พบผลลัพธ์ทั้งหมด 277 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 815/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กฎหมายเก่าบังคับคดีเมื่อกฎหมายใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย และคำขอให้ทำลายต้นยางเป็นคำขอทางอาญา
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรค 1 วางหลักให้พิจารณาความผิดของจำเลยและลงโทษตามกฎหมายในขณะที่จำเลยกระทำการอันถูกกล่าวหานั้นและแม้ว่าได้มีการยกเลิกกฎหมายนั้นเสียแล้วมาตรา 2 วรรค 2 และมาตรา 3 ก็ให้พิจารณาใช้กฎหมายใหม่เฉพาะแต่เมื่อเป็นคุณแก่จำเลยเท่านั้น ถ้ากฎหมายใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย ก็ยังใช้กฎหมายเก่าบังคับคดี
อัยการมีอำนาจขอให้ศาลสั่งทำลายต้นยางพาราซึ่งปลูกใหม่โดยมิได้รับอนุญาตและขอให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายในการทำลายนั้นได้ตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ.2481 มาตรา 15 คำขอเช่นว่านี้เป็นคำขอทางอาญา หาใช่คำขอทางแพ่งไม่
อัยการมีอำนาจขอให้ศาลสั่งทำลายต้นยางพาราซึ่งปลูกใหม่โดยมิได้รับอนุญาตและขอให้จำเลยเสียค่าใช้จ่ายในการทำลายนั้นได้ตามพระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ.2481 มาตรา 15 คำขอเช่นว่านี้เป็นคำขอทางอาญา หาใช่คำขอทางแพ่งไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1156/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กฎหมายเก่าบังคับคดีอาญา แม้มีกฎหมายใหม่ยกเลิกแล้ว โดยพิจารณาจากหลักกฎหมายอาญา
ขณะกระทำผิด พระราชบัญญัติอากรการฆ่าสัตว์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2496 ยังใช้บังคับอยู่ แม้ต่อมาชั้นพิจารณาได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อ พ.ศ. 2502 ก็ตาม แต่การฆ่าโคกระบือที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายยังคงถือว่าเป็นความผิดอยู่ และไม่มีคุณแก่ผู้กระทำผิด จึงต้องใช้พระราชบัญญัติอากรการฆ่าสัตว์ที่ใช้ขณะกระทำผิดบังคับแก่คดีตามหลักทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา
ฆ่ากระบือ กฏหมายให้ปรับเรียงตัวสัตว์ที่ฆ่าได้ไม่เกินตัวละ 500 บาท ฉะนั้น เมื่อศาลปรับเรียงตัวจำเลยจึงปรับได้ไม่เกินคนละ 500 บาท
ฆ่ากระบือ กฏหมายให้ปรับเรียงตัวสัตว์ที่ฆ่าได้ไม่เกินตัวละ 500 บาท ฉะนั้น เมื่อศาลปรับเรียงตัวจำเลยจึงปรับได้ไม่เกินคนละ 500 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1156/2504
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กฎหมายเก่าบังคับคดีอาญา แม้มีกฎหมายใหม่ยกเลิกแล้ว โดยยังคงลงโทษปรับเรียงตัวผู้กระทำผิดและสัตว์ที่ฆ่า
ขณะกระทำผิด พระราชบัญญัติอากรการฆ่าสัตว์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2496 ยังใช้บังคับอยู่ แม้ต่อมาชั้นพิจารณาได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์และจำหน่ายเนื้อ พ.ศ. 2502 ก็ตาม แต่การฆ่าโคกระบือที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายยังคงถือว่าเป็นความผิดอยู่ และไม่มีคุณแก่ผู้กระทำผิดจึงต้องใช้พระราชบัญญัติอากรการฆ่าสัตว์ที่ใช้ขณะกระทำผิดบังคับแก่คดีตามหลักทั่วไปในประมวลกฎหมายอาญา
ฆ่ากระบือ กฎหมายให้ปรับเรียงตัวสัตว์ที่ฆ่าได้ไม่เกินตัวละ 500 บาท ฉะนั้น เมื่อศาลปรับเรียงตัวจำเลยจึงปรับได้ไม่เกินคนละ 500 บาท
ฆ่ากระบือ กฎหมายให้ปรับเรียงตัวสัตว์ที่ฆ่าได้ไม่เกินตัวละ 500 บาท ฉะนั้น เมื่อศาลปรับเรียงตัวจำเลยจึงปรับได้ไม่เกินคนละ 500 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 926/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บทบัญญัติมาตรา 281 ประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่บทลงโทษ แต่เป็นข้อยกเว้นความผิดและข้อจำกัดการฟ้องร้อง
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 มิได้บัญญัติการกระทำอันเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้เป็นแต่บัญญัติว่า การกระทำความผิดตามมาตรา 276 และ 278 นั้น ถ้ามิได้ทำต่อหน้าธารกำนัลไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัสและเป็นการโทรมหญิง เป็นความผิดอันยอมความกันได้ จึงมิใช่บทกำหนดการกระทำอันเป็นผิดและกำหนดโทษไว้อันจะนำมาเป็นบทลงโทษจำเลยได้
ศาลชั้นต้นว่า จำเลยผิดตามมาตรา 276,281,310 แต่ให้รวมกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276,281 จำคุก 10 ปี จำเลยรับลดกึ่ง คงจำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยผิดตามมาตรา276,310 ให้ลงโทษตามมาตรา 276 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 5 ปี รับลดกึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน เช่นนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจและเป็นปัญหาในข้อเท็จจริง เป็นการแก้น้อย ต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2503)
