คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 237

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 109 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 950/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ซื้อขายที่ดินโดยมีเจตนาไม่จดทะเบียน: สัญญาเป็นโมฆะ แม้มีสัญญาจะซื้อจะขาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำเลยตกลงซื้อขายที่ดินพิพาทกัน แต่ได้ทำนิติกรรมจำนองอำพรางไว้ เมื่อโจทก์อุทธรณ์ จำเลยมิได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงในเรื่องการซื้อขายที่ดินพิพาทจึงต้องถือเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
การซื้อขายที่ดินต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีว่าตั้งใจจะทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กันในภายหลังหรือไม่ หากไม่มีเจตนาดังกล่าวก็เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด สัญญาตกเป็นโมฆะ หากมีเจตนาดังกล่าว ก็เป็นสัญญาจะซื้อขายการชำระราคาและส่งมอบที่ดินให้แก่กัน ก็ถือเป็นการชำระหนี้บางส่วนซึ่งจะบังคับตามสัญญาซื้อขายได้ เมื่อโจทก์จำเลยมีเจตนาชัดแจ้งที่จะไม่นำการซื้อขายที่ดินพิพาทไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ในภายหลังอีก แต่โจทก์จะโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นต่อไปโดยอาศัยใบมอบอำนาจของจำเลยจึงเป็นการซื้อขายเด็ดขาด เมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2382/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการฎีกาจำกัดเฉพาะประเด็นค่าเสียหาย ศาลฎีกาไม่รับฟังเหตุแก้ฎีกาเรื่องความรับผิด
โจทก์เป็นฝ่ายฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์เพียง 40,000 บาท ว่าโจทก์ควรได้รับค่าเสียหาย 60,000 บาท ประเด็นในชั้นฎีกาจึงมีว่า ค่าเสียหายที่กำหนดให้ 40,000 บาท ควรเป็น 60,000 บาท หรือไม่เท่านั้นจำเลยจะแก้ฎีกาว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดเสียค่าเสียหายให้แก่โจทก์เลยโดยจำเลยมิได้เป็นฝ่ายฎีกาหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 924/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาเรื่องค่าเสียหายในคำแก้ฎีกา: ศาลฎีกาไม่รับคำขอใหม่หากไม่ได้ฎีกาคัดค้าน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องห้ามผู้คัดค้านเกี่ยวข้อง และเนื่องจากระหว่างพิจารณาคู่ความตกลงในเรื่องค่าเสียหายเพราะขาดผลประโยชน์จากการทำนาของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเงินปีละ 5,400 บาท จึงให้ผู้คัดค้านใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ร้องปีละ 5,400 บาทดังที่ตกลงกันศาลอุทธรณ์แก้เป็นว่า ให้ที่พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเท่านั้น ส่วนนอกนั้นผู้ร้องมิได้มีคำขอไว้ศาลชั้นต้นไปพิพากษาให้จึงไม่ชอบ
ผู้ร้องมิได้ฎีกา จะขอมาในคำแก้ฎีกาให้ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ตนได้ค่าเสียหายปีละ 5,400บาทหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2921/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้จากการไถ่ถอนจำนองและการคิดดอกเบี้ย ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์เรื่องดอกเบี้ยตามสัญญา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจำเลยเป็นฝ่ายฎีกา โจทก์มิได้ฎีกาแต่กล่าวมาในคำแก้ฎีกาว่าโจทก์มีสิทธิได้ดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี ศาลฎีกาจะพิพากษาเพิ่มดอกเบี้ยให้โจทก์หาได้ไม่ เพราะไม่มีคำขอและคำฟ้องฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1107/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาประเด็นใหม่ที่ไม่เคยยกขึ้นในศาลชั้นต้น และการเปลี่ยนแปลงคำขอในคำแก้ฎีกา
จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2517 มีสิทธิที่จะเช่านาพิพาทจนครบ6 ปี แต่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้แต่ศาลชั้นต้นจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 แม้ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควรที่จะยกขึ้นวินิจฉัย ก็ไม่ยกขึ้นวินิจฉัยให้
โจทก์มิได้ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ได้รับค่าเสียหายเต็มตามฟ้อง แม้จะได้ขอเช่นนั้นมาในคำแก้ฎีกา ศาลฎีกาก็พิพากษาเพิ่มค่าเสียหายขึ้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2573/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายเลือดและการรับผิดชอบในบุตรจากกรณีข่มขืนกระทำชำเรา และการเรียกร้องค่าเสียหาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราจนเป็นเหตุให้โจทก์ตั้งครรภ์และคลอดบุตรคือเด็กชาย บ. ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายและรับเด็กชาย บ.เป็นบุตรรพร้อมทั้งให้มีสิทธิใช้นามสกุลของจำเลยกับเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรด้วยนั้น แม้บิดาโจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราโจกท์และศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องเพราะบิดาโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โดยมิได้พิพากษาว่าจำเลยมิได้ข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ ย่อมไม่ทำให้หลักฐานของคดีโจทก์ในเรื่องนี้เสียไป
เมื่อฟังได้ว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราโจทก์จนเป็นเหตุให้โจทก์ตั้งครรภ์ถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราจนตั้งครรภ์ ทำให้ค่าของความเป็นสาวต้องตกต่ำ และค่าใช้จ่ายในการคลอด กับแสดงว่าเด็กชาย บ. เป็นบุตรของจำเลยมีสิทธิใช้นามสกุลของจำเลยให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชาย บ.ตั้งแต่คลอดจนถึงวันฟ้องและจ่ายต่อไปเป็นรายเดือนจนกว่าเด็กชาย บ.จะมีอายุครบ 20 ปี
