คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ม. 4

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 434 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6275/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องคดีเช็คต้องระบุหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย มิฉะนั้นฟ้องไม่ชอบ
ตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้น จะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วย หนี้ตามเช็คจะมีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิด การที่โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยออกเช็คให้แก่ ฉ. เพื่อชำระหนี้ โดยมิได้ระบุว่าเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายด้วยนั้น เป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบของความผิดตามมาตรานี้ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แม้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4770/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องอาญาเช็ค: การบรรยายฟ้องต้องระบุมูลหนี้ที่ชัดเจน เพื่อยืนยันเจตนาชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย
บทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ที่ว่า เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายนั้น เป็นองค์ประกอบความผิดแม้บทกฎหมายดังกล่าวมิได้บังคับว่าโจทก์จะต้องบรรยายฟ้องให้ครบถ้วนตามองค์ประกอบความผิด แต่ฟ้องก็ต้องบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเช็คเพียงว่า เป็นเช็คเพื่อชำระหนี้โดยไม่ได้บรรยายถึงมูลหนี้ที่ออกเช็ค จึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 ฟ้องดังกล่าวไม่สมบูรณ์ แม้โจทก์แนบสำเนาเช็คและใบคืนเช็คมาพร้อมกับคำฟ้องหาพอเป็นการยืนยันว่าจำเลยมีเจตนาจะใช้เช็คนั้นชำระหนี้ให้โจทก์ที่ มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายไม่ฟังได้เพียงว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์โจทก์ยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงิน และธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4770/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิดเช็ค: จำเป็นต้องบรรยายถึงมูลหนี้ที่ชัดเจนเพื่อแสดงเจตนาชำระหนี้ที่มีอยู่จริง
บทบัญญัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534 มาตรา 4 ที่ว่า เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายนั้น เป็นองค์ประกอบความผิด แม้บทกฎหมายดังกล่าวมิได้บังคับว่าโจทก์จะต้องบรรยายฟ้องให้ครบถ้วนตามองค์ประกอบความผิด แต่ฟ้องก็ต้องบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158 (5)
เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับเช็คเพียงว่า เป็นเช็คเพื่อชำระหนี้ โดยไม่ได้บรรยายถึงมูลหนี้ที่ออกเช็ค จึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ฟ้องดังกล่าวไม่สมบูรณ์ แม้โจทก์แนบสำเนาเช็คและใบคืนเช็คมาพร้อมกับคำฟ้อง หาพอเป็นการยืนยันว่าจำเลยมีเจตนาจะใช้เช็คนั้นชำระหนี้ให้โจทก์ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายไม่ ฟังได้เพียงว่าจำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ยื่นเช็คเพื่อให้ใช้เงิน และธนาคารปฏิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คนั้น เพราะโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงมูลหนี้ที่ออกเช็คหากเป็นเช็คที่แลกเงินสดก็ถือว่าไม่ใช่เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริง หรือหากเป็นเช็คที่ชำระหนี้เงินยืมที่มีจำนวนกว่า 50 บาทขึ้นไป โดยมิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา653 วรรคหนึ่ง จะนำมาฟ้องร้องให้บังคับชำระหนี้ไม่ได้ ถือว่าเป็นเช็คชำระหนี้ที่บังคับไม่ได้ตามกฎหมาย แต่หากโจทก์บรรยายฟ้องว่าเป็นเช็คที่จำเลยออกให้ชำระค่าซื้อสินค้าที่ค้างชำระ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริง และบังคับได้ตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4746/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีเช็คต้องระบุหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายโดยมีจำเลยลงชื่อสั่งจ่ายชำระหนี้ที่มีอยู่จริงให้โจทก์แต่ที่โจทก์มิได้ระบุว่าเป็นหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมายด้วยเป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบของความผิดตามมาตรานี้คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4746/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องเช็คเด้งต้องระบุหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยมีจำเลยลงชื่อสั่งจ่ายชำระหนี้ที่มีอยู่จริงให้โจทก์ แต่ที่โจทก์มิได้ระบุว่าเป็นหนี้ที่บังคับได้ตามกฎหมายด้วย เป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบของความผิดตามมาตรานี้ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3082/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขยายเวลาอุทธรณ์-กฎหมายใหม่คุ้มครอง: ศาลฎีกาแก้โทษปรับ-จำคุกจากกฎหมายเช็คเก่าเป็นเช็คใหม่
การขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาและมีคำสั่งตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ โจทก์ร่วมย่อมอุทธรณ์คัดค้านของศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคแรก เพราะคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว และยังไม่ได้มีการสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 196 ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์มีพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 บังคับใช้ ซึ่งมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำผิด มีอัตราโทษเบากว่ากฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดและเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องใช้กฎหมายใหม่ดังกล่าวบังคับแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมยกขึ้นว่าในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2907/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความไม่สมบูรณ์ สิทธิฟ้องอาญาไม่ระงับ ใช้กฎหมายใหม่ที่เป็นคุณแก่จำเลย
