พบผลลัพธ์ทั้งหมด 604 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3854/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงค่าทนาย: สิทธิของทั้งสองฝ่ายในการกำหนดอัตราค่าจ้าง และการชำระตามตกลง
จำเลยทั้งสองแต่งตั้งให้โจทก์เป็นทนายความฟ้องเรียกโฉนดที่ดินคืนจากธนาคารโดยตกลงกันว่าเมื่อคดีเสร็จแล้วจำเลยทั้งสองจะชำระค่าทนายให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเงินโดยประมาณไม่เกินร้อยละ 20 ของราคาที่ดินแต่ละแปลง จึงเป็นการให้สิทธิแก่ทั้งสองฝ่ายที่จะกำหนดจำนวนเงินค่าจ้างว่าความและเป็นสิทธิของจำเลยทั้งสองที่จะชำระให้ไม่เกินร้อยละ 20 ของราคาที่ดินแต่ละแปลงข้อตกลงดังกล่าวมิได้ให้สิทธิแก่โจทก์ฝ่ายเดียวที่จะเรียกเอาค่าจ้างจากจำเลยทั้งสองในอัตราประมาณไม่เกินร้อยละ 20 แต่ประการใด เมื่อคดีเสร็จและจำเลยทั้งสองได้ชำระค่าจ้างว่าความในอัตราดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้ว ย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสองชำระค่าจ้างว่าความให้โจทก์ตามข้อตกลงดังกล่าวแล้ว โจทก์จะฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความจากจำเลยทั้งสองในอัตราร้อยละ 20 ของราคาที่ดินโดยจำเลยไม่ตกลงด้วยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3846/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการจ้างทำของสะดุดหยุดเมื่อลูกหนี้รับสภาพหนี้ แม้จะเกิน 2 ปี แต่คดีไม่ขาดอายุความ
จำเลยจ้างให้โจทก์ก่อสร้างอาคาร ฐานแท่นหม้อแปลง รางเคเบิ้ล ถนนภายในและรั้ว เป็นการจ้างทำของ ผู้รับจ้างย่อมเรียกร้องเอาสินจ้างจากผู้ว่าจ้างได้เมื่อผู้ว่าจ้างรับมอบการที่ทำ อายุความที่ผู้รับจ้างจะเรียกร้องเอาสินจ้างจากผู้ว่าจ้างจึงเริ่มนับแต่นี้เป็นต้นไปมีกำหนดเวลา 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (7)
จำเลยผู้ว่าจ้างมีหนังสือถึงโจทก์ผู้รับจ้างเท้าความถึงหนังสือของโจทก์ที่ขอความเป็นธรรมในการต่ออายุสัญญาเพิ่มเติมและเรียกร้องเกี่ยวกับการหักเงินซึ่งจำเลยพิจารณาแล้วเห็นควรเพิ่มเวลาการต่ออายุสัญญาให้ ส่วนเงินค่าจ้างจำเลยเห็นว่าโจทก์มีสิทธิได้รับเป็นจำนวนตามที่จำเลยคำนวณได้ ขอให้โจทก์มีหนังสือยืนยันขอรับเงินตามที่จำเลยคำนวณได้ให้จำเลยไว้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินการให้โจทก์ต่อไป อันเป็นการโต้เถียงในเรื่องจำนวนเงินที่จำเลยจะพึงจ่ายให้โจทก์ที่โจทก์จำเลยมีความเห็นไม่ตรงกัน หนังสือของจำเลยดังกล่าวฟังได้โดยปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่าจำเลยยอมรับต่อโจทก์ว่าจำเลยยังมิได้จ่ายเงินค่าจ้างบางส่วนตามสัญญาจ้างที่โจทก์เรียกร้อง และยอมรับใช้เงินบางส่วนนั้นให้โจทก์ เป็นการยอมรับสภาพต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องอายุความเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของโจทก์ย่อมสะดุดหยุดลงเมื่อนับตั้งแต่จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ถึงวันที่โจทก์นำคดีมาฟ้องยังไม่เกินกำหนด 2 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
กรณีจำเลยให้การต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ และศาลชั้นต้นได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้แล้ว ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าจำเลยรับสภาพหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง และคดีไม่ขาดอายุความ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
