พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,039 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1430/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งเท็จเพื่อจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท และการทำเอกสารเท็จเพื่อหลอกลวงนายทะเบียน
บัญชีผู้ถือหุ้น สำเนารายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นและคำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมกรรมการเป็นสำเนาเอกสารที่พนักงานเจ้าหน้าที่รับรองความถูกต้องถือเป็นเอกสารมหาชน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันจะต้องนำสืบความไม่ถูกต้องแห่งเอกสารนั้น การที่จำเลยสั่งให้ อ. ทำรายงานว่า มีการประชุมวิสามัญครั้งที่ 1/2534 ซึ่งไม่มีการประชุมขึ้นจริงจึงเป็นการทำเอกสารเท็จการที่จำเลยร่วมกับ อ.ให้อ. ยื่นขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมกรรมการของบริษัท ก. ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดสมุทรปราการ โดยยื่นรายงานอันเป็นเอกสารเท็จดังกล่าวประกอบไปด้วย จนเป็นเหตุให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนให้ เป็นการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์และประชาชน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1356/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี โดยใช้อาวุธและไม่ยินยอม ศาลฎีกาแก้ไขโทษตามมาตรา 277 วรรคสาม
ผู้เสียหายเป็นบุตรติดของ จ. จ. มาอยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยอำนาจการปกครองผู้เสียหายจึงตกแก่ จ.ผู้เป็นมารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1568 การที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสามเท่านั้น ไม่ต้องด้วยมาตรา 285 อันเป็นบทบัญญัติที่ให้วางโทษหนักกว่าที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ หนึ่งในสาม ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยเองได้ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 849/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รอการลงโทษแม้มีกระทงความผิดหลายกระทง หากโทษแต่ละกระทงไม่สูง และมีการชดใช้ค่าเสียหายบางส่วน
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาเรียงกระทงลงโทษจำเลยทุกกระทงความผิดให้จำคุกรวม 96 ปี แต่เมื่อโทษจำคุกในแต่ละกระทงความผิดที่วางมานั้นมีกำหนดไม่เกิน 2 ปี คดีจึงอยู่ในเกณฑ์ที่ศาลจะใช้ดุลพินิจรอการลงโทษไว้ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,343และให้คืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 48 คน เป็นเงิน 1,910,500 บาทเมื่อความปรากฏในสำนวนต่อศาลอุทธรณ์ว่าระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นผู้เสียหายจำนวน 43 คนได้รับการชดใช้จากจำเลยบางส่วนแล้วและไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยในทางแพ่งอีกต่อไป และระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยก็ได้ชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายอีก 4 คนเป็นที่พอใจแล้วคงเหลือเพียงผู้เสียหายรายที่ 20 เท่านั้น ดังนี้แม้จำเลยจะไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายทั้งหมดรวม 48 คน ก็ตามแต่เมื่อความรับผิดในทางแพ่งของจำเลยเป็นอันระงับไปแล้วการที่จะยังให้จำเลยต้องรับผิดชอบซ้ำซ้อนอีกจึงหาเป็นการชอบและเป็นธรรมไม่ ปัญหาข้อนี้จึงเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์จึงหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองแล้วพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายที่ 20 เพียงรายเดียวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 550/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของฟ้องอาญา: การระบุรายละเอียดอาวุธและผู้กระทำความผิดไม่จำเป็นต้องระบุในฟ้อง
ปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์ในคดีอาญาเคลือบคลุมหรือไม่ แม้จะมิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยมีสิทธิยกขึ้นฎีกาได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 2 คน ที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันใช้อาวุธมีดดาบ มีดพกปลายแหลมและเหล็กขูดชาฟท์รุมแทงฟัน ประทุษร้ายแก่ร่างกายผู้เสียหายหลายครั้ง ทำให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย แม้โจทก์จะมิได้บรรยายว่าจำเลยกับพวกคนใดใช้อาวุธชนิดใด และแต่ละคนกระทำการอย่างไรบ้างก็พอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนการที่จำเลยกับพวกคนใดใช้อาวุธชนิดใด และแต่ละคนกระทำการอย่างไรบ้างเป็นเรื่องรายละเอียดที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความร้องทุกข์คดีฉ้อโกง - การให้เงินเพื่อประกันตัว/ค่าทนาย vs. สินบนเจ้าพนักงาน
