คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 195

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,039 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4260-4262/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปิดสาขาธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาต และความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
นับตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงการคลัง ฉบับลงวันที่ 19 กันยายน2519 เรื่อง กำหนดกิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5(7) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 และประกาศกระทรวงการคลังฉบับลงวันที่ 19 กันยายน 2519เรื่องกำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการที่ต้องขออนุญาต ฯ ใช้บังคับ บริษัทที่ประกอบธุรกิจเงินทุนจะต้องยื่นคำขอรับอนุญาตภายใน 60 วัน และจะมีสาขาไม่ได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังถ้าบริษัทใดมีสาขาอยู่แล้วและประสงค์จะมีสาขานั้นต่อไปก็ให้ยื่นคำขอรับอนุญาตไปพร้อมกันด้วย บริษัทจำเลยที่ 2 เปิดสาขาหลังจากวันที่ประกาศดังกล่าวใช้บังคับแล้วโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ข้อ 5(7),16
การที่โจทก์ร่วมและผู้มีชื่อเป็นผู้ช่วยผู้จัดการและผู้จัดการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 หลงเชื่อในคำหลอกลวงของจำเลยจึงได้ร่วมกันเปิดกิจการสาขาของบริษัทจำเลยที่ 2 และชักชวนให้ประชาชนนำเงินมาฝากบริษัทจำเลยที่ 2 ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วม ผู้มีชื่อ และประชาชนผู้นำเงินมาฝากมีส่วนร่วมกระทำความผิดและไม่ใช่ผู้เสียหาย
จำเลยฎีกาว่า การที่ผู้เสียหายนำเงินมาฝากเพราะเชื่อถือในบริษัทจำเลยที่ 2 จึงหาใช่มูลกรณีอันจะเป็นความผิดทางอาญาไม่ และบริษัทจำเลยที่ 2 ประกอบธุรกิจด้วยความบริสุทธิ์ มิได้หลอกลวงประชาชน จึงไม่มีความผิดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินคนละ 5 ปีฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่ศาลชั้นต้นรับฎีกาของจำเลยข้อนี้ไว้จึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ข้อ 5(7),16 ย่อมสำเร็จเมื่อจำเลยเปิดสาขาประกอบธุรกิจเงินทุนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นคนละกรรมต่างหากจากความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน แม้โจทก์ไม่อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจแก้ไขเฉพาะการปรับบทเรียงกระทงให้ถูกต้องได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3639/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปล้นทรัพย์ต่อเนื่องและการพิจารณาความผิดฐานพยายามฆ่าเมื่อการทำร้ายอยู่ในช่วงแห่งการปล้นทรัพย์
จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแล้วพาผู้เสียหายขึ้นรถไปหลังจากนั้นประมาณ 10-25 นาที จำเลยกับพวกจอดรถและทำร้ายผู้เสียหายกับเอาทรัพย์ในตัวผู้เสียหายไปอีก ถือว่าการทำร้ายอยู่ในช่วงแห่งการปล้นทรัพย์เพราะจำเลยกับพวกกำลังพารถยนต์และทรัพย์อื่นที่ปล้นได้ไป และเมื่อทำร้ายแล้วก็ยังเอาทรัพย์จากผู้เสียหายเพิ่มเติมอีก การทำร้ายจึงเป็นความผิดกรรมเดียวกับการปล้นทรัพย์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนและอาวุธอื่น ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยกับพวกใช้ปืนยิงด้วย จึงลงโทษจำเลยได้เพียงฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ แม้คู่ความไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3639/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปล้นทรัพย์และการทำร้ายร่างกายต่อเนื่อง: ศาลตัดสินลงโทษฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ
จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแล้วพาผู้เสียหายขึ้นรถไปหลังจากนั้นประมาณ 10-25 นาที จำเลยกับพวกจอดรถและทำร้ายผู้เสียหายกับเอาทรัพย์ในตัวผู้เสียหายไปอีก ถือว่าการทำร้ายอยู่ในช่วงแห่งการปล้นทรัพย์เพราะจำเลยกับพวกกำลังพารถยนต์และทรัพย์อื่นที่ปล้นได้ไป และเมื่อทำร้ายแล้วก็ยังเอาทรัพย์จากผู้เสียหายเพิ่มเติมอีก การทำร้ายจึงเป็นความผิดกรรมเดียวกับการปล้นทรัพย์
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนและอาวุธอื่น ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยกับพวกใช้ปืนยิงด้วย จึงลงโทษจำเลยได้เพียงฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธ แม้คู่ความไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้เพราะเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3587/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษความผิดฐานทำไม้ในเขตป่าสงวน การปรับบทกฎหมาย และพฤติการณ์แห่งคดี