จำเลยผู้ว่าจ้างมีหนังสือถึงโจทก์ผู้รับจ้างเท้าความถึงหนังสือของโจทก์ที่ขอความเป็นธรรมในการต่ออายุสัญญาเพิ่มเติมและเรียกร้องเกี่ยวกับการหักเงินซึ่งจำเลยพิจารณาแล้วเห็นควรเพิ่มเวลาการต่ออายุสัญญาให้ ส่วนเงินค่าจ้างจำเลยเห็นว่าโจทก์มีสิทธิได้รับเป็นจำนวนตามที่จำเลยคำนวณได้ ขอให้โจทก์มีหนังสือยืนยันขอรับเงินตามที่จำเลยคำนวณได้ให้จำเลยไว้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินการให้โจทก์ต่อไป อันเป็นการโต้เถียงในเรื่องจำนวนเงินที่จำเลยจะพึงจ่ายให้โจทก์ที่โจทก์จำเลยมีความเห็นไม่ตรงกัน หนังสือของจำเลยดังกล่าวฟังได้โดยปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่าจำเลยยอมรับต่อโจทก์ว่าจำเลยยังมิได้จ่ายเงินค่าจ้างบางส่วนตามสัญญาจ้างที่โจทก์เรียกร้อง และยอมรับใช้เงินบางส่วนนั้นให้โจทก์ เป็นการยอมรับสภาพต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องอายุความเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของโจทก์ย่อมสะดุดหยุดลงเมื่อนับตั้งแต่จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ถึงวันที่โจทก์นำคดีมาฟ้องยังไม่เกินกำหนด 2 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
กรณีจำเลยให้การต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ และศาลชั้นต้นได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้แล้ว ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าจำเลยรับสภาพหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง และคดีไม่ขาดอายุความ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3846/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการจ้างทำของสะดุดหยุดเมื่อลูกหนี้รับสภาพหนี้ แม้เกิน 2 ปี
จำเลยจ้างให้โจทก์ก่อสร้างอาคาร ฐานแทนหม้อแปลงรางเคเบิ้ล ถนนภายใน และรั้ว เป็นการจ้างทำของ ผู้รับจ้างย่อมเรียกร้องเอาสินจ้างจากผู้ว่าจ้างได้เมื่อผู้ว่าจ้างรับมอบการที่ทำ อายุความที่ผู้รับจ้างจะเรียกร้องเอาสินจ้างจากผู้ว่าจ้างจึงเริ่มนับแต่นี้เป็นต้นไปมีกำหนดเวลา 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(7) จำเลยผู้ว่าจ้างมีหนังสือถึงโจทก์ผู้รับจ้างเท้าความถึงหนังสือของโจทก์ที่ขอความเป็นธรรมในการต่ออายุสัญญาเพิ่มเติมและเรียกร้องเกี่ยวกับการหักเงินซึ่งจำเลยพิจารณาแล้วเห็นควรเพิ่มเวลาการต่ออายุสัญญาให้ ส่วนเงินค่าจ้างจำเลยเห็นว่าโจทก์มีสิทธิได้รับเป็นจำนวนตามที่จำเลยกำหนดได้ขอให้โจทก์มีหนังสือยืนยันของรับเงินตามที่จำเลยคำนวณได้ให้จำเลยไว้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินการให้โจทก์ต่อไปอันเป็นการโตแย้งในเรื่องจำนวนเงินที่จำเลยจะพึงจ่ายให้โจทก์ที่โจทก์จำเลยมีความเห็นไม่ตรงกัน หนังสือของจำเลยดังกล่าวฟังได้โดยปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่าจำเลยยอมรับต่อโจทก์ว่า จำเลยยังมิได้จ่ายเงินค่าจ้างบางส่วนตามสัญญาจ้างที่โจทก์เรียกร้อง และยอมรับใช้เงินบางส่วนนั้นให้โจทก์ เป็นการยอมรับสภาพต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง อายุความเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของโจทก์ย่อมสะดุดหยุดลงเมื่อนับตั้งแต่จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ถึงวันที่โจทก์นำคดีมาฟ้องยังไม่เกินกำหนด 2 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ กรณีจำเลยให้การต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ และศาลชั้นต้นได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้แล้ว ศาลย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าจำเลยรับสภาพหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง และคดีไม่ขาดอายุความ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3768/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีก่อสร้าง: การลดค่าปรับ, ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน, และขอบเขตความรับผิดจำกัด
สัญญามีข้อความว่า ผู้รับจ้างยินยอมให้บรรดาสิ่งก่อสร้างที่ผู้รับจ้างได้กระทำขึ้น รวมทั้งสัมภาระอุปกรณ์การก่อสร้างที่ได้ทำไว้ ณ สถานที่ก่อสร้าง โดยเฉพาะเพื่อการก่อสร้าง.... ให้กรรมสิทธิ์ตกเป็นของผู้ว่าจ้างทั้งสิ้น นั้น ทรัพย์สินที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมควบคุมโรคติดต่อ ผู้ว่าจ้างก็เฉพาะวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างที่จะใช้ในการก่อสร้างอาคารตามสัญญา และที่ได้ก่อสร้างเป็นส่วนของอาคารตามสัญญาไปแล้วเท่านั้น มิได้หมายความรวมถึงเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำการก่อสร้างด้วย
ข้อสัญญาที่ว่า ในกรณีที่ผู้รับจ้างผิดสัญญาไม่ทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนด กรณีจะเป็นเรื่องผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาหรือให้ผู้รับจ้างทำการก่อสร้างล่วงเวลาไป ผู้รับจ้างยินยอมรับผิดต่อผู้ว่าจ้างในสิ่งก่อสร้างและสัมภาระอุปกรณ์ในการก่อสร้างของผู้รับจ้างคงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ว่าจ้างโดยไม่ต้องใช้ราคาแก่ผู้รับจ้าง ข้อตกลงนี้มีลักษณะเป็นการที่ผู้รับจ้างให้สัญญาว่าจะชำระหนี้อย่างอื่นที่มิใช่จำนวนเงินให้เป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 382 แก่กรมควบคุมโรคติดต่อผู้ว่าจ้าง ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ทางได้เสียของกรมควบคุมโรคติดต่อ กับสภาพหรือผลงานและพฤติการณ์ที่บริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด ผู้รับจ้างปฏิบัติมาแล้ว เห็นว่า เบี้ยปรับส่วนนี้เป็นเงินพอสมควรแล้วกรมควบคุมโรคติดต่อจึงมีสิทธิรับผลงานไว้โดยไม่ต้องชดใช้ราคา
หนังสือสัญญาค้ำประกันระบุว่า "ข้าพเจ้ายอมรับรู้และยินยอมด้วยในกรณีที่กรมควบคุมโรคติดต่อได้ยินยอมให้ผัดหรือผ่อนเวลาหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาให้แก่บริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด โดยเพียงแต่กรมควบคุมโรคติดต่อแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบโดยไม่ชักช้าเท่านั้น" เช่นนี้เป็นการที่ธนาคารผู้ค้ำประกันยินยอมด้วยล่วงหน้าในการผ่อนผันเวลาหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาในการก่อสร้างเมื่อกรมควบคุมโรคติดต่อได้ผ่อนผันเวลาหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาในการก่อสร้างจึงไม่เข้าข่ายที่ธนาคารจะหลุดพ้นความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 แม้สัญญาตอนท้ายจะมีข้อความว่ากรมควบคุมโรคติดต่อต้องแจ้งให้ธนาคารทราบโดยไม่ชักช้า ข้อความดังกล่าวมิใช่สาระสำคัญอันเป็นเงื่อนไขว่าถ้าไม่ได้แจ้งจะทำให้ข้อความตอนต้นไม่เป็นผล เพราะข้อความตอนต้นเป็นการแสดงเจตนาของธนาคารที่มีผลเป็นการยินยอมด้วยในการผ่อนผันเวลาหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาแล้ว มิใช่ข้อสัญญาว่าจะปฏิบัติการชำระหนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง หากเป็นเพียงคำขอร้องหรือเสนอแนะเท่านั้น ฉะนั้น แม้กรมควบคุมโรคติดต่อจะไม่ได้แจ้งธนาคาร ธนาคารก็ไม่หลุดพ้นความรับผิด
สัญญาค้ำประกันมีข้อความว่า ข้าพเจ้ายอมผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันบริษัท จ. ต่อกรมควบคุมโรคติดต่อ เป็นเงิน 1,122,868.80 บาท ข้อสัญญานี้เป็นการผูกพันรับผิดเป็นจำนวนจำกัดแน่นอน ถ้าบริษัท จ. ต้องรับผิดต่อกรมควบคุมโรคติดต่อไม่ถึง 1,122,867.80 บาท ธนาคารผู้ค้ำประกันก็ย่อมผูกพันรับผิดตามจำนวนที่บริษัท จ. ต้องรับผิดนั้น แต่ถ้าบริษัท จ. ต้องรับผิดเกิน 1,122,867.80 บาท ธนาคารก็รับผิดไม่เกินจำนวนเงินที่จำกัดไว้แล้ว ฉะนั้น เมื่อบริษัท จ. จะต้องรับผิดชอใช้ค่าเสียหายแก่กรมควบคุมโรคติดต่อเป็นเงิน 4,700,654 บาท ธนาคารจึงต้องรับผิดด้วยเป็นเงิน 1,122,867.80 บาท
ข้อสัญญาที่ว่า ในกรณีที่ผู้รับจ้างผิดสัญญาไม่ทำงานให้แล้วเสร็จภายในกำหนด กรณีจะเป็นเรื่องผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาหรือให้ผู้รับจ้างทำการก่อสร้างล่วงเวลาไป ผู้รับจ้างยินยอมรับผิดต่อผู้ว่าจ้างในสิ่งก่อสร้างและสัมภาระอุปกรณ์ในการก่อสร้างของผู้รับจ้างคงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ว่าจ้างโดยไม่ต้องใช้ราคาแก่ผู้รับจ้าง ข้อตกลงนี้มีลักษณะเป็นการที่ผู้รับจ้างให้สัญญาว่าจะชำระหนี้อย่างอื่นที่มิใช่จำนวนเงินให้เป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 382 แก่กรมควบคุมโรคติดต่อผู้ว่าจ้าง ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ทางได้เสียของกรมควบคุมโรคติดต่อ กับสภาพหรือผลงานและพฤติการณ์ที่บริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด ผู้รับจ้างปฏิบัติมาแล้ว เห็นว่า เบี้ยปรับส่วนนี้เป็นเงินพอสมควรแล้วกรมควบคุมโรคติดต่อจึงมีสิทธิรับผลงานไว้โดยไม่ต้องชดใช้ราคา
หนังสือสัญญาค้ำประกันระบุว่า "ข้าพเจ้ายอมรับรู้และยินยอมด้วยในกรณีที่กรมควบคุมโรคติดต่อได้ยินยอมให้ผัดหรือผ่อนเวลาหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาให้แก่บริษัทจันทนิมิตก่อสร้าง จำกัด โดยเพียงแต่กรมควบคุมโรคติดต่อแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบโดยไม่ชักช้าเท่านั้น" เช่นนี้เป็นการที่ธนาคารผู้ค้ำประกันยินยอมด้วยล่วงหน้าในการผ่อนผันเวลาหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาในการก่อสร้างเมื่อกรมควบคุมโรคติดต่อได้ผ่อนผันเวลาหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาในการก่อสร้างจึงไม่เข้าข่ายที่ธนาคารจะหลุดพ้นความรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 900 แม้สัญญาตอนท้ายจะมีข้อความว่ากรมควบคุมโรคติดต่อต้องแจ้งให้ธนาคารทราบโดยไม่ชักช้า ข้อความดังกล่าวมิใช่สาระสำคัญอันเป็นเงื่อนไขว่าถ้าไม่ได้แจ้งจะทำให้ข้อความตอนต้นไม่เป็นผล เพราะข้อความตอนต้นเป็นการแสดงเจตนาของธนาคารที่มีผลเป็นการยินยอมด้วยในการผ่อนผันเวลาหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามสัญญาแล้ว มิใช่ข้อสัญญาว่าจะปฏิบัติการชำระหนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง หากเป็นเพียงคำขอร้องหรือเสนอแนะเท่านั้น ฉะนั้น แม้กรมควบคุมโรคติดต่อจะไม่ได้แจ้งธนาคาร ธนาคารก็ไม่หลุดพ้นความรับผิด
