พบผลลัพธ์ทั้งหมด 161 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2034/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาฐานปลอมแปลงเอกสาร เบิกความเท็จ และนำสืบหลักฐานเท็จ: ข้อจำกัดการอุทธรณ์ และความสมบูรณ์ของฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีไม่มีมูล ดังนี้ โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ
ฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานเบิกความเท็จมิได้บรรยายว่าจำเลยเบิกความว่าอย่างไร ที่โจทก์ถือว่าจำเลยเบิกความเท็จในข้อสำคัญในคดี ส่วนในความผิดฐานนำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จก็มิได้บรรยายว่าเหตุเกิดขึ้นเมื่อไร ดังนี้ เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
ฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานเบิกความเท็จมิได้บรรยายว่าจำเลยเบิกความว่าอย่างไร ที่โจทก์ถือว่าจำเลยเบิกความเท็จในข้อสำคัญในคดี ส่วนในความผิดฐานนำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จก็มิได้บรรยายว่าเหตุเกิดขึ้นเมื่อไร ดังนี้ เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษเด็กอายุ 12 ปีในคดีลักทรัพย์ ซึ่งถูกจำกัดสิทธิการอุทธรณ์ตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยซึ่งมีอายุ 12 ปี มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางมีกำหนด 6 ปี แต่อย่าให้เกินกว่าจำเลยมีอายุครบ 18 ปี จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 (2) โดยบิดาจำเลยขอรับตัวไปและจะปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาล ดังนี้ เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาดังกล่าวไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะอุทธรณ์ได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ (1) ถึง (4) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับเด็กในคดีอาญา: การพิจารณาข้อจำกัดในการอุทธรณ์ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยซึ่งมีอายุ 12 ปี มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางมีกำหนด 6 ปี แต่อย่าให้เกินกว่าจำเลยมีอายุครบ 18 ปี จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74(2) โดยบิดาจำเลยขอรับตัวไปและจะปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาล ดังนี้ เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาดังกล่าวไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะอุทธรณ์ได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ทวิ(1) ถึง (4) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2918/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นฎีกาที่ไม่เคยถูกยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานขับรถผ่านทางแยกโดยใช้อัตราความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด (20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ข้อหาอื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษาปรับบทลงโทษที่ศาลชั้นต้นมิได้ระบุมาตราว่าเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการจราจรทางบกพุทธศักราช 2477 มาตรา 29(4) ส่วนข้อหาจำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสนั้น เป็นอุทธรณ์ต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส จึงเป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้ฟังมา ซึ่งมิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2226/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ คดีเบียดบังทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีของโจทก์มีมูลว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของโจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์โต้เถียงปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2226/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามในคดีอาญา: การยักยอกทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีของโจทก์มีมูลว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ของโจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์โต้เถียงปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1865/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางจากการเล่นการพนันและการขอคืนของกลางของผู้รับสารภาพ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันเล่นการพนัน เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยเงินอันเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการเล่นการพนันจากวงการเล่นเป็นของกลาง จำเลยให้การรับว่าการกระทำความผิดตามฟ้องจริง แปลได้ว่ารับสารภาพตามฟ้องทุกประการ เมื่อโจทก์กล่าวในฟ้องว่าเงินของกลางเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการเล่นการพนัน จึงต้องริบตามพระราชบัญญัติการพนัน ถ้าจำเลยเห็นว่าเงินนั้นส่วนหนึ่งเป็นของตนซึ่งมิได้เอาออกพนัน ก็ชอบที่จะให้การต่อสู้ไว้ และจำเลยก็มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาให้ริบของกลางจนคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ที่จำเลยจะมีสิทธิยื่นคำร้องขอเงินของกลางคืนได้
ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีในชั้นขอให้คืนของกลาง แล้วสั่งคืนให้ผู้ร้องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ มิได้ห้ามโจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวนี้
ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีในชั้นขอให้คืนของกลาง แล้วสั่งคืนให้ผู้ร้องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ มิได้ห้ามโจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1865/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพในคดีพนันและการริบของกลาง ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอคืนเมื่อไม่ได้ต่อสู้คดี
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมเล่นการพนัน เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยเงินอันเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการเล่นการพนันจากวงการเล่นเป็นของกลางจำเลยให้การรับว่ากระทำความผิดตามฟ้องจริง แปลได้ว่ารับสารภาพตามฟ้องทุกประการเมื่อโจทก์กล่าวในฟ้องว่าเงินของกลางเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการเล่นการพนัน จึงต้องริบตามพระราชบัญญัติการพนัน ถ้าจำเลยเห็นว่าเงินนั้นส่วนหนึ่งเป็นของตนซึ่งมิได้เอาออกพนัน ก็ชอบที่จะให้การต่อสู้ไว้ และจำเลยก็มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาที่ให้ริบของกลางจนคดีถึงที่สุดแล้ว กรณีจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ที่จำเลยจะมีสิทธิยื่นคำร้องขอเงินของกลางคืนได้
ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีในชั้นขอให้คืนของกลาง แล้วสั่งคืนให้ผู้ร้องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ มิได้ห้ามโจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวนี้
ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีในชั้นขอให้คืนของกลาง แล้วสั่งคืนให้ผู้ร้องประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ มิได้ห้ามโจทก์อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวนี้