พบผลลัพธ์ทั้งหมด 277 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1829/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กฎหมายอาญาปรับแก่คดีอาญา: การเปลี่ยนแปลงโทษหลังกระทำผิด และหลักการใช้กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลย
ขณะที่จำเลยกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิง ยังไม่มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ออกใช้บังคับ การกระทำอันมีองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี ฯลฯ นั้น ยังไม่มีกฎหมายกำหนดโทษให้หนักขึ้นในขณะจำเลยกระทำผิดโจทก์ย่อมขอให้ศาลใช้มาตรา 340 ตรี เป็นบทลงโทษหรือนำไปประกอบมาตรา 340 วรรค 4 เพื่อให้โทษหนักขึ้นมิได้ คงได้แต่ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรค 4 เดิมซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทำผิด แต่เมื่อปรากฏว่าในระหว่างพิจารณาได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ออกใช้บังคับข้อ 14 ประกาศนี้แก้ไขโทษของมาตรา 340 วรรค 4 เดิมให้เบาลงก็ต้องใช้มาตรา 340 วรรค 4 ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ข้อ 14 บังคับแก่คดีนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3โจทก์จะอ้างว่าโทษตามมาตรา 340 วรรค 4 ที่แก้ไขใหม่โดยประกาศข้อ 14 ให้เพิ่มขึ้นกึ่งหนึ่งตามมาตรา 340 ตรี. ที่บัญญัติเพิ่มเติมขึ้นโดยข้อ 15 คำนวณโทษแล้วมีอัตราหนักกว่ามาตรา 340 วรรค 4 เดิมมาตรา 340 วรรค 4 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี ที่แก้ไขใหม่นั้นไม่เป็นคุณแก่จำเลย จะต้องวางโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรค 4 เดิม ดังนี้ หาถูกต้องไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1829/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กฎหมายอาญาในอดีตและปัจจุบัน กรณีโทษเบากว่าเดิม คดีปล้นทรัพย์
ขณะที่จำเลยกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิง ยังไม่มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ออกใช้บังคับ การกระทำอันมีองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรีฯลฯ นั้น ยังไม่มีกฎหมายกำหนดโทษให้หนักขึ้นในขณะจำเลยกระทำผิดโจทก์ย่อมขอให้ศาลใช้มาตรา 340 ตรี เป็นบทลงโทษหรือนำไปประกอบมาตรา 340 วรรค 4 เพื่อให้โทษหนักขึ้นมิได้ คงได้แต่ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรค 4 เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทำผิด แต่เมื่อปรากฏว่าในระหว่างพิจารณาได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ออกใช้บังคับ ข้อ 14 ประกาศนี้แก้ไขโทษของมาตรา 340 วรรค 4 เดิมให้เบาลงก็ต้องใช้มาตรา 340 วรรค 4 ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 14 บังคับแก่คดีนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 โจทก์จะอ้างว่าโทษตามมาตรา 340 วรรค 4 ที่แก้ไขใหม่โดยประกาศข้อ 14 ให้เพิ่มขึ้นกึ่งหนึ่งตามมาตรา 340 ตรี. ที่บัญญัติเพิ่มเติมขึ้นโดยข้อ 15 คำนวณโทษแล้วมีอัตราหนักกว่ามาตรา 340 วรรค 4 เดิม มาตรา 340 วรรค 4 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี ที่แก้ไขใหม่นั้นไม่เป็นคุณแก่จำเลย จะต้องวางโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 เดิม ดังนี้ หาถูกต้องไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1023/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทกฎหมายอาญาในคดีข่มขืนโทรมหญิง: กฎหมายใหม่ใช้บังคับกับเหตุการณ์ก่อนประกาศใช้ไม่ได้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 เดิม ไม่มีข้อความซึ่งบัญญัติให้การกระทำโดยใช้อาวุธปืนและมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงมีโทษหนักขึ้นเหมือนอย่างที่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมแล้วโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 7 จำเลยกับพวก ร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่เข็ญข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในลักษณะโทรมหญิงก่อนใช้ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ระหว่างพิจารณามีประกาศนั้นออกใช้ประกาศดังกล่าวข้อ 7ไม่ใช่กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยตามมาตรา 3 แห่งประมวลกฎหมายอาญา จึงนำมาปรับบทแก่การกระทำผิดของจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 52/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิด แม้จำเลยพ้นผิด ศาลยังคงมีอำนาจริบได้ตามดุลพินิจ
