พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,039 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 148/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดยักยอกเงินของพนักงานรัฐ: การพิจารณาความผิดตามกฎหมายอาญาและกฎหมายพิเศษ
พระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 มาตรา 18 บัญญัติให้พนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งกฎหมายลักษณะอาญา เมื่อจำเลยซึ่งเป็นพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยมีหน้าที่จำหน่ายตั๋วเดินทางยักยอกเงินค่าตั๋วเดินทางที่จำเลยได้รับไว้ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และโดยที่พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 3 บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้วตามกฎหมายไม่เป็น 'พนักงาน' ตามกฎหมายฉบับดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 ด้วย
ปัญหาเรื่องการปรับบทลงโทษจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย และแก้เสียให้ถูกต้องได้
ปัญหาเรื่องการปรับบทลงโทษจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย และแก้เสียให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4172/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเช็ค: ผู้สลักหลังไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็คหากไม่ได้ร่วมกระทำผิดกับผู้ออกเช็ค และโจทก์ต้องพิสูจน์ว่ามีเงินในบัญชี
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังเช็คมิใช่ผู้ออกเช็ค โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บรรยายว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ผู้ออกเช็คอย่างไร การกระทำของจำเลยที่ 2 ตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับฟ้อง เฉพาะจำเลยที่ 1 ผู้ออกเช็คส่วนจำเลยที่ 2 ผู้สลักหลังเช็คให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ให้ประทับฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย ดังนี้ข้อเท็จจริงที่ว่าในวันออกเช็คจำเลยที่ 1 มีเงินในบัญชีพอจ่ายตามเช็คพิพาทหรือไม่ เป็นสาระสำคัญแห่งคดีที่จะแสดงให้เห็นได้ว่าคดีโจทก์มีมูลเป็นความผิดหรือไม่ แม้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ก็ต้องนำสืบให้ปรากฏถึงความข้อนี้ เมื่อโจทก์นำสืบแต่เพียงว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการออกเช็คโดยเจตนา ที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเท่านั้น จึงฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ศาลชั้นต้นมีคำสั่งประทับฟ้อง เฉพาะจำเลยที่ 1 ผู้ออกเช็คส่วนจำเลยที่ 2 ผู้สลักหลังเช็คให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ให้ประทับฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย ดังนี้ข้อเท็จจริงที่ว่าในวันออกเช็คจำเลยที่ 1 มีเงินในบัญชีพอจ่ายตามเช็คพิพาทหรือไม่ เป็นสาระสำคัญแห่งคดีที่จะแสดงให้เห็นได้ว่าคดีโจทก์มีมูลเป็นความผิดหรือไม่ แม้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ก็ต้องนำสืบให้ปรากฏถึงความข้อนี้ เมื่อโจทก์นำสืบแต่เพียงว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการออกเช็คโดยเจตนา ที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คเท่านั้น จึงฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4048/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เรื่องลักทรัพย์-รับของโจร โดยวินิจฉัยข้อหาเดิมตามที่โจทก์ฎีกา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรจำเลยที่1ให้การรับสารภาพฐานรับของโจรจำเลยที่2ให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่1มีความผิดฐานลักทรัพย์จำเลยที่2มีความผิดฐานรับของโจรดังนี้ถือได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่1ในข้อหาฐานรับของโจรเมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ต้องถือว่าข้อหารับของโจรสำหรับจำเลยที่1ยุติแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นจำเลยที่1อุทธรณ์ขอให้พิพากษายกฟ้องในข้อหาลักทรัพย์ที่ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยจำเลยที่1กระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่1ฐานรับของโจรไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาเมื่อโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่1ฐานลักทรัพย์ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อหาฐานลักทรัพย์ตามฎีกาของโจทก์โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4048/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจร ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อหาเดิมตามฎีกาโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจร จำเลยที่ 2ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานรับของโจร ดังนี้ ถือได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาฐานรับของโจร เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ต้องถือว่าข้อหารับของโจรสำหรับจำเลยที่ 1ยุติแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้พิพากษายกฟ้องในข้อหาลักทรัพย์ที่ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานรับของโจรไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา เมื่อโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานลักทรัพย์ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อหาฐานลักทรัพย์ตามฎีกาของโจทก์โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3942/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมและใช้เอกสารปลอม: การพิจารณาความผิดกรรมเดียว vs. หลายกรรม และการลดโทษตามกฎหมาย
คดีจะต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาตามฐานความผิดเป็นกระทง ๆ ไป เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแต่ละกระทงจำคุกไม่เกิน 5 ปี และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงต้องฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
จำเลยปลอมหนังสือเดินทางซึ่งเป็นเอกสารราชการของกระทรวงต่างประเทศ และจำเลยได้ทำปลอมขึ้นซึ่งรอยตราของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำกรุงเบรุตประเทศเลบานอน แล้วประทับรอยตราปลอมดังกล่าวลงในหนังสือเดินทางที่จำเลยปลอมขึ้น อันเป็นการปลอมหนังสือเดินทางทั้งฉบับให้สำเร็จบริบูรณ์ดังเจตนาของจำเลย การกระทำของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท คือมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 กับมาตรา 251 กระทงหนึ่ง ต่อมาเมื่อจำเลยนำหนังสือเดินทางที่จำเลยทำปลอมขึ้นและมีรอยตราปลอมประทับดังกล่าวไปใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อตรวจประทับตราเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรและเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร รวม 3 ครั้ง แม้จะเป็นการใช้ในลักษณะเดียวกัน แต่ก็เป็นการใช้คนละเวลาคนละครั้งต่างกรรมกัน การกระทำของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 265 และมาตรา 251 ประกอบด้วยมาตรา 252 แต่เนื่องจากมาตรา 263 บัญญัติว่าถ้าผู้กระทำผิดตามมาตรา 251 ได้กระทำผิดตามมาตรา 252 ด้วยให้ลงตามมาตรา 251 กระทงเดียว ดังนั้นเมื่อจำเลยเป็นผู้ทำรอยตราปลอมอันเป็นความผิดตามมาตรา 251 และได้ใช้รอยตราปลอมนั้นอันเป็นความผิดตามมาตรา 252 รวม 3 ครั้ง ในการใช้ครั้งแรกจำเลยทำรอยตราปลอมและใช้รอยตราปลอมด้วย จึงมีความผิดตามมาตรา 251 ประกอบด้วยมาตรา 263 กระทงหนึ่ง แต่ในการใช้ครั้งที่สองและครั้งที่สามจำเลยมิได้ปลอมรอยตราขึ้นอีก คงใช้รอยตราปลอมอันเก่านั้นเอง จึงมีความผิดฐานใช้รอยตราปลอมอย่างเดียวตามมาตรา 252 อีก 2 กระทง รวมทั้งสิ้น 3 กระทง ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ขึ้นมา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ (หมายเหตุ วรรค 2 วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2529)
จำเลยปลอมหนังสือเดินทางซึ่งเป็นเอกสารราชการของกระทรวงต่างประเทศ และจำเลยได้ทำปลอมขึ้นซึ่งรอยตราของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ไทยประจำกรุงเบรุตประเทศเลบานอน แล้วประทับรอยตราปลอมดังกล่าวลงในหนังสือเดินทางที่จำเลยปลอมขึ้น อันเป็นการปลอมหนังสือเดินทางทั้งฉบับให้สำเร็จบริบูรณ์ดังเจตนาของจำเลย การกระทำของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท คือมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 กับมาตรา 251 กระทงหนึ่ง ต่อมาเมื่อจำเลยนำหนังสือเดินทางที่จำเลยทำปลอมขึ้นและมีรอยตราปลอมประทับดังกล่าวไปใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อตรวจประทับตราเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรและเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร รวม 3 ครั้ง แม้จะเป็นการใช้ในลักษณะเดียวกัน แต่ก็เป็นการใช้คนละเวลาคนละครั้งต่างกรรมกัน การกระทำของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรกประกอบด้วยมาตรา 265 และมาตรา 251 ประกอบด้วยมาตรา 252 แต่เนื่องจากมาตรา 263 บัญญัติว่าถ้าผู้กระทำผิดตามมาตรา 251 ได้กระทำผิดตามมาตรา 252 ด้วยให้ลงตามมาตรา 251 กระทงเดียว ดังนั้นเมื่อจำเลยเป็นผู้ทำรอยตราปลอมอันเป็นความผิดตามมาตรา 251 และได้ใช้รอยตราปลอมนั้นอันเป็นความผิดตามมาตรา 252 รวม 3 ครั้ง ในการใช้ครั้งแรกจำเลยทำรอยตราปลอมและใช้รอยตราปลอมด้วย จึงมีความผิดตามมาตรา 251 ประกอบด้วยมาตรา 263 กระทงหนึ่ง แต่ในการใช้ครั้งที่สองและครั้งที่สามจำเลยมิได้ปลอมรอยตราขึ้นอีก คงใช้รอยตราปลอมอันเก่านั้นเอง จึงมีความผิดฐานใช้รอยตราปลอมอย่างเดียวตามมาตรา 252 อีก 2 กระทง รวมทั้งสิ้น 3 กระทง ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ขึ้นมา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ (หมายเหตุ วรรค 2 วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2/2529)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3942/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดกรรมและกระทงความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม การใช้กฎหมายหมวดความผิดเกี่ยวกับเอกสาร