ศาลชั้นต้นว่า จำเลยผิดตามมาตรา 276,281,310 แต่ให้รวมกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276,281 จำคุก 10 ปี จำเลยรับลดกึ่ง คงจำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยผิดตามมาตรา276,310 ให้ลงโทษตามมาตรา 276 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 5 ปี รับลดกึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน เช่นนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจและเป็นปัญหาในข้อเท็จจริง เป็นการแก้น้อย ต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 926/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มาตรา 281 ไม่ใช่บทลงโทษ, การใช้ดุลยพินิจศาลในการลดโทษ, การจำกัดสิทธิฎีกา
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 มิได้บัญญัติการกระทำอันเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ เป็นแต่บัญญัติว่า การกระทำความผิดตามมาตรา 276 และ 278 นั้น ถ้ามิได้ทำต่อหน้าธารกำนัลไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัสและเป็นการโทรมหญิง เป็นความผิดอันยอมความกันได้ จึงมิใช่บทกำหนดการกระทำอันเป็นผิดและกำหนดโทษไว้ อันจะนำมาเป็นบทลงโทษจำเลยได้
ศาลชั้นต้นว่า จำเลยผิดตาม มาตรา 276, 281, 310 แต่ให้รวมกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 281 จำคุก 10 ปี จำเลยรับลดกึ่ง คงจำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยผิดตามมาตรา 276, 310 ให้ลงโทษตามมาตรา 276 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 5 ปี รับลดกึ่ง ลงจำคุก 2 ปี 6 เดือน เช่นนี้ เป็นการใช้ดุลยพินิจและเป็นปัญหาในข้อเท็จจริง เป็นการแก้น้อย ต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2503)
ศาลชั้นต้นว่า จำเลยผิดตาม มาตรา 276, 281, 310 แต่ให้รวมกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 281 จำคุก 10 ปี จำเลยรับลดกึ่ง คงจำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยผิดตามมาตรา 276, 310 ให้ลงโทษตามมาตรา 276 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 5 ปี รับลดกึ่ง ลงจำคุก 2 ปี 6 เดือน เช่นนี้ เป็นการใช้ดุลยพินิจและเป็นปัญหาในข้อเท็จจริง เป็นการแก้น้อย ต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 922/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินก่อนมีกฎหมายใหม่ ไม่มีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมาย จึงไม่ความผิดทางอาญา
เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทางอาญา ก็ต้องให้ได้ความว่ามีเจตนาบังอาจหรือจงใจฝ่าฝืน มาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน จึงจะลงโทษตาม มาตรา 108 ได้
ที่ดินพิพาทได้ซื้อขายกันมาหลายทอดจนถึงจำเลย และจำเลยได้เข้ายึดถือครอบครองอยู่ก่อนที่ประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติว่าเป็นความผิด ทั้งจำเลยเคยได้แจ้งการครอบครองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้แล้วด้วย ย่อมลงโทษจำเลยในทางอาญาไม่ได้
ที่ดินพิพาทได้ซื้อขายกันมาหลายทอดจนถึงจำเลย และจำเลยได้เข้ายึดถือครอบครองอยู่ก่อนที่ประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติว่าเป็นความผิด ทั้งจำเลยเคยได้แจ้งการครอบครองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้แล้วด้วย ย่อมลงโทษจำเลยในทางอาญาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 922/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฝ่าฝืนกฎหมายที่ดินเป็นสำคัญในการลงโทษทางอาญา การครอบครองก่อนมีกฎหมายไม่ผิด
เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทางอาญา ก็ต้องให้ได้ความว่ามีเจตนาบังอาจหรือจงใจฝ่าฝืนมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน จึงจะลงโทษตาม มาตรา 108 ได้
ที่ดินพิพาทได้ซื้อขายกันมาหลายทอดจนถึงจำเลย และจำเลยได้เข้ายึดถือครอบครองอยู่ก่อนที่ประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติว่าเป็นความผิด ทั้งจำเลยเคยได้แจ้งการครอบครองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้แล้วด้วย ย่อมลงโทษจำเลยในทางอาญาไม่ได้