บทบัญญัติในเรื่องริบทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 หรือ มาตรา 33 นั้น มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญ จะต่างกันก็แต่ว่า ตามมาตรา 32 ศาลจะต้องริบเสียทั้งสิ้น ส่วนมาตรา 33 ให้อยู่ในดุลพินิจของศาล เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 33วรรคท้ายเท่านั้น ที่จะสั่งริบไม่ได้
ดังนั้น ในคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกมีปืนและสายไฟฟ้าติดตัวร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยใช้สายไฟฟ้ารัดคอเจ้าทรัพย์ แม้ศาลจะวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้กระทำผิดก็ดี แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสายไฟฟ้าของกลางเป็นทรัพย์สินซึ่งใช้ในการกระทำผิดแล้วก็ย่อมริบได้ เพราะอยู่ในดุลพินิจของศาล ตามมาตรา 33(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2516 )
ดังนั้น ในคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกมีปืนและสายไฟฟ้าติดตัวร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยใช้สายไฟฟ้ารัดคอเจ้าทรัพย์ แม้ศาลจะวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้กระทำผิดก็ดี แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสายไฟฟ้าของกลางเป็นทรัพย์สินซึ่งใช้ในการกระทำผิดแล้วก็ย่อมริบได้ เพราะอยู่ในดุลพินิจของศาล ตามมาตรา 33(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2516 )
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 52/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด แม้ผู้กระทำผิดได้รับการยกฟ้อง
บทบัญญัติในเรื่องริบทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 หรือ มาตรา 33 นั้น มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญ จะต่างกันก็แต่ว่า ตามมาตรา 32 ศาลจะต้องริบเสียทั้งสิ้น ส่วนมาตรา 33 ให้อยู่ในดุลพินิจของศาล เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 33วรรคท้ายเท่านั้น ที่จะสั่งริบไม่ได้
ดังนั้น ในคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกมีปืนและสายไฟฟ้าติดตัวร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยใช้สายไฟฟ้ารัดคอเจ้าทรัพย์ แม้ศาลจะวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้กระทำผิดก็ดี แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสายไฟฟ้าของกลางเป็นทรัพย์สินซึ่งใช้ในการกระทำผิดแล้วก็ย่อมริบได้ เพราะอยู่ในดุลพินิจของศาล ตามมาตรา 33(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2516)
ดังนั้น ในคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกมีปืนและสายไฟฟ้าติดตัวร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยใช้สายไฟฟ้ารัดคอเจ้าทรัพย์ แม้ศาลจะวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้กระทำผิดก็ดี แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสายไฟฟ้าของกลางเป็นทรัพย์สินซึ่งใช้ในการกระทำผิดแล้วก็ย่อมริบได้ เพราะอยู่ในดุลพินิจของศาล ตามมาตรา 33(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1508/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิด พ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าขาออก: การออกใบรับรองมาตรฐานสินค้าเป็นเท็จ และขอบเขตความรับผิดของลูกจ้าง
จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้าขาออก ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออกพ.ศ. 2503 จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ตำแหน่งหัวหน้าแผนกจัดงานตรวจสอบมาตรฐานสินค้าของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ออกคำรับรองต่อสภาหอการค้าไทยว่าแป้งมันสำปะหลังป่นที่มีผู้ขอให้รับรองมาตรฐานที่จะส่งไปต่างประเทศนั้นได้มาตรฐานชั้นหนึ่งจนสภาหอการค้าไทยได้ออกใบรับรองให้แก่ผู้ขอไป ความจริงแป้งมันสำปะหลังป่นรายนี้ไม่ได้มาตรฐานชั้นหนึ่งดังที่ทางการกำหนดไว้ และผู้ตรวจสอบของจำเลยที่ 1 ก็มิใช่ผู้มีอำนาจตรวจมาตรฐานสินค้าชั้นหนึ่ง การที่จำเลยที่ 1 รับรองไปเช่นนั้นเป็นการจงใจกระทำการให้การออกใบรับรองมาตรฐานสินค้าผิดไปจากความเป็นจริง จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออกพ.ศ. 2503 มาตรา 57 ส่วนจำเลยที่ 2 นั้นเป็นแต่ผู้สั่งจ่ายงานไม่ได้ความว่ากระทำในฐานะส่วนตัวหรือเป็นผู้จัดการหรือมีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำการแทนจำเลยที่ 1 และฟังไม่ได้ว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 1ในการกระทำผิด จึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1508/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดตามพ.ร.บ.มาตรฐานสินค้าขาออก กรณีบริษัทออกใบรับรองมาตรฐานสินค้าไม่ตรงตามความเป็นจริง
จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้าขาออก ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 ตำแหน่งหัวหน้าแผนกจัดงานตรวจสอบมาตรฐานสินค้าของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ออกคำรับรองต่อสภาหอการค้าไทยว่าแป้งมันสำปะหลังป่นที่มีผู้ขอให้รับรองมาตรฐานที่จะส่งไปต่างประเทศนั้นได้มาตรฐานชั้นหนึ่งจนสภาหอการค้าไทยได้ออกใบรับรองให้แก่ผู้ขอไป ความจริงแป้งมันสำปะหลังป่นรายนี้ไม่ได้มาตรฐานชั้นหนึ่งดังที่ทางการกำหนดไว้ และผู้ตรวจสอบของจำเลยที่ 1 ก็มิใช่ผู้มีอำนาจตรวจมาตรฐานสินค้าชั้นหนึ่ง การที่จำเลยที่ 1 รับรองไปเช่นนั้นเป็นการจงใจกระทำการให้การออกใบรับรองมาตรฐานสินค้าผิดไปจากความเป็นจริง จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 มาตรา 57 ส่วนจำเลยที่ 2 นั้นเป็นแต่ผู้สั่งจ่ายงานไม่ได้ความว่ากระทำในฐานะส่วนตัวหรือเป็นผู้จัดการหรือมีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำการแทนจำเลยที่ 1 และฟังไม่ได้ว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 1ในการกระทำผิด จึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 109/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กฎหมายเปลี่ยนแปลงกลางคดี: การยกฟ้องเมื่อกฎหมายที่ใช้บังคับถูกยกเลิก
พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 มาตรา 26 และ 51 ลงโทษผู้นำใบยาแห้งพันธุ์ต่างประเทศตั้งแต่หนึ่งกิโลกรัมขึ้นไป ออกนอกเขตจังหวัดโดยไม่ได้รับอนุญาต โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามบทบัญญัตินี้ ต่อมาระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา มีพระราชบัญญัติยาสูบ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2513 ออกใช้บังคับ โดยมาตรา 13 และ 19 บัญญัติให้ยกเลิก มาตรา 26 และ 51 ดังกล่าว เมื่อเป็นเช่นนี้ การกระทำของจำเลยตามฟ้องย่อมไม่เป็นความผิดต่อไป ต้องยกฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 109/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กฎหมายเปลี่ยนแปลงระหว่างพิจารณาคดี: ผลกระทบต่อความผิดเดิม
พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509 มาตรา 26 และ 51 ลงโทษผู้นำใบยาแห้งพันธุ์ต่างประเทศตั้งแต่หนึ่งกิโลกรัมขึ้นไปออกนอกเขตจังหวัดโดยไม่ได้รับอนุญาต โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามบทบัญญัตินี้ต่อมาระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา มีพระราชบัญญัติยาสูบ (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2512 ออกใช้บังคับ โดยมาตรา 13 และ 19 บัญญัติให้ยกเลิกมาตรา 26 และ 51 ดังกล่าว เมื่อเป็นเช่นนี้ การกระทำของจำเลยตามฟ้องย่อมไม่เป็นความผิดต่อไป ต้องยกฟ้องโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลกระทบการยกฟ้องฐานพยายามฆ่าต่อการลงโทษฐานมีอาวุธปืนผิดกฎหมาย ศาลต้องใช้ประมวลกฎหมายอาญา ม.2
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาพยายามฆ่าและมีอาวุธปืนผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำผิดทั้งสองฐานแต่ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าอันเป็นกระทงหนัก จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อหาฐานพยายามฆ่า แต่ในระหว่างพิจารณาศาลอุทธรณ์มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2510 ออกมาให้ผู้มีอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาตไปขอรับอนุญาตภายใน90 วัน โดยไม่ต้องรับโทษ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องทั้งสองข้อหา และโจทก์ฎีกาคัดค้านขึ้นมาดังนี้ แม้ความผิดฐานมีอาวุธปืนจะถึงที่สุดแล้วแต่โดยเหตุที่ศาลฎีกายกฟ้องฐานพยายามฆ่าเมื่อจะลงโทษความผิดฐานมีอาวุธปืนซึ่งศาลชั้นต้นมิได้กำหนดโทษฐานนี้ไว้ คดีก็ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ซึ่งบัญญัติว่าแม้คดีถึงที่สุดแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้นจึงเป็นอันว่าศาลฎีกาจะกำหนดโทษให้ลงแก่จำเลยในความผิดฐานนี้อีกไม่ได้