สัญญาค้ำประกันมีข้อความว่า ข้าพเจ้ายอมผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันบริษัท จ. ต่อกรมควบคุมโรคติดต่อ เป็นเงิน 1,122,868.80 บาท ข้อสัญญานี้เป็นการผูกพันรับผิดเป็นจำนวนจำกัดแน่นอน ถ้าบริษัท จ. ต้องรับผิดต่อกรมควบคุมโรคติดต่อไม่ถึง 1,122,867.80 บาท ธนาคารผู้ค้ำประกันก็ย่อมผูกพันรับผิดตามจำนวนที่บริษัท จ. ต้องรับผิดนั้น แต่ถ้าบริษัท จ. ต้องรับผิดเกิน 1,122,867.80 บาท ธนาคารก็รับผิดไม่เกินจำนวนเงินที่จำกัดไว้แล้ว ฉะนั้น เมื่อบริษัท จ. จะต้องรับผิดชอใช้ค่าเสียหายแก่กรมควบคุมโรคติดต่อเป็นเงิน 4,700,654 บาท ธนาคารจึงต้องรับผิดด้วยเป็นเงิน 1,122,867.80 บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3242/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายตามสัญญาเลิกจ้าง ไม่ใช่เบี้ยปรับ เพราะตกลงหลังผิดสัญญา
โจทก์ว่าจ้างจำเลยติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เมื่อสัญญาครบกำหนดแล้ว จำเลยยังไม่ได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ต่อมาจำเลยทำบันทึกยอมรับว่าจำเลยไม่สามารถดำเนินการติดตั้งเครื่องปรับอากาศตามสัญญา จำเลยขอเลิกสัญญาและยอมใช้ค่าเสียหายตามสัญญาให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย สำหรับค่าเสียหายนั้นเป็นค่าเสียหายที่จำเลยตกลงชำระตามบันทึกขอเลิกสัญญาดังกล่าว จึงไม่ใช่เบี้ยปรับเพราะมิได้เป็นค่าเสียหายที่คู่ความตกลงกันไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะมีการไม่ชำระหนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3242/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายตามสัญญาเลิกจ้าง ไม่ใช่เบี้ยปรับ: ศาลตัดสินตามข้อตกลงหลังสัญญาค้าง
โจทก์ว่าจ้างจำเลยติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เมื่อสัญญาครบกำหนดแล้ว จำเลยยังไม่ได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ต่อมาจำเลยทำบันทึกยอมรับว่าจำเลยไม่สามารถดำเนินการติดตั้งเครื่องปรับอากาศตามสัญญา จำเลยขอเลิกสัญญาและยอมใช้ค่าเสียหายตามสัญญาให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย สำหรับค่าเสียหายนั้นเป็นค่าเสียหายที่จำเลยตกลงชำระตามบันทึกขอเลิกสัญญาดังกล่าว จึงไม่ใช่เบี้ยปรับเพราะมิได้เป็นค่าเสียหายที่คู่ความตกลงกันไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะมีการไม่ชำระหนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3037/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขาดอายุความ - การไม่แสดงสภาพแห่งข้อหาและหลักฐานสนับสนุน