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดในข้อหา เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดิน ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดฟันต้นไม้ ทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ไม้สัก ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกไม่ถึง 5 ปี เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้
จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดต้นไม้ทำลายป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติและทำไม้สัก 2 ท่อน ปริมาตร 0.063ลูกบาศก์เมตร และไม้อื่นอันเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในคราวเดียวกัน ย่อมเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 11,73 วรรคสอง และ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14,31 วรรคสอง เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทหนักตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 73 วรรคสอง
ปัญหาที่ศาลล่างปรับบทกฎหมายดังกล่าวผิด แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3587/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษฐานทำไม้และยึดครองที่ดินในเขตป่าสงวนฯ ศาลฎีกาแก้ไขบทลงโทษให้ถูกต้องตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดในข้อหา เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดิน ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดฟันต้นไม้ ทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติและก่อให้เกิดความเสียหาย แก่ไม้สัก ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกไม่ถึง 5 ปี เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้
จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดต้นไม้ทำลายป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติและทำไม้สัก 2 ท่อน ปริมาตร 0.063ลูกบาศก์เมตร และไม้อื่นอันเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในคราวเดียวกัน ย่อมเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 11, 73 วรรคสอง และ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทหนักตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 73 วรรคสอง
ปัญหาที่ศาลล่างปรับบทกฎหมายดังกล่าวผิด แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3179/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเช็ค: วันที่กระทำผิดต้องหลังวันที่ออกเช็ค ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้เอง
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยออกเช็คพิพาทให้ผู้เสียหายเมื่อเดือนธันวาคม 2528 สั่งจ่ายเงินในวันที่ 15 มกราคม 2528 และผู้เสียหายนำเช็คพิพาทไปเบิกเงินจากธนาคารตามเช็คในวันที่ 4เมษายน 2528 ในวันเดียวกันเวลากลางวัน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค วันที่ความผิดเกิดก็คือวันที่ 4 เมษายน 2528 ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งเป็นวันที่ย้อนหลังจากวันที่จำเลยมอบเช็คให้ผู้เสียหาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่วันที่กระทำผิดจะเกิดก่อนวันที่จำเลยมอบเช็คพิพาทให้ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องจึงไม่เป็นความผิด กรณีเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลพิพากษายกฟ้องได้โดยไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3179/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเช็ค: วันที่กระทำผิดต้องหลังวันที่ออกเช็ค การบรรยายฟ้องไม่ชัดเจนทำให้ศาลยกฟ้อง
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยออกเช็คพิพาทให้ผู้เสียหายเมื่อเดือนธันวาคม 2528 สั่งจ่ายเงินในวันที่ 15 มกราคม 2528 และผู้เสียหายนำเช็คพิพาทไปเบิกเงินจากธนาคารตามเช็คในวันที่4 เมษายน 2528 ในวันเดียวกันเวลากลางวัน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค วันที่ความผิดเกิดก็คือวันที่ 4 เมษายน 2528ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งเป็นวันที่ย้อนหลังจากวันที่จำเลยมอบเช็คให้ผู้เสียหาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่วันที่กระทำผิดจะเกิดก่อนวันที่จำเลยมอบเช็คพิพาทให้ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องจึงไม่เป็นความผิด กรณีเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลพิพากษายกฟ้องได้โดยไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2898/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาเรื่องฟ้องซ้อนความผิดจัดหางาน-ฉ้อโกง, ข้อจำกัดการฎีกาในคดีจำคุกไม่เกิน 5 ปี
ฎีกาว่าข้อนำสืบของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชักชวนผู้เสียหายหรือโฆษณาต่อประชาชนให้ไปทำงานในประเทศตะวันออกกลาง และไม่นำสืบว่าจำเลยที่ 1 ไม่ตั้งใจส่งผู้เสียหายไปทำงานยังต่างประเทศเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฉ้อโกงมาแต่ต้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดทางอาญาแต่เป็นความรับผิดทางแพ่ง เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