การที่จะวินิจฉัยว่าคดีใดต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาฐานความผิดเป็นกระทง ๆ ไปศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดรวม 6 กระทงซึ่งแต่ละกระทงลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 โจทก์บรรยายฟ้องแยกการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เมื่อการกระทำของจำเลยในขั้นตอนที่ทำปลอมขึ้นซึ่งรอยตราของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ไทยประจำกรุงเบรุต แล้วเอารอยตราปลอมนั้นไปประทับลงในหนังสือเดินทางปลอม ก็เพื่อให้หนังสือเดินทางปลอมที่จำเลยทำขึ้นมีลักษณะข้อความและรอยตราที่ประทับเหมือนของจริง เมื่อผู้ใดพบเห็นจะได้หลงเชื่อและเข้าใจว่าเป็นหนังสือเดินทางที่แท้จริงอันเป็นการปลอมหนังสือเดินทางทั้งฉบับให้สำเร็จบริบูรณ์ดังเจตนาของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบทคือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 กับมาตรา 251 กระทงหนึ่งต่อมาเมื่อจำเลยนำหนังสือเดินทางนั้นไปใช้แสดง ต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง เพื่อตรวจประทับตราเดินทาง ออกไปนอกราชอาณาจักรและเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรรวม 3 ครั้ง แม้จะเป็นการใช้ในลักษณะเดียวกัน แต่เป็นการใช้คนละเวลา คนละครั้งต่างกรรมกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรม คือมีความผิดตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265และมาตรา 251 ประกอบด้วย มาตรา 252 ซึ่งมาตรา 263ให้ลงโทษตามมาตรา 251 แต่กระทงเดียว เมื่อจำเลยเป็นผู้ทำรอยตราปลอมอันเป็นความผิดตามมาตรา 251และได้ใช้รอยตราปลอมนั้นอันเป็นความผิดตามมาตรา 252รวม 3 ครั้ง ในการใช้ครั้งแรก จำเลยทำรอยตราปลอมและใช้รอยตราปลอมด้วย จึงมีความผิดตามมาตรา 251ประกอบด้วยมาตรา 263 กระทงหนึ่ง แต่ในการใช้ครั้งที่สองและที่สาม จำเลยมิได้ปลอมรอยตราขึ้นอีกคงใช้รอยตราปลอม อันเก่านั้นเอง จึงมีความผิดฐานใช้รอยตราปลอมอย่างเดียว ตามมาตรา 252 อีก 2 กระทง รวมทั้งสิ้น 3 กระทง ที่ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยรวม 6 กระทง จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3685/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: โทษเบาลงเมื่อผู้เยาว์เต็มใจ และผู้เสียหายมีส่วนผิด
ปัญหาที่ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ซึ่งเมื่อไม่เป็นความผิดตามมาตรา 318 นี้แล้วจะลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 319 วรรคแรกได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้แล้วก็ตาม ศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้
การที่ผู้เสียหายกับจำเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสอง และพากันมาบ้านจำเลย นอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืน จำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหาย และจำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยา จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
เหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วย เพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลงและตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่าจะไปบ้านจำเลยอยากเห็นขาอ่อนจำเลยเป็นการจูงใจจำเลยดังนี้จึงสมควรรอการลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้
การที่ผู้เสียหายกับจำเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสอง และพากันมาบ้านจำเลย นอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืน จำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหาย และจำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยา จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
เหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วย เพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลงและตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่าจะไปบ้านจำเลยอยากเห็นขาอ่อนจำเลยเป็นการจูงใจจำเลยดังนี้จึงสมควรรอการลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3685/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: ความยินยอมของผู้เยาว์มีผลต่อการลงโทษ