ที่ดินพิพาทได้ซื้อขายกันมาหลายทอดจนถึงจำเลย และจำเลยได้เข้ายึดถือครอบครองอยู่ก่อนที่ประมวลกฎหมายที่ดินบัญญัติว่าเป็นความผิด ทั้งจำเลยเคยได้แจ้งการครอบครองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้แล้วด้วย ย่อมลงโทษจำเลยในทางอาญาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 668/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสาร: เลือกใช้บทลงโทษที่เหมาะสมตามประมวลกฎหมายอาญา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 306(4)กฎหมายลักษณะอาญาซึ่งเป็นความผิดฐานฉ้อโกง โดยใช้อุบายพิเศษ แต่ประมวลกฎหมายอาญา ได้ยกเลิกการใช้อุบายพิเศษในลักษณะเช่นนี้แล้ว ศาลจะลงโทษตาม มาตรา 306(4) ไม่ได้ และจะใช้มาตรา 304 เป็นบทลงโทษก็ไม่ได้ เพราะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มีโทษเบากว่า ต้องใช้มาตรา341 เป็นบทลงโทษ
หนังสือมอบอำนาจให้จัดการอย่างใดอย่างหนึ่งแทนเจ้าของที่ดินนั้น เป็นเอกสารที่บุคคลธรรมดาทำขึ้น จึงมิใช่เป็นหนังสือราชการหรือหนังสือซึ่งเป็นสำคัญแก่การตั้งกรรมสิทธิ์หรือเป็นหลักฐานแห่งการเปลี่ยนแก้หรือเลิกล้างโอนกรรมสิทธิ์แต่อย่างใด
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 มีอัตราโทษเบากว่ากฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 223
หนังสือมอบอำนาจให้จัดการอย่างใดอย่างหนึ่งแทนเจ้าของที่ดินนั้น เป็นเอกสารที่บุคคลธรรมดาทำขึ้น จึงมิใช่เป็นหนังสือราชการหรือหนังสือซึ่งเป็นสำคัญแก่การตั้งกรรมสิทธิ์หรือเป็นหลักฐานแห่งการเปลี่ยนแก้หรือเลิกล้างโอนกรรมสิทธิ์แต่อย่างใด
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 มีอัตราโทษเบากว่ากฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 223
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 668/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในคดีฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสาร ศาลฎีกาพิจารณาบทลงโทษที่เหมาะสมตามประมวลกฎหมายอาญา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 306 (4) กฎหมายลักษณะอาญา ซึ่งเป็นความผิดฐานฉ้อโกง โดยใช้อุบายพิเศษ แต่ประมวลกฎหมายอาญา ได้ยกเลิกการใช้อุบายพิเศษในลักษณะเช่นนี้แล้ว ศาลจะลงโทษตาม มาตรา 306(4) ไม่ได้ และจะใช้ มาตรา 304 เป็นบทลงโทษก็ไม่ได้ เพราะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มีโทษเบากว่า ต้องใช้มาตรา 341 เป็นบทลงโทษ
หนังสือมอบอำนาจให้จัดการอย่างใดอย่างหนึ่งแทนเจ้าของที่ดินนั้น เป็นเอกสารที่บุคคลธรรมดาทำขึ้น จึงมิใช่เป็นหนังสือราชการหรือหนังสือซึ่งเป็นสำคัญแก่การตั้งกรรมสิทธิ์หรือเป็นหลักฐานแห่งการเปลี่ยนแก้หรือเลิกล้างโอนกรรมสิทธิแต่อย่างใด
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 มีอัตราโทษเบากว่ากฎหมายลักษณะ อาญา มาตรา 223
หนังสือมอบอำนาจให้จัดการอย่างใดอย่างหนึ่งแทนเจ้าของที่ดินนั้น เป็นเอกสารที่บุคคลธรรมดาทำขึ้น จึงมิใช่เป็นหนังสือราชการหรือหนังสือซึ่งเป็นสำคัญแก่การตั้งกรรมสิทธิ์หรือเป็นหลักฐานแห่งการเปลี่ยนแก้หรือเลิกล้างโอนกรรมสิทธิแต่อย่างใด
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 มีอัตราโทษเบากว่ากฎหมายลักษณะ อาญา มาตรา 223
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 54/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงโทษกักกันหลังคดีอาญาถึงที่สุด โดยอาศัยบทบัญญัติกฎหมายที่บัญญัติขึ้นใหม่ที่เป็นคุณแก่จำเลย
การที่จะรื้อฟื้นเอาคำพิพากษาในคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว มาเปลี่ยนแปลงได้ จะต้องอาศัยอำนาจตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 วรรค 2 และมาตรา 3
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 12 ถึง 16 ได้บัญญัติเรื่องวิธีการเพื่อความปลอดภัยไว้และได้มี ม.41 บัญญัติถึงเงื่อนไขในการที่จะกักกันไว้ด้วย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงไปจากที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.กักกันฯ พ.ศ.2479 ม.8,9 ต้องนำบทบัญญัติม.41 แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่บัญญัติภายหลังเป็นคุณแก่จำเลยมาใช้บังคับ
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 12 ถึง 16 ได้บัญญัติเรื่องวิธีการเพื่อความปลอดภัยไว้และได้มี ม.41 บัญญัติถึงเงื่อนไขในการที่จะกักกันไว้ด้วย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงไปจากที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.กักกันฯ พ.ศ.2479 ม.8,9 ต้องนำบทบัญญัติม.41 แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่บัญญัติภายหลังเป็นคุณแก่จำเลยมาใช้บังคับ