คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 195

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,039 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 589/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขฐานการริบของกลางในคดีอาญา จากมาตรา 32 เป็นมาตรา 33 เนื่องจากของกลางใช้ในการกระทำผิด
ของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ริบของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องโดยปรับบทริบตามมาตรา 33.(ที่มา-เนติ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขนแร่เกินใบอนุญาต การพิสูจน์เจตนา/รู้เห็นเป็นใจของเจ้าของแร่ และขอบเขตการริบของกลาง
เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ถือไม่ได้ว่าเป็นตัวการตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 10 และพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 โจทก์มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ในปัญหานี้ ดังนั้นการที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จึงเป็นฎีกาในปัญหาที่ยุติแล้ว และเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 110 วรรคท้าย แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่3) พ.ศ. 2522 มาตรา 19 บัญญัติว่า'การขนแร่เกินใบอนุญาตที่มิได้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวงให้ถือว่าแร่ที่ขนทั้งสิ้นนั้นเป็นแร่ที่ขนโดยไม่ได้รับอนุญาต' หมายความว่าเจ้าของแร่หรือผู้ถืออาชญาบัตรผู้ถือประทานบัตรชั่วคราว ผู้ถือประทานบัตรหรือผู้รับใบอนุญาตจะต้องมีเจตนาหรือรู้เห็นเป็นใจในการขนแร่เกินใบอนุญาตด้วยเมื่อจำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ขนแร่ดีบุกจำนวน 11 กระสอบโดยได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ขับรถยนต์ไปบรรทุกแร่ดีบุกจากท.คนเฝ้ารักษษแร่ดีบุกของจำเลยที่2ท. ได้ยักยอกแร่ดีบุกของจำเลยที่ 2บรรทุกไปในรถยนต์คันดังกล่าวอีก 15 กระสอบกรณีแร่ดีบุกจำนวน 15 กระสอบนี้จำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาหรือรู้เห็นเป็นใจที่จะให้ขนเกินไปจากที่ระบุไว้ในใบอนุญาตขนแร่ หากแต่เป็นการกระทำโดยพลการของ ท. เอง จึงถือไม่ได้ว่าแร่ของกลางทั้งหมดเป็นแร่ที่ขนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 110 และริบไม่ได้ตามมาตรา 154.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 508/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขนแร่เกินใบอนุญาตต้องมีเจตนาหรือรู้เห็นเป็นใจ การริบแร่ต้องพิเคราะห์เจตนาเจ้าของ
เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ถือไม่ได้ว่าเป็นตัวการตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 10 และพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 โจทก์มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ในปัญหานี้ ดังนั้นการที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการในการกระทำผิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จึงเป็นฎีกาในปัญหาที่ยุติแล้ว และเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 110 วรรคท้าย แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2522 มาตรา 19 บัญญัติว่า'การขนแร่เกินใบอนุญาตที่มิได้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวงให้ถือว่าแร่ที่ขนทั้งสิ้นนั้นเป็นแร่ที่ขนโดยไม่ได้รับอนุญาต' หมายความว่าเจ้าของแร่หรือผู้ถืออาชญาบัตร ผู้ถือประทานบัตรชั่วคราว ผู้ถือประทานบัตรหรือผู้รับใบอนุญาตจะต้องมีเจตนาหรือรู้เห็นเป็นใจในการขนแร่เกินใบอนุญาตด้วย เมื่อจำเลยที่ 2 ได้รับอนุญาตให้ขนแร่ดีบุกจำนวน 11 กระสอบโดยได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ขับรถยนต์ไปบรรทุกแร่ดีบุกจาก ท.คนเฝ้ารักษาแร่ดีบุกของจำเลยที่ 2 ท. ได้ยักยอกแร่ดีบุกของจำเลยที่ 2 บรรทุกไปในรถยนต์คันดังกล่าวอีก 15 กระสอบ กรณีแร่ดีบุกจำนวน 15 กระสอบนี้จำเลยที่ 2 มิได้มีเจตนาหรือรู้เห็นเป็นใจที่จะให้ขนเกินไปจากที่ระบุไว้ในใบอนุญาตขนแร่ หากแต่เป็นการกระทำโดยพลการของ ท. เอง จึงถือไม่ได้ว่าแร่ของกลางทั้งหมดเป็นแร่ที่ขนโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 110 และริบไม่ได้ตามมาตรา 154

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษจำคุกประหารชีวิตและการคำนวณลดโทษที่ไม่ถูกต้อง ศาลฎีกายกประเด็นความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยแก้ไข
ปัญหาเรื่องวิธีเพิ่มโทษ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่าในชั้นอุทธรณ์ จำเลยก็ยกขึ้นว่าในชั้นฎีกาได้
เมื่อศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยแล้ว ศาลจะเพิ่มโทษจำเลยอีกไม่ได้ ฉะนั้นแม้คดีจะมีส่วนของการเพิ่มเท่ากับส่วนของการลดศาลจะไม่เพิ่มไม่ลดหาได้ไม่ เพราะประมวลกฎหมายอาญามาตรา 54 ให้เพิ่มโทษก่อนแล้วจึงลดจากผลที่ได้เพิ่มแล้วนั้น แต่กรณีนี้การเพิ่มโทษตามมาตรา 92 ไม่อาจทำได้ ศาลจึงต้องลดโทษให้แก่จำเลยสถานเดียว
โทษจำคุกตลอดชีวิตเมื่อรวมกับโทษจำคุกกระทงอื่นแล้วคงให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
การคำนวณลดโทษไม่ถูกต้อง เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะไม่อุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มลดโทษและวิธีคำนวณที่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงการแก้ไขคำพิพากษาศาลล่างที่ผิดพลาด