แม้ว่าวันเกิดเหตุของคดีความผิดฐานฉ้อโกงในคดีนี้จะคาบเกี่ยวกันกับคดีแรก แต่ผู้เสียหายเป็นคนละชุดกัน ถูกหลอกลวงต่างวันหรือต่างเวลากัน เงินที่ถูกหลอกลวงก็เป็นคนละจำนวนกัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่ซ้ำซ้อนกับคดีแรก
ปัญหาที่ว่ามีการกระทำผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตหลายกรรมหรือไม่ต้องพิจารณาว่าการจัดหางานนั้นได้กระทำต่อเนื่องเป็นคราวเดียวกันหรือไม่ มิใช่พิจารณาว่าเป็นการจัดหางานให้แต่ละคนหรือแต่ละช่วงเวลาตามแต่จะกำหนดเป็นสำคัญ เมื่อได้ความว่าจำเลยทั้งสามได้ออกอุบายตั้งสำนักงานจัดหางานให้แก่ประชาชนทั่วไป ทั้งการกระทำผิดในคดีนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาคาบเกี่ยวต่อเนื่องกับคดีแรกโดยไม่ปรากฏว่ามีการหยุดดำเนินกิจการในช่วงระยะเวลาดังกล่าวเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนาดำเนินการในการจัดหางานคราวเดียวกันการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ทั้งสองคดีในความผิดฐานนี้จึงเป็นกรรมเดียวกัน ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานจัดหางาน ฯ จึงซ้อนกับคดีแรก ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
ฎีกาที่ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนนั้นเป็นฎีกาปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัย
เมื่อฟ้องโจทก์บางฐานความผิดเป็นฟ้องซ้อน ถือได้ว่าเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาให้มิต้องรับโทษในฐานความผิดที่เป็นฟ้องซ้อนด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2898/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน-กรรมเดียว: จัดหางาน, ฉ้อโกง, ข้อจำกัดการฎีกา, อำนาจศาล
ฎีกาว่าข้อนำสืบของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชักชวนผู้เสียหายหรือโฆษณาต่อประชาชนให้ไปทำงานในประเทศตะวันออกกลาง และไม่นำสืบว่าจำเลยที่ 1 ไม่ตั้งใจส่งผู้เสียหายไปทำงานยังต่างประเทศเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาฉ้อโกงมาแต่ต้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดทางอาญาแต่เป็นความรับผิดทางแพ่ง เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
แม้ว่าวันเกิดเหตุของคดีความผิดฐานฉ้อโกงในคดีนี้จะคาบเกี่ยวกันกับคดีแรก แต่ผู้เสียหายเป็นคนละชุดกัน ถูกหลอกลวงต่างวันหรือต่างเวลากัน เงินที่ถูกหลอกลวงก็เป็นคนละจำนวนกัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่ซ้ำซ้อนกับคดีแรก
ปัญหาที่ว่ามีการกระทำผิดฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาตหลายกรรมหรือไม่ต้องพิจารณาว่าการจัดหางานนั้นได้กระทำต่อเนื่องเป็นคราวเดียวกันหรือไม่ มิใช่พิจารณาว่าเป็นการจัดหางานให้แต่ละคนหรือแต่ละช่วงเวลาตามแต่จะกำหนดเป็นสำคัญ เมื่อได้ความว่าจำเลยทั้งสามได้ออกอุบายตั้งสำนักงานจัดหางานให้แก่ประชาชนทั่วไป ทั้งการกระทำผิดในคดีนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาคาบเกี่ยวต่อเนื่องกับคดีแรกโดยไม่ปรากฏว่ามีการหยุดดำเนินกิจการในช่วงระยะเวลาดังกล่าวเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนาดำเนินการในการจัดหางานคราวเดียวกันการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ทั้งสองคดีในความผิดฐานนี้จึงเป็นกรรมเดียวกัน ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานจัดหางาน ฯ จึงซ้อนกับคดีแรก ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
ฎีกาที่ว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนนั้นเป็นฎีกาปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้มิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัย
เมื่อฟ้องโจทก์บางฐานความผิดเป็นฟ้องซ้อน ถือได้ว่าเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาให้มิต้องรับโทษในฐานความผิดที่เป็นฟ้องซ้อนด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2163/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองเฮโรอีนปริมาณน้อย และขัดขวางเจ้าพนักงาน ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ลงโทษ
การที่จำเลยมีหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาซึ่งมีเฮโรอีนติดอยู่แม้เฮโรอีนนั้นจะมีจำนวนเล็กน้อยจนชั่งน้ำหนักไม่ได้ก็ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138,296 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 296 โดยมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 138 ด้วยจึงไม่ถูกต้อง แม้โจทก์มิได้อุทธรณ์ศาลฎีกาก็ชอบที่จะแก้ให้ถูกต้องโดยลงโทษเท่าเดิมได้.
of 104