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะทายาทของ จ. ผู้ตายซึ่งเป็นคู่สัญญาจ้างทำของกับโจทก์ โดยทำสัญญากันตั้งแต่วันที่17 มีนาคม 2525 โจทก์บรรยายฟ้องว่า ผู้ตายผิดสัญญาทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยมาทำงานและตกลงค่าเสียหายกับโจทก์ จำเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2529 โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยนำค่าเสียหายมาชำระ จำเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2529 แต่จำเลยไม่ชำระ โดยโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องเลยว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อใด โจทก์รู้ถึงการตายของผู้ตายเมื่อใด จึงเป็นเหตุให้จำเลยไม่ทราบข้ออ้างของโจทก์ และไม่อาจให้การได้โดยชัดแจ้งว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะเหตุใด ถือว่าโจทก์มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3037/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขาดอายุความ - การไม่แจ้งวันตายของผู้ตายทำให้จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างชัดเจน ฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะทายาทของ จ. ผู้ตายซึ่งเป็นคู่สัญญาจ้างทำของกับโจทก์ โดยทำสัญญากันตั้งแต่วันที่17 มีนาคม 2525 โจทก์บรรยายฟ้องว่า ผู้ตายผิดสัญญาทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยมาทำงานและตกลงค่าเสียหายกับโจทก์ จำเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2529 โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยนำค่าเสียหายมาชำระ จำเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2529 แต่จำเลยไม่ชำระ โดยโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องเลยว่า ผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อใด โจทก์รู้ถึงการตายของผู้ตายเมื่อใด จึงเป็นเหตุให้จำเลยไม่ทราบข้ออ้างของโจทก์ และไม่อาจให้การได้โดยชัดแจ้งว่าคดีโจทก์ขาดอายุความเพราะเหตุใด ถือว่าโจทก์มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2535/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนเชิด: แม้ไม่มีมอบอำนาจเป็นหนังสือ หากมีการเชิดให้ผู้อื่นทำสัญญา ก็ถือเป็นตัวแทนและก่อให้เกิดความผูกพันตามสัญญา
จำเลยที่ 4 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และเป็นน้องชายของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4ว่าจ้างโจทก์ทำถังเหล็กเก็บน้ำเพื่อไปติดตั้งที่โรงเรียนตามสัญญาซึ่งจำเลยที่ 1 ได้รับจ้างมาจากกรมสามัญศึกษา จำเลยที่ 1 ย่อมได้รับประโยชน์จากสัญญาที่จำเลยที่ 4 ทำกับโจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 4 เป็นตัวแทน พฤติการณ์ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เชิดจำเลยที่ 4 ออกเป็นตัวแทนของตนเท่ากับจำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ทำงานให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาจ้างดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3838-3853/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลักษณะการจ้างงาน: การจ่ายค่าจ้างตามผลงานไม่ได้ทำให้เป็นสัญญาจ้างทำของ หากมีอำนาจบังคับบัญชา
จำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ตามผลงานแต่จำเลยเป็นผู้มีอำนาจบังคับบัญชาโจทก์ในการทำงาน ดังนี้ นิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับโจทก์จึงเป็นลักษณะการจ้างแรงงานหาใช่จ้างทำของไม่ การที่จำเลยจ่ายค่าตอบแทนการทำงานให้โจทก์ตามผลงานที่ทำได้นั้นค่าตอบแทนดังกล่าวคงเป็นค่าจ้าง ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 2