ปัญหาเรื่องวิธีเพิ่มโทษและการคำนวณลดโทษเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่าในชั้นอุทธรณ์จำเลยย่อมยกขึ้นว่าในชั้นฎีกาได้และแม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจจะยกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 ประกอบมาตรา 225 ในการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลงให้ศาลตั้งกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลยเสียก่อนแล้วจึงเพิ่มหรือลด ถ้า มีทั้งการเพิ่มและการลดโทษที่จะลง ให้เพิ่มก่อนแล้วจึงลดจากผลที่เพิ่มแล้วนั้นเมื่อศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ 1 แล้ว แม้โจทก์มีคำขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ศาลก็เพิ่มโทษ จำเลยที่ 1 อีกมิได้เพราะเป็นโทษประหารชีวิตจึงคงต้องลดโทษให้จำเลยที่ 1 สถานเดียวจะไม่เพิ่มไม่ลดเพราะเหตุที่ส่วนของการเพิ่มเท่ากับส่วนของการลดหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 361/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วิธีเพิ่มโทษทางอาญา ศาลฎีกาแก้ไขการคำนวณโทษและลดโทษจำเลย
ปัญหาเรื่องวิธีเพิ่มโทษ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นว่าในชั้นอุทธรณ์ จำเลยก็ยกขึ้นว่าในชั้นฎีกาได้
เมื่อศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลยแล้ว ศาลจะเพิ่มโทษจำเลยอีกไม่ได้ ฉะนั้นแม้คดีจะมีส่วนของการเพิ่มเท่ากับส่วนของการลดศาลจะไม่เพิ่มไม่ลดหาได้ไม่ เพราะประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 54 ให้เพิ่มโทษก่อนแล้วจึงลดจากผลที่ได้เพิ่มแล้วนั้น แต่กรณีนี้การเพิ่มโทษตามมาตรา 92 ไม่อาจทำได้ ศาลจึงต้องลดโทษให้แก่จำเลยสถานเดียว
โทษจำคุกตลอดชีวิตเมื่อรวมกับโทษจำคุกกระทงอื่นแล้วคงให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต
การคำนวณลดโทษไม่ถูกต้อง เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่อุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 360/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์และฎีกาในคดีเช็ค: การยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นอุทธรณ์และฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ม.สามีโจทก์มิได้โอนเช็คให้โจทก์ โจทก์จึงมิใช่ผู้ทรงเช็ค มิใช่ผู้เสียหาย โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คและเป็นผู้เสียหายอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22ประกอบกับพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบโจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาปัญหาข้อนี้
ปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแต่ในศาลชั้นต้นเพิ่งมายกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 360/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามในคดีเช็คและการยกข้อกฎหมายใหม่ในชั้นอุทธรณ์ ทำให้ไม่มีสิทธิฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ม.สามีโจทก์มิได้โอนเช็คให้โจทก์ โจทก์จึงมิใช่ผู้ทรงเช็ค มิใช่ผู้เสียหาย โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คและเป็นผู้เสียหาย อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ประกอบกับพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ โจทก์ไม่มีสิทธิฎีกาปัญหาข้อนี้
ปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแต่ในศาลชั้นต้นเพิ่งมายกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 197/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญาและการประเมินความประมาทของผู้ขับขี่รถบรรทุกที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ
เจ้าของรถยนต์คันที่ผู้ตายขับขี่และเกิดเหตุชนกับรถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่งซึ่งขับด้วยความประมาทไม่ใช่ผู้เสียหาย หรือผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายแก่กาย ตาม ป.อ. มาตรา 291,390 และความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรพ.ศ. 2522 มาตรา 43,157 จึงไม่อาจขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการได้ แม้คู่ความมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ แต่อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาย่อมยกปัญหาดังกล่าวไปวินิจฉัยได้ จำเลยขับรถยนต์บรรทุกออกจากไหล่ถนนและเลี้ยวขวาทันทีโดยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังดู รถที่แล่นมาในช่องทางเดินรถว่ามีรถแล่นมาหรือไม่เป็นเหตุให้ผู้ตายซึ่งขับรถมาในช่องทางดังกล่าว หยุดรถไม่ทันและหักหลบไม่พ้น จึงพุ่งชนท้ายรถจำเลยทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และว.จ.กับอ. ซึ่งนั่งมาในรถที่ผู้ตายขับได้รับอันตรายแก่กายการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 291,300 ลงโทษบทหนักตามมาตรา 291.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 197/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของผู้เสียหายที่ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรง และความประมาทเลินเล่อในการขับรถ
เจ้าของรถยนต์คันที่ผู้ตายขับขี่และเกิดเหตุชนกับรถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่งซึ่งขับด้วยความประมาทไม่ใช่ผู้เสียหายหรือผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายแก่กายตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,390 และความผิดตาม พระราชบัญญัติ จราจร พ.ศ. 2522 มาตรา 43,157 จึงไม่อาจขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการได้ แม้คู่ความมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ แต่อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาย่อมยกปัญหาดังกล่าวไปวินิจฉัยได้.
จำเลยขับรถยนต์บรรทุกออกจากไหล่ถนนและเลี้ยวขวาทันทีโดยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังดูรถที่แล่นมาในช่องทางเดินรถว่ามีรถแล่นมาหรือไม่ เป็นเหตุให้ผู้ตายซึ่งขับรถมาในช่องทางดังกล่าว หยุดรถไม่ทันและหักหลบไม่พ้น จึงพุ่งชนท้ายรถจำเลยทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และ ว.จ.กับอ. ซึ่งนั่งมาในรถที่ผู้ตายขับได้รับอันตรายแก่กาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,300 ลงโทษบทหนักตามมาตรา291.
of 104