ปัญหาที่ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา318ซึ่งเมื่อไม่เป็นความผิดตามมาตรา318นี้แล้วจะลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา319วรรคแรกได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยดังนี้แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้แล้วก็ตามศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยแต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ การที่ผู้เสียหายกับจำเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสองและพากันมาบ้านจำเลยนอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืนจำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหายและจำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยาจำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย เหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วยเพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลงและตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่าจะไปบ้านจำเลยอยากเห็นขาอ่อนจำเลยเป็นการจูงใจจำเลยดังนี้จึงสมควรรอการลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา56.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3685/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร: โทษเบากว่าเมื่อผู้เยาว์เต็มใจ และการพิจารณาเหตุผลของผู้เสียหาย
ปัญหาที่ว่าโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 ซึ่งเมื่อไม่เป็นความผิดตามมาตรา 318 นี้แล้วจะลงโทษจำเลยฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา319 วรรคแรกได้หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้แล้วก็ตามศาลฎีกาก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้
การที่ผู้เสียหายกับจำเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสองและพากันมาบ้านจำเลย นอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืน จำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหาย และจำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยา จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
เหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วย เพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลงและตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่าจะไปบ้านจำเลยอยากเห็นขาอ่อนจำเลยเป็นการจูงใจจำเลยดังนี้จึงสมควรรอการลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ซึ่งมีโทษเบากว่าก็ย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้
การที่ผู้เสียหายกับจำเลยไปดูภาพยนตร์ด้วยกันสองต่อสองและพากันมาบ้านจำเลย นอนอยู่ในห้องเดียวกันตลอดคืน จำเลยย่อมจะต้องกระทำอนาจารต่อผู้เสียหาย และจำเลยมิได้ตั้งใจจะอยู่กินกับผู้เสียหายฉันสามีภรรยา จำเลยจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย
เหตุที่เกิดในคดีนี้ผู้เสียหายก็มีส่วนผิดด้วย เพราะมูลเหตุเป็นเรื่องที่ผู้เสียหายเป็นฝ่ายติดต่อกับจำเลยก่อนในฐานะเป็นแฟนเพลงและตามเนื้อความในจดหมายที่มีไปถึงจำเลยบางฉบับก็มีเนื้อความว่าจะไปบ้านจำเลยอยากเห็นขาอ่อนจำเลยเป็นการจูงใจจำเลยดังนี้จึงสมควรรอการลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3660/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแขวงและขอบเขตการลงโทษปรับตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พร้อมการแก้ไขโทษปรับให้ถูกต้องตามกฎหมาย
โทษตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 65มีเพียงโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และปรับอีกวันละ 500 บาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืน จึงมิใช่โทษปรับเกินกว่า 6 หมื่นบาทตามความหมายในพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 22(5)ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษา จำเลยฎีกาว่าศาลลงโทษปรับจำเลยหนักเกินควร เป็นการ โต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษ และเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 โทษตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ มาตรา 65 วรรคสองที่ให้ปรับอีกวันละ 500 บาทนั้น เมื่อลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งแล้ว คงปรับวันละ250 บาท แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับวันละ 500 บาท แม้จำเลย มิได้ฎีกา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกา มีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้