คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 587

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 604 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3483/2529 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำแนกประเภทสัญญาและการเสียภาษี: กรณีบริการขนส่งไม่ใช่สัญญาเช่า
การที่เจ้าของรถยนต์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารหรือนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตามที่ตกลงกันกับบริษัท่องเที่ยวหรือร้านค้าโดยได้ค่าตอบแทนอาจเกิดจากสัญญาเช่ารถยนต์ สัญญาจ้างหรือสัญญาอื่นก็ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและข้อเท็จจริงที่คู่สัญญาปฏิบัติต่อกัน กรณีที่จะเป็นสัญญาเช่านั้นตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537, 546 และ 552 ต้องปรากฏว่าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ตามความพอใจเท่าที่ไม่ขัดกับสัญญาและประเพณีนิยม ซึ่งในชั่วระยะเวลานั้นคู่สัญญาฝ่ายที่ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์จะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์นั้น
โจทก์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารหรือนักท่องเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ ตามที่ตกลงกันกับบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าโดยได้ค่าตอบแทน แต่โจทก์มิได้มอบการครอบครองรถให้คู่สัญญานำไปใช้ตามลำพัง และคู่สัญญาจะเอารถเลยไปยังสถานที่แห่งอื่นไม่ได้ โจทก์ให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไป มีคนประจำรถของโจทก์ไปด้วย คู่สัญญาของโจทก์ไม่มีอำนาจควบคุมการใช้รถ หรืออาจออกคำสั่งให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไปในเส้นทางใดตามความประสงค์ของตนได้ ดังนี้สัญญาดังกล่าวจึงหาใช่สัญญาเช่า แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ให้บริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าได้ใช้บริการในการขนส่งของโจทก์ โดยโจทก์ได้ค่าตอบแทนมากกว่า
เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์และบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าไม่เป็นสัญญาเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว แม้จะมีการเรียกสัญญานั้นว่าเป็นสัญญาเช่า และเรียกค่าตอบแทนตามสัญญาว่าเป็นค่าเช่า หรือโจทก์ยอมรับกับเจ้าพนักงานประเมินว่าเป็นสัญญาเช่าก็หามีผลให้โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าเพราะประกอบการค้าประเภทการให้เช่าทรัพย์สินแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3483/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่ารถยนต์ vs. บริการขนส่ง: การพิจารณาประเภทสัญญาและภาระภาษี
การที่เจ้าของรถยนต์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารหรือนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆตามที่ตกลงกันกับบริษัท่องเที่ยวหรือร้านค้าโดยได้ค่าตอบแทนอาจเกิดจากสัญญาเช่ารถยนต์สัญญาจ้างหรือสัญญาอื่นก็ได้ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและข้อเท็จจริงที่คู่สัญญาปฏิบัติต่อกันกรณีที่จะเป้นสัญญาเช่านั้นตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา537,546และ552ต้องปรากฏว่าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ตามความพอใจเท่าที่ไม่ขัดกับสัญญาและประเพณีนิยมซึ่งในชั่วระยะเวลานั้นคู่สัญญาฝ่ายที่ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์จะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์นั้น โจทก์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารหรือนักท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆตามที่ตกลงกันกับบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าโดยได้ค่าตอบแทนแต่โจทก์มิได้มอบการครอบครองรถให้คู่สัญญานำไปใช้ตามลำพังและคู่สัญญาจะเอารถเลยไปยังสถานที่แห่งอื่นไม่ได้โจทก์ให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไปมีคนประจำรถของโจทก์ไปด้วยคู่สัญญาของโจทก์ไม่มีอำนาจควบคุมการใช้รถหรืออาจออกคำสั่งให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไปในเส้นทางใดตามความประสงค์ของตนได้ดังนี้สัญญาดังกล่าวจึงหาใช่สัญญาเช่าแต่เป็นเรื่องที่โจทก์ให้บริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าได้ใช้บริการในการขนส่งของโจทก์โดยโจทก์ได้ค่าตอบแทนมากกว่า เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์และบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าไม่เป็นสัญญาเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้วแม้จะมีการเรียกสัญญานั้นว่าเป็นสัญญาเช่าและเรียกค่าตอบแทนตามสัญญาว่าเป็นค่าเช่าหรือโจทก์ยอมรับกับเจ้าพนักงานประเมินว่าเป็นสัญญาเช่าก็หามีผลให้โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าเพราะประกอบการค้าประเภทการให้เช่าทรัพย์สินแต่อย่างใด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3165/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้หลังเลิกสัญญา: การหักกลบหนี้และการคืนเงินล่วงหน้า
การชำระหนี้ของคู่สัญญาอันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา392บัญญัติให้เป็นไปตามมาตรา369ซึ่งบัญญัติว่า'ในสัญญาต่างตอบแทนนั้นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับถ้าหนี้ของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ถึงกำหนด'เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ทำสัญญารับเหมาก่อสร้างทางกับจำเลยโดยจำเลยต้องจ่ายเงินล่วงหน้าร้อยละ10ของค่าจ้างและเงินจำนวนนี้ยอมให้หักคืนร้อยละ15จากงวดที่4ถึงงวดสุดท้ายซึ่งจำเลยได้หักไปแล้วจำนวนหนึ่งเมื่อสัญญาเลิกกันแล้วโอกาสที่จำเลยจะหักเงินคืนจึงไม่มีโจทก์จะต้องคืนเงินที่รับล่วงหน้าไปจากจำเลยที่ยังเหลืออยู่นั้นให้แก่จำเลยส่วนจำเลยก็จะต้องชำระส่วนที่เป็นการงานอันโจทก์ได้กระทำให้แก่จำเลยเมื่อปรากฏว่าโจทก์ยังมิได้คืนเงินจำนวนที่มากกว่าเงินที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินที่ค้างชำระโจทก์อยู่ก่อนเลิกสัญญาได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3091/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การก่อสร้างครบถ้วนตามสัญญา และสิทธิการเรียกคืนเงินประกันความเสียหาย เมื่อระยะเวลานำหลักประกันมาใช้พ้นกำหนด
จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารโรงงานและบ้านพัก ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้ก่อสร้างครบถ้วนตามสัญญาแล้ว โจทก์จึงมิใช่ฝ่ายผิดสัญญา ที่จำเลยฎีกาอ้างว่าปริมาณงานในงวดสุดท้ายยังมีงานที่หลงเหลือมาจากงวดอื่น ๆ รวมทั้งงานเก็บกวาด ทำความสะอาด และบริเวณก่อสร้าง โจทก์จึงยังมิได้ดำเนินการก่อสร้างให้เสร็จครบถ้วนตามสัญญานั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้ เพิ่งหยิบยกข้ออ้างในชั้นฎีกาจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอ้างว่า ตามสัญญาโจทก์จะต้องส่งงานงวดสุดท้าย และจัดหาให้ธนาคารพาณิชย์ค้ำประกันความเสียหายอันเนื่องมาจากการก่อสร้างภายใน 1 ปี นับแต่จำเลยได้รับมอบงาน จำเลยจึงจะคืนเงินประกันให้โจทก์ เมื่อโจทก์ยังไม่จัดหาให้ธนาคารพาณิชย์ค้ำประกันความเสียหาย จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินประกันข้อเท็จจริงปรากฏว่านับแต่โจทก์ได้ส่งมอบงานงวดสุดท้ายให้จำเลยถึงวันฟ้อง เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว ก็ไม่ปรากฏความเสียหายใด ๆ หลังจากการส่งมอบงาน ดังนั้น ความจำเป็นที่โจทก์จะต้องนำธนาคารมาค้ำประกันความเสียหายจึงหมดไป จำเลยจึงไม่อาจยกเป็นเหตุไม่ยอมคืนเงินประกันความเสียหายแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3091/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การก่อสร้างแล้วเสร็จและสิทธิในการเรียกร้องเงินประกัน: ศาลฎีกายืนตามศาลชั้นต้น
จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารโรงงานและบ้านพัก ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้ก่อสร้างครบถ้วนตามสัญญาแล้ว โจทก์จึงมิใช่ฝ่ายผิดสัญญา ที่จำเลยฎีกาอ้างว่าปริมาณงานในงวดสุดท้ายยังมีงานที่หลงเหลือมาจากงวดอื่น ๆ รวมทั้งงานเก็บกวาดทำความสะอาดและบริเวณก่อสร้าง โจทก์จึงยังมิได้ดำเนินการก่อสร้างให้เสร็จครบถ้วนตามสัญญานั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้ เพิ่งหยิบยกข้ออ้างในชั้นฎีกาจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอ้างว่าตามสัญญาโจทก์จะต้องส่งงานงวดสุดท้ายและจัดหาให้ธนาคารพาณิชย์ค้ำประกันความเสียหายอันเนื่องมาจากการก่อสร้างภายใน 1 ปี นับแต่จำเลยได้รับมอบงาน จำเลยจึงจะคืนเงินประกันให้โจทก์ เมื่อโจทก์ยังไม่จัดหาให้ธนาคารพาณิชย์ค้ำประกันความเสียหายจำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินประกันข้อเท็จจริงปรากฏว่านับแต่โจทก์ได้ส่งมอบงานงวดสุดท้ายให้จำเลยถึงวันฟ้อง เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว ก็ไม่ปรากฏความเสียหายใด ๆ หลังจากการส่งมอบงาน ดังนั้นความจำเป็นที่โจทก์จะต้องนำธนาคารมาค้ำประกันความเสียหายจึงหมดไปจำเลยจึงไม่อาจยกเป็นเหตุไม่ยอมคืนเงินประกันความเสียหายแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3091/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาก่อสร้าง: การชำระเงินค่าจ้างและคืนเงินประกันเมื่องานแล้วเสร็จและไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น
จำเลยว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างอาคารโรงงานและบ้านพักข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้ก่อสร้างครบถ้วนตามสัญญาแล้วโจทก์จึงมิใช่ฝ่ายผิดสัญญาที่จำเลยฎีกาอ้างว่าปริมาณงานในงวดสุดท้ายยังมีงานที่หลงเหลือมาจากงวดอื่นๆรวมทั้งงานเก็บกวาดทำความสะอาดและบริเวณก่อสร้างโจทก์จึงยังมิได้ดำเนินการก่อสร้างให้เสร็จครบถ้วนตามสัญญานั้นจำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้เพิ่งหยิบยกข้ออ้างในชั้นฎีกาจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันแล้วในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยอ้างว่าตามสัญญาโจทก์จะต้องส่งงานงวดสุดท้ายและจัดหาให้ธนาคารพาณิชย์ค้ำประกันความเสียหายอันเนื่องมาจากการก่อสร้างภายใน1ปีนับแต่จำเลยได้รับมอบงานจำเลยจึงจะคืนเงินประกันให้โจทก์เมื่อโจทก์ยังไม่จัดหาให้ธนาคารพาณิชย์ค้ำประกันความเสียหายจำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินประกันข้อเท็จจริงปรากฏว่านับแต่โจทก์ได้ส่งมอบงานงวดสุดท้ายให้จำเลยถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า1ปีแล้วก็ไม่ปรากฏความเสียหายใดๆหลังจากการส่งมอบงานดังนั้นความจำเป็นที่โจทก์จะต้องนำธนาคารมาค้ำประกันความเสียหายจึงหมดไปจำเลยจึงไม่อาจยกเป็นเหตุไม่ยอมคืนเงินประกันความเสียหายแก่โจทก์ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1556/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าแห่งการงานหลังบอกเลิกสัญญาจ้างเหมา: ไม่จำกัดตามงวดงาน หากงานที่ทำมีค่าน้อยกว่าเงินที่รับไป
สัญญาจ้างเหมามีความว่าเมื่อผู้ว่าจ้างเห็นว่าหากให้ผู้รับจ้างดำเนินการต่อไปอาจเกิดความเสียหายแก่ผู้ว่าจ้างผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเสียได้โดยผู้รับจ้างไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าทดแทนใด ๆจากผู้ว่าจ้างทั้งสิ้นนั้นหมายถึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าทดแทนเนื่องจากการบอกเลิกสัญญาเท่านั้นแต่ผู้รับจ้างหาสิ้นสิทธิได้รับการใช้เงินตามควรค่าแห่งการงานที่ทำเพื่อกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมในกรณีอีกฝ่ายหนึ่งใช้สิทธิเลิกสัญญาตามป.พ.พ.มาตรา391ไม่ ค่าแห่งการงานตามมาตรา391นั้นไม่จำต้องตีราคางานตรงตามงวดที่ระบุไว้ในสัญญา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1556/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าแห่งการงานของผู้รับจ้างเมื่อผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างเหมา
