรรคสอง จะนำเอาวิธีพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเกี่ยวกับการขาดนัดยื่นคำให้การ ขาดนัดพิจารณาและการขอพิจารณาคดีใหม่มาใช้บังคับในกรณีนี้โดยที่ไม่มีกฎหมายให้อำนาจหาได้ไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าทรัพย์สินที่พนักงานอัยการผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบเป็นรถยนต์ที่ใช้เป็นยานพาหนะเพื่อความสะดวกในการส่งมอบยาเสพติดให้โทษอันเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและศาลได้ประกาศให้หนังสือพิมพ์ที่มีจำหน่ายแพร่หลายในท้องถิ่นเป็นเวลา 2 วัน ติดต่อกันอันเป็นการปฏิบัติตามขั้นตอนของมาตรา 30 วรรคสอง แล้ว หากผู้คัดค้านที่อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางต้องการยื่นคำร้องขอคัดค้านจะต้องยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามาในคดีก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง เมื่อศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งให้ริบรถยนต์ของกลางแล้ว ผู้คัดค้านไม่มีสิทธิยื่นคำคัดค้านเข้ามาในคดีในภายหลังเพื่อขอให้พิจารณาคดีใหม่อีกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12524/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบทรัพย์สินจากคดียาเสพติด: รถยนต์และโทรศัพท์เป็นอุปกรณ์ในการกระทำผิดได้หรือไม่
เจ้าพนักงานตำรวจยึดโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ ม. ผู้ร่วมกระทำความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งพกติดตัวเป็นของกลาง โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า การล่อซื้อยาเสพติดให้โทษสายลับได้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ติดต่อกับโทรศัพท์ของ ม. ส่วนการที่เจ้าพนักงานตำรวจใช้ให้ ม. โทรศัพท์ไปติดต่อขอซื้อยาเสพติดให้โทษจากผู้คัดค้านทั้งสอง ก็เป็นการติดต่อล่อซื้อเพื่อขยายผลจับกุมผู้กระทำความผิดเพิ่มขึ้น ถือไม่ได้ว่า ม. ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการกระทำความผิด หรือเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด จึงไม่อาจริบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12034/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของกรรมสิทธิ์รถจักรยานยนต์ที่ทราบว่าทรัพย์สินถูกใช้ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แต่เพิกเฉย ไม่ดำเนินการเรียกคืน ย่อมไม่ได้รับคืน
ผู้คัดค้านที่ 2 ให้ผู้คัดค้านที่ 1 เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางมีกำหนดผ่อนชำระ 12 งวด เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 1 มิถุนายน 2547 งวดสุดท้ายวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 ต่อมาวันที่ 25 สิงหาคม 2547 เจ้าพนักงานตำรวจจับ ส. พร้อมยาเสพติดให้โทษ และยึดรถจักรยานยนต์ของกลาง ผู้คัดค้านที่ 2 ทราบเรื่องการยึดทรัพย์ตั้งแต่เดือนกันยายน 2547 แต่เพิ่งบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแก่ผู้คัดค้านที่ 1 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2549 หลังทราบเรื่องนานถึง 1 ปี 7 เดือน ทั้งยังแจ้งให้ผู้คัดค้านที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อต่อไป แสดงว่าผู้คัดค้านที่ 2 ประสงค์จะได้ค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระเท่านั้น การที่ผู้คัดค้านที่ 2 เพิกเฉยไม่ดำเนินการเพื่อให้ได้รถจักรยานยนต์ของกลางคืน ทั้ง ๆ ที่ทราบว่ามีการนำรถจักรยานยนต์ไปใช้ในการกระทำความผิด และเพิ่งยื่นคำร้องคัดค้านเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2549 เมื่อผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งมีภาระการพิสูจน์ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าผู้คัดค้านที่ 2 ไม่มีโอกาสทราบหรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิดและมีการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดหรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30 วรรคสี่ จึงไม่อาจคืนรถจักรยานยนต์ของกลางให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9203/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในเงินส่วนเกินจากการขายทอดตลาดรถยนต์ของกลางในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้เช่าซื้อมีสิทธิได้รับเงินคืนตามสัญญา
รถยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ต่อมามีการขายทอดตลาดรถยนต์ของกลาง เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดรถยนต์ของกลางที่เกินกว่าจำนวนหนี้คงค้างชำระแก่ผู้ให้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อ ถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินอื่นใดที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดด้วย เงินที่เหลือจากการขายทอดตลาดรถยนต์ของกลางดังกล่าว จึงเป็นทรัพย์อันพึงริบตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5990/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิขอคืนทรัพย์สินจากการเช่าซื้อ: การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและการรู้เห็นเป็นใจ
