คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 334

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 394 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2549/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุก ทำร้ายร่างกาย และลักทรัพย์: การพิจารณาเจตนาและขอบเขตความผิด
จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหาหยเพื่อทวงค่าแรงที่ผู้เสียหายค้างบุตรชายของจำเลยเป็นการเข้าไปโดยมีเหตุผลสมควรโดยสุจริต แม้จำเลยจะได้ถือมีดไปด้วย แต่ก็เป็นเพียงมีดเหลียนซึ่งโดยทั่วๆไปใช้สำหรับหวดหญ้า และไม่ปรากฏว่าจำเลยตั้งใจจะไปทำร้ายผู้เสียหายตั้งแต่แรก จึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาบุกรุก
จำเลยทวงค่าแรงจากผู้เสียหายไม่ได้ จึงโกรธและใช้มีดเหลียนฟันพยายามทำร้ายผู้เสียหายแล้วเอาเครื่องสูบน้ำของผู้เสียหายไป มิใช่เป็นการฟันผู้เสียหายเพื่อความสะดวกหรือเพื่อเอาเครื่องสูบน้ำของผู้เสียหายไป การเอาเครื่องสูบน้ำของผู้เสียหายไปเกิดขึ้นหลังจากการทำร้ายร่างกายขาดตอนไปแล้ว จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์
แม้จำเลยเอาเครื่องสูบน้ำของผู้เสียหายไปเพื่อยึดเอาไว้ให้ผู้เสียหายไปจ่ายค่าแรงบุตรชายจำเลยแล้วจำเลยจะคืนให้ก็ถือได้ว่าจำเลยเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาทุจริตอันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เพราะจำเลยไม่มีอำนาจเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยพลการได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1337/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์และการทำร้ายร่างกาย โดยไม่มีเจตนาชิงทรัพย์
ผู้เสียหายขับรถยนต์โดยสารไปส่งคนโดยสารที่ปลายทาง เมื่อจอดรถให้คนโดยสารลงแล้ว จำเลยเดินมาตบหน้าผู้เสียหาย 1 ทีผู้เสียหายเปิดประตูลงจากรถเพื่อจะชกจำเลย จำเลยขึ้นไปบนรถขับรถแล่นวนไปวนมาในบริเวณที่เกิดเหตุประมาณ 5 นาที แล้วขับไปจอดทิ้งไว้ในทุ่งนาซึ่งมีป่าละเมาะห่างจากถนนประมาณครึ่งกิโลเมตรและห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 2 กิโลเมตร แสดงว่าจำเลยมีเจตนาเอารถยนต์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหายเพื่อการอย่างหนึ่งอย่างใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339(1) ถึง (5) จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายตามมาตรา 391 กระทงหนึ่งและฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 อีกกระทงหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1337/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตในการลักทรัพย์และการทำร้ายร่างกายที่ไม่เข้าข่ายชิงทรัพย์
ผู้เสียหายขับรถยนต์โดยสารไปส่งคนโดยสารที่ปลายทางเมื่อจอดรถให้คนโดยสารลงแล้ว จำเลยเดินตรงมาตบหน้าผู้เสียหาย1 ที ผู้เสียหายเปิดประตูลงจากรถเพื่อจะชกจำเลย จำเลยขึ้นไปบนรถขับรถแล่นวนไปวนมาในบริเวณที่เกิดเหตุประมาณ 5 นาทีแล้วขับไปจอดทิ้งไว้ในทุ่งนาซึ่งมีป่าละเมาะห่างจากถนนประมาณครึ่งกิโลเมตร และห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 2 กิโลเมตร แสดงว่าจำเลยมีเจตนาเอารถยนต์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหายเพื่อการอย่างหนึ่งอย่างใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339(1) ถึง (5) จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายตามมาตรา 391 กระทงหนึ่งและฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 อีกกระทงหนึ่ง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1337/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตในการขับรถของผู้อื่นไปจอดทิ้ง แสดงถึงความผิดฐานลักทรัพย์ แม้ไม่มีเหตุชิงทรัพย์
