คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 195

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,039 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3720/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาล, การปรับบทกฎหมาย, และข้อจำกัดในการฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริงและดุลพินิจ
พนักงานสอบสวนได้สอบสวนจำเลยในข้อหาว่าร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ซึ่งเป็นคดีเกินอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา พนักงานสอบสวนจึงไม่จำต้องผัดฟ้องจำเลยต่อศาลแขวง และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลจังหวัดจึงชอบแล้ว แม้ต่อมาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 อันเป็นบทเบากว่าและอยู่ในอำนาจของศาลแขวงก็ตาม เพราะเป็นกรณีที่ศาลลงโทษโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง ซึ่งศาลมีอำนาจกระทำได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับอัตรายแก่กายตามมาตรา 295 ก็เป็นการกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายนั่นเอง ซึ่งเป็นบทเบากว่า ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลย่อมมีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยตามมาตรา 295 ได้ หาเกินคำขอไม่
ข้อเท็จจริงที่ว่าการสอบสวนล่าช้าไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้น ฎีกาจำเลยในข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225
ฎีกาจำเลยที่ขอให้ลงโทษในสถานเบาและรอการลงโทษ เป็นฎีกาเกี่ยวกับเรื่องดุลพินิจในการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายและฐานวิ่งราวทรัพย์ ศาลฎีกาแก้ไขโทษตามองค์ประกอบความผิดที่ถูกต้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำผิดและพาทรัพย์นั้นไป ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยฉกฉวยพาหนีไปต่อหน้าอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ได้ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานวิ่งราวทรัพย์ด้วย จะลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ได้ คงลงโทษจำเลยทั้งสองได้ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายกับฐานวิ่งราวทรัพย์: ความแตกต่างและขอบเขตการลงโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำผิดและพาทรัพย์นั้นไป ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยฉกฉวยพาหนีไปต่อหน้าอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ได้ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานวิ่งราวทรัพย์ด้วย จะลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ได้ คงลงโทษจำเลยทั้งสองได้ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3170/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ล้างมลทินกระทบการเพิ่มโทษคดีเก่า: ศาลฎีกายกประเด็นเพื่อความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์
พ.ร.บ. ล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระชนม พรรษา 60 พรรษาพ.ศ. 2530 มาตรา 4 บัญญัติให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่าง ๆ ซึ่งได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 5 ธันวาคมพ.ศ. 2530 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับโดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้น ๆ จำเลยได้กระทำความผิดในคดีก่อนก่อนวันที่ 5 ธันวาคมพ.ศ. 2530 และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ซึ่งเป็นวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ ดังนั้นจึงเพิ่มโทษจำเลยไม่ได้ แม้จำเลยมิได้ฎีกาในข้อนี้ แต่เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3125/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาอาญา: การโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว และการยกอายุความที่ไม่เคยว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ถือเป็นการฎีกาต้องห้าม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362,364,365 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 จำคุก 3 เดือน ปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงอาญาไว้มีกำหนด 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ประกอบด้วยมาตรา 362 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงเล็กน้อยโดยเพิ่มบทมาตรา 365 เป็นบทมาตราที่จำเลยกระทำผิดเพิ่มขึ้นอีกบทหนึ่ง และคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปีสิทธิฎีกาของคู่ความจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ซึ่งห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ร่วมมิใช่เจ้าของห้องแถวพิพาท จึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีอำนาจร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยนั้นคดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของห้องแถวพิพาท ฎีกาของจำเลยเท่ากับโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ร่วมมิได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลย ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ภายในเวลา 3 เดือนคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 จึงขาดอายุความนั้นจำเลยมิได้ยกปัญหานี้ขั้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบมาตรา 225 แม้เป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอันเป็นข้อกฎหมาย ที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยก็ตาม แต่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ด้วย ซึ่งมิใช่ความผิดอันยอมความได้แม้โจทก์ร่วมมิได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลย โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ได้อยู่แล้ว การวินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมได้ร้องทุกข์ ดำเนินคดีแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 หรือไม่ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ปัญหาว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3125/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และอำนาจฟ้องในคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับความผิดอันยอมความได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 364, 365 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 จำคุก 3 เดือน ปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงอาญาไว้มีกำหนด 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ประกอบด้วยมาตรา 362 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงเล็กน้อยโดยเพิ่มบทมาตรา 365 เป็นบทมาตราที่จำเลยกระทำผิดเพิ่มขึ้นอีกบทหนึ่ง และคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี สิทธิฎีกาของคู่ความจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ซึ่งห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ร่วมมิใช่เจ้าของห้องแถวพิพาท จึงไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีอำนาจร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยนั้น คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของห้องแถวพิพาท ฎีกาของจำเลยเท่ากับโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ร่วมมิได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ภายในเวลา 3 เดือนคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 จึงขาดอายุความนั้น จำเลยมิได้ยกปัญหานี้ขั้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบมาตรา 225 แม้เป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอันเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยก็ตาม แต่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ด้วย ซึ่งมิใช่ความผิดอันยอมความได้แม้โจทก์ร่วมมิได้ร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่จำเลย โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 ได้อยู่แล้ว การวินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมได้ร้องทุกข์ ดำเนินคดีแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 หรือไม่ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2282/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเช็ค การกำหนดวันเกิดความผิด และความสมบูรณ์ของคำฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158(5) และอายุความ
ปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความเป็นปัญหาเกี่ยวกับความถูกต้องสมบูรณ์ของคำฟ้องตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158(5) และอายุความเป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง จึงเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ดังนี้ แม้จำเลยเพิ่งจะยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาศาลฎีกาก็เห็นสมควรรับวินิจฉัยให้ ความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯเกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค หาใช่เกิดในวันที่จำเลยเขียนเช็คพิพาทมอบให้แก่โจทก์ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2076/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมีสุรากลั่น-แช่เป็นกรรมเดียว ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาแม้มิได้ยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์
ความผิดในข้อหามีสุรากลั่นมีสุราแช่เป็นความผิดกรรมเดียวศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยมาสองกรรมเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1888/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฉ้อโกง vs. จัดหางาน: การพิจารณาความผิดฐานจัดหางานเมื่อปรากฏเจตนาฉ้อโกง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกโดย ทุจริตร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายว่ามีงานกรรมกรก่อสร้างที่ประเทศ สิงคโปร์ ได้ รับค่าจ้างเดือน ละ 6,500 บาท อันเป็นเท็จ ซึ่ง ความจริงแล้วไม่มีงานให้ทำจำเลยกับพวกไม่มีเจตนาและไม่สามารถจะส่งผู้เสียหายไปทำงานที่ประเทศ สิงคโปร์ ได้ ตาม ฟ้อง โจทก์แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาจะจัดหางานให้แก่ผู้เสียหาย จึงไม่เป็นความผิดฐาน จัดหางานโดย ไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน ดังนี้ จำเลยมีเจตนาฉ้อโกงทรัพย์ของผู้เสียหายเท่านั้น ปัญหาดังกล่าว เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใด ยกขึ้นอ้างศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1030/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการวินิจฉัยข้อไม่รับฟ้อง, ความเป็นอิสระของการพิจารณาคดี, และดุลพินิจในการลดโทษ
จำเลยให้การรับสารภาพและศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้อง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์เพียงขอลดมาตราส่วนโทษโดยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาที่ว่าจำเลยมิได้กระทำผิดตามฟ้อง ปัญหานี้จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยก็เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา การพิพากษาคดีอาญา หาได้มีบทบัญญัติของกฎหมายใดให้ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาคดีอื่น ดังนั้นเมื่อ ว. ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดร่วมกับจำเลยถูกฟ้องในคดีอื่นและศาลพิพากษายกฟ้องเพราะไม่มีประจักษ์พยาน จึงไม่ผูกพันศาลว่าจะต้องพิพากษายกฟ้องจำเลยในคดีนี้ด้วย แม้จำเลยจะกระทำผิดขณะมีอายุ 18 ปี แต่พฤติกรรมที่จำเลยร่วมกันวางแผนกระทำความผิดและดำเนินการตามแผนที่วางไว้ส่อแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกผิดชอบเสมือนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ศาลใช้ดุลพินิจไม่ลดมาตราส่วนโทษให้ได้.
of 104