ตามสัญญาเช่าซื้อ ระบุว่า หากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ 3 งวด ติดต่อกัน ให้เจ้าของมีสิทธิจะเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันที และยึดรถจักรยานยนต์กลับคืนมาได้ ในระหว่างสัญญาเช่าซื้อจำเลยที่ 4 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อรวม 6 งวด ติดต่อกัน ผู้ร้องไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อหรือติดตามยึดรถจักรยานยนต์ของกลางคืนจากจำเลยที่ 4 ผู้ร้องยอมรับชำระค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ 4 ต่อไปอีกรวม 3 งวด จากนั้นมาจำเลยที่ 4 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตลอดมาโดยไม่มีการบอกเลิกสัญญาจากผู้ร้อง เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ผู้ร้องจึงมอบหมายให้พนักงานของผู้ร้องไปติดตามยึดรถจักรยานยนต์ของกลางคืน ก่อนหน้าวันที่ศาลมีคำสั่งริบ ผู้ร้องยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและยังไม่ได้ติดตามยึดรถจักรยานยนต์ของกลางคืนจากจำเลยที่ 4 ผู้ร้องยังเปิดทางให้จำเลยที่ 4 หรือผู้ค้ำประกันชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระทั้งหมดให้แก่ผู้ร้องได้และผู้ร้องจะดำเนินการให้จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางต่อไป ผู้ร้องจึงมีเจตนาเพียงต้องการที่จะได้รับเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น ส่อแสดงว่าการร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางของผู้ร้องเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 4 ผู้เช่าซื้อ เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เข้าลักษณะผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 4 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอคืนรถจักรยายนต์ของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 29/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับเนื่องจากผู้คัดค้านมิได้ยื่นคำขอรับฎีกาตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550
คดีขอให้ริบทรัพย์สินซึ่งใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30, 31 นั้นอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 ซึ่งมาตรา 18 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "...และภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 16 และมาตรา 19 คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์เฉพาะการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เป็นที่สุด" และมาตรา 19 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง คู่ความอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องไปพร้อมกับฎีกาต่อศาลฎีกาภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลนั้นให้คู่ความฝ่ายที่ขออนุญาตฎีกาฟัง เพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาไว้วินิจฉัยก็ได้" แต่ผู้คัดค้านฎีกาไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 19 วรรคหนึ่ง โดยไม่ได้ยื่นคำขอภายในกำหนดดังกล่าว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 18 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10861/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบทรัพย์สินจากความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องพิสูจน์ความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดโดยตรง
ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และเจ้าของไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนไม่มีโอกาสทราบ หรือไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการกระทำความผิดและจะมีการนำไปใช้ในการกระทำความผิด หรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด ซึ่งศาลจะต้องริบตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30 นั้น จะต้องเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความผิดด้วย ซึ่งจะต้องพิจารณาพฤติการณ์แห่งคดีและพฤติกรรมของการกระทำเข้าด้วยกัน
ผู้คัดค้านถูกจับขณะขับรถยนต์ของกลางของตนและเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางอยู่ในปากของ น. ผู้โดยสาร ทั้งไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายอื่นใดอีกในรถยนต์ของกลาง รถยนต์ของกลางจึงมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเมทแอมเฟตามีนของกลางโดยตรง จึงเป็นทรัพย์ที่ไม่อาจริบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7343-7345/2554

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบทรัพย์สินจากคดียาเสพติด: จำเลยที่ไม่คัดค้านมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ และประเด็นความผิดฐานครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย
สำนวนคดีที่สองและที่สามที่โจทก์ในสำนวนแรกเป็นผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินของกลางรวม 4 รายการ ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 27, 29, 30, 31 นั้น ศาลชั้นต้นได้ประกาศหนังสือพิมพ์ตามกฎหมายให้บุคคลซึ่งอาจอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าวมายื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอให้ริบทรัพย์สินเข้ามาในคดีแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามา รวมทั้งจำเลยที่ 1 และที่ 3 ด้วย ดังนี้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ริบทรัพย์สินทั้งสี่รายการให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด จำเลยที่ 1 และที่ 3 ซึ่งมิได้ยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามาในคดีทั้งสองสำนวนดังกล่าว จึงมิใช่คู่ความ ไม่อาจยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาต่อมาในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และฎีกาในส่วนนี้และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในปัญหานี้ให้นั้น ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
of 4