จำเลยให้การต่อสู้ว่า ค่าเสียหายตามฟ้องเกี่ยวกับละเมิดขาดอายุความเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ จำเลยมิได้ตั้งประเด็นเรื่องอายุความมาในคำแก้อุทธรณ์ และเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกาต่อมา จำเลยก็มิได้ยื่นคำแก้ฎีกาจึงไม่ประเด็นเครื่องอายุความในชั้นฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2061/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นายจ้างต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างในความผิดละเมิด หากศาลยังไม่ได้ยุติว่าลูกจ้างเป็นฝ่ายประมาท
ในคดีอาญาศาลพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส คดีถึงที่สุดคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2, ที่ 3 ซึ่งมิได้ถูกฟ้องคดีอาญานั้นด้วย (อ้างฎีกาที่338/2516) จำเลยที่ 2 ที่ 3 ยังอาจยกข้อต่อสู้และนำสืบในคดีแพ่งได้ว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายทำละเมิดต่อโจทก์หากแต่โจทก์ที่ 2 เป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทเอง หาได้ถูกกฎหมายปิดปากมิให้นำสืบโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นดังคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ไม่การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็เพราะศาลชั้นต้นมิได้บังคับให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ว่าโจทก์ที่ 2 เป็นฝ่ายประมาทแต่ฝ่ายเดียว คำแก้อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงเป็นการตั้งประเด็นในชั้นอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 มิใช่เป็นฝ่ายทำละเมิด ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 โดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 ในเมื่อคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 2 ที่ 3 ข้อเท็จจริงยังไม่ยุติว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์หาได้ไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะฟังข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าโจทก์ที่ 2 หรือจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทขับรถยนต์โดยประมาทเสียก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2061/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นายจ้างไม่ต้องรับผิดร่วมในละเมิดของลูกจ้าง หากข้อเท็จจริงยังไม่ยุติว่าลูกจ้างเป็นฝ่ายประมาท
ในคดีอาญา ศาลพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส คดีถึงที่สุดคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2, ที่ 3 ซึ่งมิได้ถูกฟ้องคดีอาญานั้นด้วย (อ้างฎีกาที่338/2516) จำเลยที่ 2 ที่ 3 ยังอาจยกข้อต่อสู้และนำสืบในคดีแพ่งได้ว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายทำละเมิดต่อโจทก์ หากแต่โจทก์ที่ 2 เป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทเอง หาได้ถูกกฎหมายปิดปากมิให้นำสืบโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นดังคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ไม่การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็เพราะศาลชั้นต้นมิได้บังคับให้จำเลยที่ 2 ที่ 3ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3ก็ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ว่าโจทก์ที่ 2 เป็นฝ่ายประมาทแต่ฝ่ายเดียว คำแก้อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงเป็นการตั้งประเด็นในชั้นอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 มิใช่เป็นฝ่ายทำละเมิด ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 โดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 ในเมื่อคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 2 ที่ 3 ข้อเท็จจริงยังไม่ยุติว่าจำเลยที่1 เป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์หาได้ไม่ ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะฟังข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าโจทก์ที่ 2หรือจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทขับรถยนต์โดยประมาทเสียก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 666/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายทรัพย์สินโดยไม่สุจริตและผลกระทบต่อสิทธิในทรัพย์สิน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ซื้อสินค้าพิพาทโดยสุจริต แต่ไม่ได้ซื้อจากท้องตลาดหรือพ่อค้าที่ขายของชนิดนั้น จึงไม่ได้รับความคุ้มครองพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ เมื่อศาลพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์จำเลยจึงไม่จำเป็นต้องอุทธรณ์ว่า โจทก์ซื้อสินค้ามาโดยสุจริตหรือไม่เพราะจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีอยู่แล้ว แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์ในประเด็นข้ออื่นจำเลยก็ได้กล่าวคำแก้อุทธรณ์ถึงประเด็นข้อนี้ด้วยว่า โจทก์ซื้อสินค้าพิพาทมาโดยไม่สุจริต คดีจึงมีประเด็นตามคำแก้อุทธรณ์ของจำเลย ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้ ประเด็นข้อนี้หาได้ยุติไปแล้วไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 666/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายทรัพย์สินที่ได้มาจากการฉ้อโกง: สิทธิในการติดตามเอาทรัพย์คืน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ซื้อสินค้าพิพาทโดยสุจริต แต่ไม่ได้ซื้อจากท้องตลาดหรือพ่อค้าที่ขายของชนิดนั้น จึงไม่ได้รับความคุ้มครอง พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ เมื่อศาลพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ จำเลยจึงไม่จำเป็นต้องอุทธรณ์ว่า โจทก์ซื้อสินค้ามาโดยสุจริตหรือไม่ เพราะจำเลยเป็นฝ่ายชนะคดีอยู่แล้ว แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์ในประเด็นข้ออื่นจำเลยก็ได้กล่าวคำแก้อุทธรณ์ถึงประเด็นข้อนี้ด้วยว่า โจทก์ซื้อสินค้าพิพาทมาโดยไม่สุจริต คดีจึงมีประเด็นตามคำแก้อุทธรณ์ของจำเลย ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้ ประเด็นข้อนี้หาได้ยุติไปแล้วไม่
of 11