จำเลยพูดขอเงินจากโจทก์ร่วมจำนวน 600,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประกันตัวบุตรของโจทก์ร่วมและจำเลยจะหาทนายความให้โจทก์ร่วมต่อรองจำนวนเงินลงเหลือ 400,000 บาท จำเลยตกลง ข้อเท็จจริงดังกล่าวฟังได้เพียงว่าโจทก์ร่วมให้เงินจำเลยเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของจำเลยในการที่จะหาทนายความให้บุตรของโจทก์ร่วม และเป็นค่าใช้จ่ายในการขอปล่อยชั่วคราวบุตรของโจทก์ร่วมเท่านั้น ยังฟังไม่ได้แน่ชัดว่าโจทก์ร่วมให้เงินจำเลยนำเงินไปให้เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการปล่อยชั่วคราวเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยทุจริต ถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยจะนำสินบนไปให้เจ้าพนักงานอันเป็นการใช้ให้จำเลยกระทำผิด โจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย ความผิดอันยอมความกันได้ ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในกำหนดสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเป็นอันขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4410-4411/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเช็คหลายกรรมต่างกัน-หักวันคุมขัง-ข้อจำกัดการยกเหตุในชั้นฎีกา
แม้ เช็คพิพาท 2 ฉบับที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้รายเดียวกัน โดยลงวันที่เดียวกัน และธนาคารปฏิเสธการ จ่ายเงินทั้งสองฉบับในวันเดียวกัน แต่การออกเช็คเป็นการสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามจำนวนในเช็ค ณ วันที่ที่ลงในเช็คนั้น ผู้ออกเช็คมีเจตนาให้จ่ายเงิน ตามเช็ค แต่ละ ฉบับแยกจากกันเป็นคนละส่วนคนละ จำนวน ไม่ได้ ร่วมเป็นเช็คฉบับเดียวกัน ความผิดเกิดขึ้นต่างหากแยกจากกันได้ โดยชัดเจนเป็นการ เฉพาะตัว ของ เช็ค แต่ละ ฉบับจึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน เป็นคนละกระทงความผิดแยกจากกัน การที่ศาลจะสั่งให้หักจำนวนวันที่จำเลยถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษาออกจากโทษ จำคุกตามคำพิพากษา หรือไม่นั้น เป็นดุลพินิจของศาลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 วรรคแรก ทั้งมิใช่กรณีที่หาก โจทก์ไม่มีคำขอ ขึ้น มา ศาล ก็ วินิจฉัย ให้ไม่ได้ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้น ระบุ ในคำพิพากษา โดยชัดแจ้งว่า หัก วันที่ จำเลย ถูก คุมขัง ให้ เฉพาะ วัน ถูกคุมขังที่ไม่ซ้ำซ้อนนั้นจึงชอบแล้ว ที่ จำเลยฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์ที่บรรยายว่าจำเลย ออกเช็คให้ผู้เสียหายเพื่อ ชำระหนี้เป็นการ บรรยายฟ้อง ไม่ครบ องค์ประกอบ ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซึ่ง เป็น กฎหมายที่ออกใช้บังคับภายหลังอันเป็นคุณแก่จำเลย จึงลงโทษ จำเลยไม่ได้นั้น เป็นข้อที่ จำเลย มิได้ ยกขึ้น ว่ากันมาแล้ว ใน ศาลอุทธรณ์ จำเลยเพิ่งยกขึ้นในชั้นฎีกาจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบกับมาตรา 225 และ แม้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยก็ตาม แต่ศาลฎีกา เห็นสมควร ไม่รับ วินิจฉัย ให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4046/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงเอาเอกสารสิทธิถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกง แม้ไม่ใช่การทำลายเอกสาร
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยหลอกลวงเอาเอกสารสิทธิของโจทก์ไปจากภริยาโจทก์โดยทุจริต แต่จำเลยไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ.มาตรา 341 เพราะการเอาไปไม่ใช่การถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้หลอกลวงเอาเอกสารสิทธิของโจทก์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
เอกสารสัญญาแม้เป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียวก็ถือว่าเป็นทรัพย์จำเลยหลอกลวงเอาเอกสารสัญญาดังกล่าวไปจากภริยาโจทก์โดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341
คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน
เอกสารสัญญาแม้เป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียวก็ถือว่าเป็นทรัพย์จำเลยหลอกลวงเอาเอกสารสัญญาดังกล่าวไปจากภริยาโจทก์โดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4046/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงโดยหลอกลวงเอาเอกสารสิทธิ แม้เป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียว ก็ถือเป็นทรัพย์ได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยหลอกลวงเอาเอกสารสิทธิของโจทก์ไปจากภริยาโจทก์โดยทุจริต แต่จำเลยไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 เพราะการเอาไปไม่ใช่การถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้หลอกลวงเอาเอกสารสิทธิของโจทก์จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน เอกสารสัญญาแม้เป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียวก็ถือว่าเป็นทรัพย์จำเลยหลอกลวงเอาเอกสารสัญญาดังกล่าวไปจากภริยาโจทก์โดยทุจริตจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2667/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมเอกสารราชการ แสตมป์ และเครื่องมือปลอมแปลง ศาลตัดสินลงโทษเฉพาะความผิดฐานปลอมแปลงแสตมป์
แบบใบอนุญาตขับรถเป็นเอกสารราชการซึ่งเจ้าพนักงานได้จัดทำขึ้นตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(8) ผู้ใดจะทำขึ้นเองไม่ได้การที่จำเลยพิมพ์แบบใบอนุญาตขับรถขึ้นเอง โดยปรากฏข้อความบางส่วนให้เห็นเป็นประจักษ์ว่าเป็นแบบใบอนุญาตของทางราชการที่แท้จริง แม้ยังไม่กรอกข้อความอื่นลงไปก็เป็นการปลอมข้อความบางส่วนลงไปแล้วจึงเป็นการปลอมเอกสารราชการ จำเลยปลอมแสตมป์ที่ใช้สำหรับการภาษีอากรอันเป็นความผิดตามมาตรา 254 และจำเลยมีเครื่องมือหรือวัตถุเพื่อใช้ในการปลอมอันเป็นความผิดตามมาตรา 261 ด้วย จึงลงโทษจำเลยตามมาตรา 254 ได้เพียงกระทงเดียวตามมาตรา 263 แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง,225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2224/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้เสียหายจากการเบิกความเท็จในคดีแพ่งมีอำนาจฟ้องคดีอาญาได้ แม้มิได้เป็นคู่ความในคดีแพ่ง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีแพ่งขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสามเสียสิทธิในที่ดินไปโดยตรงโจทก์ทั้งสามจึงเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการเบิกความเท็จของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)และมีอำนาจฟ้องตามมาตรา 28(2) โดยไม่จำต้องคำนึงว่าโจทก์ทั้งสามต้องเป็นคู่ความในคดีที่จำเลยที่ 1 และที่ 2เบิกความเท็จเท่านั้นจึงจะเป็นผู้เสียหายได้ ปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือไม่ เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 1และที่ 2 ย่อมยกขึ้นฎีกาได้ แม้ไม่เคยยกขึ้นว่ามาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตาม ตามฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงคดีที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกความอันเป็นเท็จว่าเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1ขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงที่โจทก์ทั้งสามมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับ ส. โดยจำเลยที่ 1 กล่าวอ้างในคดีดังกล่าวว่า จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองปรปักษ์ในที่ดินทั้งสองแปลงจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ทั้งฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงข้อความที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกความว่าจำเลยที่ 1 ได้เบิกความว่า จำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงมาเป็นเวลา 20 ปีเศษ ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านและจำเลยที่ 2 เบิกความว่า เห็นจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงมาประมาณ 20 ปี ข้อความที่จำเลยที่ 1และที่ 2 เบิกความดังกล่าวนั้นเป็นความเท็จความจริงจำเลยที่ 1 ไม่ได้ครอบครองที่ดินทั้งสองแปลง จน ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง ข้อความเท็จ ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เบิกความนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ทำให้ศาลเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ ในที่ดินทั้งสองแปลงโดยการครอบครองจริง จึงมีคำสั่ง ให้จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)