สัญญาจ้างเหมามีความว่าเมื่อผู้ว่าจ้างเห็นว่าหากให้ผู้รับจ้างดำเนินการต่อไปอาจเกิดความเสียหายแก่ผู้ว่าจ้างผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเสียได้โดยผู้รับจ้างไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าทดแทนใดๆจากผู้ว่าจ้างทั้งสิ้นนั้นหมายถึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าทดแทนเนื่องจากการบอกเลิกสัญญาเท่านั้นแต่ผู้รับจ้างหาสิ้นสิทธิได้รับการใช้เงินตามควรค่าแห่งการงานที่ทำเพื่อกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมในกรณีอีกฝ่ายหนึ่งใช้สิทธิเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา391ไม่. ค่าแห่งการงานตามมาตรา391นั้นไม่จำต้องตีราคางานตรงตามงวดที่ระบุไว้ในสัญญา.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 245/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาจ้างเหมาที่มิชอบ ผู้รับเหมามีสิทธิได้รับค่าจ้างที่ทำไปแล้วและค่าเสียหาย
จำเลยว่าจ้างให้โจทก์สร้างบ้าน โจทก์ทำการก่อสร้างและรับเงินไปแล้ว 3 งวด คงเหลืองานงวดที่ 4 อันเป็นงวดสุดท้าย เมื่อสัญญาว่าจ้างไม่ได้กำหนดระยะเวลาการก่อสร้างไว้ชัดแจ้งและจำเลยเห็นว่าหากให้โจทก์ทำการก่อสร้างต่อไปจะเกิดความเสียหายเพราะงานล่าช้ามาก จำเลยจะเลิกสัญญาได้ก็ต้องบอกกล่าวกำหนดเวลาพอสมควรให้โจทก์ปฏิบัติเสียก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 แต่จำเลยมิได้ทำเช่นนั้นจึงบอกเลิกสัญญาด้วยเหตุดังกล่าวไม่ได้ การที่โจทก์ขอทำการก่อสร้างต่อไปและจำเลยไม่ยอมโดยบอกเลิกสัญญากับโจทก์ จึงเป็นเรื่องที่จำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยไม่ชอบและจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจกท์เพื่อความเสียหายอย่างใดๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 605
ค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์ในกรณีผิดสัญญาว่าจ้างนั้น เมื่อสัญญาว่าจ้างเป็นการจ้างเหมารวมทั้งค่าวัสดุกับค่าแรงงานโดยแบ่งผลงานไว้เป็น 4 งวด มีการจ่ายเงินแล้ว 3 งวด คงเหลือยังไม่ได้จ่ายเฉพาะงวดที่ 4 และงานที่โจทก์ทำให้จำเลยมาแล้วไม่มีการชำรุดบกพร่อง โจทก์จึงมีสิทธิจะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนเงินค่าจ้างงวดที่ 4 กับเงินค่าจ้างที่จำเลยให้โจทก์ทำการก่อสร้างเพิ่มเติมนอกเหนือจากรายการตามสัญญา โดยนำราคางานที่โจทก์ยังไม่ได้ทำให้จำเลยไปหักออกจากยอดเงินดังกล่าวก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 245/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เลิกสัญญาจ้างเหมาที่ไม่ชอบ ศาลพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญา
จำเลยว่าจ้างให้โจทก์สร้างบ้านโจทก์ทำการก่อสร้างและรับเงินไปแล้ว3งวดคงเหลืองานงวดที่4อันเป็นงวดสุดท้ายเมื่อสัญญาว่าจ้างไม่ได้กำหนดระยะเวลาการก่อสร้างไว้ชัดแจ้งและจำเลยเห็นว่าหากให้โจทก์ทำการก่อสร้างต่อไปจะเกิดความเสียหายเพราะงานล่าช้ามากจำเลยจะเลิกสัญญาได้ก็ต้องบอกกล่าวกำหนดเวลาพอสมควรให้โจทก์ปฏิบัติเสียก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา387แต่จำเลยมิได้ทำเช่นนั้นจึงบอกเลิกสัญญาด้วยเหตุดังกล่าวไม่ได้การที่โจทก์ขอทำการก่อสร้างต่อไปและจำเลยไม่ยอมโดยบอกเลิกสัญญากับโจทก์จึงเป็นเรื่องที่จำเลยใช้สิทธิเลิกสัญญาโดยไม่ชอบและจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจกท์เพื่อความเสียหายอย่างใดๆอันเกิดแต่การเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา605 ค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์ในกรณีผิดสัญญาว่าจ้างนั้นเมื่อสัญญาว่าจ้างเป็นการจ้างเหมารวมทั้งค่าวัสดุกับค่าแรงงานโดยแบ่งผลงานไว้เป็น4งวดมีการจ่ายเงินแล้ว3งวดคงเหลือยังไม่ได้จ่ายเฉพาะงวดที่4และงานที่โจทก์ทำให้จำเลยมาแล้วไม่มีการชำรุดบกพร่องโจทก์จึงมีสิทธิจะได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนเงินค่าจ้างงวดที่4กับเงินค่าจ้างที่จำเลยให้โจทก์ทำการก่อสร้างเพิ่มเติมนอกเหนือจากรายการตามสัญญาโดยนำราคางานที่โจทก์ยังไม่ได้ทำให้จำเลยไปหักออกจากยอดเงินดังกล่าวก่อน.
of 61