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจำเลยรับว่าเป็นหนี้ตามเช็คในคดีความผิดเกี่ยวกับเช็คคดีนี้จริง และขอผ่อนชำระเงินเป็นงวด หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทั้งหมด และยอมให้โจทก์แถลงต่อศาลเพื่อให้นัดฟังคำพิพากษา อีกทั้งยอมให้ฟ้องร้องบังคับคดีในทางแพ่งได้ด้วย ส่วนผู้เข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายไม่ได้แสดงเจตนาใด ๆ ให้ปรากฎในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวว่าจะสละสิทธิในการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในทันทีหรือตกลงให้ระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับเช็คที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแต่อย่างใด ส่วนคำแถลงของผู้เข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายก็มีใจความสำคัญว่า โจทก์จำเลยตกลงกันว่าหากตกลงกันได้โจทก์จะถอนฟ้อง แต่ปรากฎว่าจำเลยถูกศาลพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย หากโจทก์ถอนฟ้องก็ไม่มีทางอื่นใดที่จะได้รับชำระหนี้จากจำเลยอีก ขอให้ศาลพิพากษาไปได้เลย ไม่มีข้อความใดที่โจทก์แสถงเจตนาสละสิทธิดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในทันทีหรือตกลงให้ระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับเช็คที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเช่นเดียวกัน กลับมีข้อความยืนยันให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยต่อไปเสียอีกดังนั้น สัญญาประนีประนอมยอมความและคำแถลงของผู้เข้าดำเนินคดีต่างผู้ตายดังกล่าว จึงมิใช่การยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมายตามนัย ป.วิ.อ.มาตรา39 (2) สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับไป
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 ซึ่งมีระวางโทษปรับไม่เกินสองเท่าของจำนวนเงินที่ระบุในเช็ค แต่ต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ปรากฎว่าระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นได้มี พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 3 ยกเลิก พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 และ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดกำหนดโทษไว้ให้ปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งปรับทั้งจำ อันเป็นอัตราโทษที่เบากว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดและเป็นคุณแก่จำเลยผู้กระทำความผิด จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2809/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์เจตนาออกเช็คเพื่อชำระหนี้จริงตาม พ.ร.บ. เช็คฉบับใหม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 แต่ก่อนสืบพยานโจทก์มีพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534ออกใช้บังคับโดยยกเลิก พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะจำเลยกระทำความผิดโดยพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 บัญญัติว่า "ผู้ใดออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเป็นความผิด" ดังนี้ การกระทำที่จะเป็นความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว จะต้องได้ความว่าขณะที่ผู้ออกเช็คออกเช็คนั้นเพื่อเป็นการชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายแต่เมื่อชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นพิจารณา โจทก์ไม่นำสืบข้อเท็จจริงว่าจำเลยออกเช็คพิพาท เพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย แม้จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ข้อเท็จจริงก็รับฟังได้เพียงว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ให้แก่ผู้มีชื่อเท่านั้นเมื่อไม่ปรากฏว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทระหว่างจำเลยกับผู้มีชื่อมีอยู่จริงบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ การออกเช็คพิพาทของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับภายหลัง จำเลยจึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2809/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่ไม่มีอยู่จริง ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
ชั้นไต่สวนมูลฟ้องและชั้นพิจารณา โจทก์ไม่นำสืบข้อเท็จจริงว่าจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายให้แก่ผู้มีชื่อข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ รับฟังได้เพียงว่าจำเลยได้ออกเช็คพิพาทชำระหนี้ให้แก่ผู้มีชื่อ โดยไม่ปรากฏว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทระหว่างจำเลยกับผู้มีชื่อมีอยู่จริงบังคับได้ตามกฎหมายหรือไม่ การออกเช็คพิพาทของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534มาตรา 4 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับภายหลังจำเลยจึงพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2353/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คพิพาท: ผู้ถือเช็คมีสิทธิฟ้อง แม้ได้รับชำระหนี้แล้ว คดีไม่ระงับ
จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้ ย.เพื่อชำระหนี้ เช็คดังกล่าวเป็นเช็คให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ ย.ย่อมโอนให้แก่ผู้เสียหายด้วยการส่งมอบให้กันตามป.พ.พ. มาตรา 918 ประกอบมาตรา 989 ผู้เสียหายจึงเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบเมื่อผู้เสียหายนำเช็คไปเรียกเก็บเงินแล้วธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยย่อมมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4
ขณะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท ผู้เสียหายเป็นผู้ทรงเช็คและเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย จึงมีฐานะเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) แม้ต่อมาภายหลังผู้เสียหายจะได้รับชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าวจาก ย. ก็ไม่ทำให้ฐานะการเป็นผู้เสียหายของผู้เสียหายในคดีอาญาหมดไป ทั้งการชำระหนี้ของ ย.แก่ผู้เสียหายก็เป็นการชำระหนี้ตามกฎหมายที่ ย.จะต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย มิใช่เป็นการชำระหนี้แทนจำเลย จึงไม่ทำให้คดีระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 แต่อย่างใด โจทก์ยังคงมีอำนาจฟ้อง
of 44