ผู้เสียหายขับรถยนต์โดยสารไปส่งคนโดยสารที่ปลายทางเมื่อจอดรถให้คนโดยสารลงแล้ว จำเลยเดินตรงมาตบหน้าผู้เสียหาย 1 ที ผู้เสียหายเปิดประตูลงจากรถเพื่อจะชกจำเลยจำเลยขึ้นไปบนรถขับรถแล่นวนไปวนมาในบริเวณที่เกิดเหตุประมาณ 5 นาที แล้วขับไปจอดทิ้งไว้ในทุ่งนาซึ่งมีป่าละเมาะห่างจากถนนประมาณครึ่งกิโลเมตร และห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 2 กิโลเมตร ประกอบกับจำเลยได้หลบหนีไปอยู่ที่อื่นแสดงว่าจำเลยมีเจตนาเอารถยนต์ของผู้เสียหายไปโดยสุจริตแต่ไม่ปรากฎว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหายเพื่อการอย่างหนึ่งอย่างใดตาม ป.อ. มาตรา 339(1) ถึง (5) จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายตามมาตรา 391 กระทงหนึ่งและฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 อีกกระทงหนึ่ง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1337/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตในการลักทรัพย์และการทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย
ผู้เสียหายขับรถยนต์โดยสารไปส่งคนโดยสารที่ปลายทาง เมื่อจอดรถให้คนโดยสารลงแล้ว จำเลยเดินตรงมาตบหน้าผู้เสียหาย 1 ที ผู้เสียหายเปิดประตูลงจากรถเพื่อจะชกจำเลย จำเลยขึ้นไปบนรถขับรถแล่นวนไปวนมาในบริเวณที่เกิดเหตุประมาณ 5 นาที แล้วขับไปจอดทิ้งไว้ในทุ่งนาซึ่งมีป่าละเมาะห่างจากถนนประมาณครึ่งกิโลเมตร และห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 2 กิโลเมตร แสดงว่าจำเลยมีเจตนาเอารถยนต์ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยตบหน้าผู้เสียหายเพื่อการอย่างหนึ่งอย่างใดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339(1) ถึง (5) จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์ คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายตามมาตรา 391 กระทงหนึ่งและฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 อีกกระทงหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2193/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการลักทรัพย์ในเคหสถาน: ร้านค้าเปิดทำการกลางวัน ไม่ถือเป็นเคหสถาน
ที่เกิดเหตุเป็นร้านค้าซึ่งประชาชนย่อมจะเข้าไปได้ แม้จะเป็นเคหสถานที่ผู้เสียหายใช้อยู่อาศัยด้วย แต่ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันร้านค้ายังคงเปิดขายสินค้าอยู่ การที่จำเลยเข้าไปลักสุราและบุหรี่จึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (8)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2193/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลักทรัพย์ในสถานที่ไม่ใช่ 'เคหสถาน' แม้ผู้เสียหายอยู่อาศัยด้วย
ที่เกิดเหตุเป็นร้านค้าซึ่งประชาชนย่อมจะเข้าไปได้แม้จะเป็นเคหสถานที่ผู้เสียหายใช้อยู่อาศัยด้วย แต่ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันร้านค้ายังคงเปิดขายสินค้าอยู่ การที่จำเลยเข้าไปลักสุราและบุหรี่จึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(8).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5054/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความรุนแรงข่มขู่เพื่อกลั่นแกล้ง ไม่ถือเป็นความผิดชิงทรัพย์ แต่เป็นความผิดทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ
จำเลยที่ 1 ใช้แขนรัดคอและใช้มีดคัทเตอร์จี้ผู้เสียหายขู่บังคับให้ผู้เสียหายส่งไม้ทีสไลด์ให้โดยมีจำเลยที่ 2 ยืนอยู่ด้วย แล้วจำเลยที่ 2 ยื้อแย่งเอาย่ามใส่หนังสือจากผู้เสียหายเมื่อจำเลยที่ 1 ได้ไม้ทีสไลด์จากผู้เสียหายแล้วแทนที่จะหลบหนีไปจำเลยทั้งสองกลับบังคับให้ผู้เสียหายเดินไปกับจำเลยทั้งสองเมื่อพบเจ้าหน้าที่ตำรวจจำเลยทั้งสองก็มิได้หลบหนี ทั้งได้คืนไม้ทีสไลด์ให้ผู้เสียหายแต่โดยดี โดยบอกว่าล้อผู้เสียหายเล่นซึ่งเป็นการผิดวิสัยของคนร้ายที่กระทำการชิงทรัพย์โดยทั่วไปที่จำเลยทั้งสองกระทำต่อผู้เสียหายก็เนื่องจากความคึกคะนองประกอบกับความมึนเมาสุราด้วยเจตนาจะกลั่นแกล้งข่มเหงน้ำใจผู้เสียหายซึ่งแต่งเครื่องแบบนักศึกษาของวิทยาลับที่จำเลยทั้งสองไม่ชอบมาก่อนหาได้มีเจตนาลักทรัพย์ไม่การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นการกระทำโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้เสียหายให้กระทำการตามความประสงค์ของจำเลยทั้งสองทำให้ผู้เสียหายกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายเสรีภาพ หรือทรัพย์สิน การกระทำอันขู่เข็ญนี้เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์และโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยทั้งสองมาในฟ้องแล้วศาลฎีกาย่อมลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5054/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานชิงทรัพย์และทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ: การกระทำด้วยความคึกคะนองและมึนเมาสุรา ไม่ถือเป็นเจตนาลักทรัพย์
จำเลยที่ 1 ใช้แขนรัดคอและใช้มีดคัทเตอร์จี้ผู้เสียหายขู่บังคับให้ผู้เสียหายส่งไม้ทีสไลด์ให้โดยมีจำเลยที่ 2 ยืนอยู่ด้วย แล้วจำเลยที่ 2 ยื้อแย่งเอาย่ามใส่หนังสือจากผู้เสียหาย เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ไม้ทีสไลด์จากผู้เสียหายแล้วแทนที่จะหลบหนีไป จำเลยทั้งสองกลับบังคับให้ผู้เสียหายเดินไปกับจำเลยทั้งสองเมื่อพบเจ้าหน้าที่ตำรวจจำเลยทั้งสองก็มิได้หลบหนี ทั้งได้คืนไม้ทีสไลด์ให้ผู้เสียหายแต่โดยดี โดยบอกว่าล้อผู้เสียหายเล่นซึ่งเป็นการผิดวิสัยของคนร้ายที่กระทำการชิงทรัพย์โดยทั่วไป ที่จำเลยทั้งสองกระทำต่อผู้เสียหายก็เนื่องจากความคึกคะนองประกอบกับความมึนเมาสุราด้วยเจตนาจะกลั่นแกล้งข่มเหงน้ำใจผู้เสียหายซึ่งแต่งเครื่องแบบนักศึกษาของวิทยาลับที่จำเลยทั้งสองไม่ชอบมาก่อนหาได้มีเจตนาลักทรัพย์ไม่การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเป็นการกระทำโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้เสียหายให้กระทำการตามความประสงค์ของจำเลยทั้งสองทำให้ผู้เสียหายกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน การกระทำอันขู่เข็ญนี้เป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานชิงทรัพย์และโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำของจำเลยทั้งสองมาในฟ้องแล้วศาลฎีกาย่อมลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4141/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์นายจ้าง: การนำทรัพย์สินของผู้เสียหายไปเตรียมขนย้ายถือเป็นการเอาทรัพย์ไปจากครอบครองแล้ว
จำเลยเป็นลูกจ้างของผู้เสียหาย เอาบุหรี่ของผู้เสียหายซึ่งเก็บไว้ที่ชั้นเก็บของบนชั้นที่ 2 ของร้าน บรรจุลงไว้ในกล่องกระดาษสำหรับบรรจุข้าวเกรียบกุ้ง ปิดฝากล่องใช้กระดาษกาวปิดทับ แล้วนำไปวางไว้บนชั้นที่ 3 เพื่อเตรียมขนย้ายไปจากร้านผู้เสียหาย เป็นการเอาทรัพย์ไปจากการครอบครองของผู้เสียหายแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้าง.
of 40