คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 587

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 604 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1988/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความการเรียกร้องเงินทดรองค่าจ้างทำของและการจ้างเหมา
โจทก์ว่าจ้างจำเลยทำไม้ โดยจำเลยผู้รับจ้างเป็นผู้ตัดฟันชักลาก ล่องนำไม้ไปส่งอู่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นการจ้างเหมา สัญญาจ้างนี้อยู่ในลักษณะจ้างทำของ
สิทธิเรียกร้องในการที่โจทก์จะฟ้องเรียกเงินทดรองค่าจ้างทำของที่จ่ายล่วงหน้าและเหลืออยู่ คืนจากจำเลยผู้รับจ้าง มีอายุความ 10 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1309/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างแรงงานผูกพันแม้ไม่มีตราบริษัท หากยอมรับผลงานและชำระเงินเป็นงวด
ข้อบังคับของบริษัทจำเลยกำหนดว่ากรรมการผู้จัดการมีอำนาจลงนามแทนบริษัทแต่ต้องประทับตราบริษัท การที่บริษัทจำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์โดยในสัญญาไม่ได้ประทับตราบริษัทจำเลยแต่เมื่อบริษัทจำเลยยอมรับเอาผลงานที่โจทก์ทำให้ จนมีการชำระเงินค่าจ้างเรียบร้อยไปงวดหนึ่งแล้ว บริษัทจำเลยจะปฏิเสธว่าสัญญาจ้างดังกล่าวไม่ผูกพันบริษัทจำเลยหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 1525/2494)
สัญญาจ้างซึ่งระบุว่าผู้จ้างจะจ่ายเงินค่าแรงงานในการก่อสร้างให้แก่ผู้รับจ้างเป็นงวด ๆ นั้น เมื่อผู้รับจ้างทำงานเสร็จตามงวดแล้ว ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ว่าจ้างจ่ายเงินตามงวดที่เสร็จไปแล้วได้ ไม่ต้องรอให้งานเสร็จครบถ้วนตามสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1309/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างผูกพันแม้ไม่มีตราบริษัท หากยอมรับผลงานและชำระเงินเป็นงวด
ข้อบังคับของบริษัทจำเลยกำหนดว่ากรรมการผู้จัดการมีอำนาจลงนามแทนบริษัทแต่ต้องประทับตราบริษัท การที่บริษัทจำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์โดยในสัญญาไม่ได้ประทับตราบริษัทจำเลยแต่เมื่อบริษัทจำเลยยอมรับเอาผลงานที่โจทก์ทำให้ จนมีการชำระเงินค่าจ้างเรียบร้อยไปงวดหนึ่งแล้ว บริษัทจำเลยจะ ปฏิเสธว่าสัญญาจ้างดังกล่าวไม่ผูกพันบริษัทจำเลยหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 1525/2494)
สัญญาจ้างซึ่งระบุว่าผู้จ้างจะจ่ายเงินค่าแรงงานในการก่อสร้างให้แก่ผู้รับจ้างเป็นงวด ๆ นั้น เมื่อผู้รับจ้างทำงานเสร็จตามงวดแล้ว ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ว่าจ้างจ่ายเงินตามงวดที่เสร็จไปแล้วได้ ไม่ต้องรอให้งานเสร็จครบถ้วนตามสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2101/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาตัวแทน vs. จ้างทำของ: ความรับผิดของตัวการเมื่อตัวแทนผิดสัญญาซื้อขาย
จ. ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทำสัญญากับบริษัท ว. มีข้อความสำคัญว่า ผู้ว่าจ้าง (จ) ตกลงให้ผู้รับจ้าง (ว) ขายหรือเลหลังที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างได้ในราคาไม่ต่ำกว่า 2,000,000 บาท หรือหากต่ำกว่าราคานี้ก็ต่อเมื่อผู้รับจ้าง (ว) ได้รับความยินยอมจากผู้ว่าจ้าง (จ) ให้ขายได้ ดังนี้ ย่อมมีความหมายว่า ถ้ามีผู้ซื้อเสนอขอซื้อในราคาที่กำหนดไว้นี้แล้ว ว. มีอำนาจเป็นตัวแทนของ จ. ทำสัญญาจะซื้อขายกับผู้ขอซื้อได้เลยและสัญญานั้นมีผลผูกพัน จ. และเมื่อ ว. ทำสัญญาจะซื้อขายกับผู้ขอซื้อไว้ในนามของ ว. แต่เวลาจะโอนกรรมสิทธิ์ จ. ซึ่งเป็นเจ้าของต้องจัดการโอนให้ ไม่ใช่ว่า ว. จะทำการโอนขายไปเป็นผลสำเร็จได้เองดังนี้ แม้ ว. จะเป็นผู้มีอาชีพประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าขายทอดตลาดก็ไม่ทำให้สัญญาระหว่าง จ. กับ ว. เป็นเรื่อง ตัวแทนค้าต่าง
ว. เป็นตัวแทนของ จ. ทำสัญญาจะขายที่ดินพร้อมด้วยตึกแถวให้โจทก์ แล้ว จ. กลับโอนที่ดินและตึกแถวนั้นให้ผู้อื่นไป ถ้าไม่สามารถโอนที่ดินและตึกนั้นให้โจทก์ได้ จ. จะต้องคืนเงินที่ ว. รับไว้จากโจทก์และต้องเสียดอกเบี้ยสำหรับเงินที่คืนนั้น นอกจากนี้ยังต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีกด้วย
ตัวแทนของเจ้าของทำสัญญาจะขายที่ดินและตึกแถวให้โจทก์แล้วเจ้าของกลับโอนที่ดินและตึกนั้นให้ผู้อื่นไป การที่เคยมีผู้มาขอซื้อที่ดินและตึกนั้นจากโจทก์ในราคาเป็นเงินจำนวนหนึ่งเพียงเท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษเท่ากับราคาที่มีผู้มาขอซื้อนั้น แต่ถือได้ว่าที่ดินและตึกนั้นมีราคาเพิ่มขึ้นแน่นอนซึ่งเป็นความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นจากการไม่ชำระหนี้ของฝ่ายเจ้าของที่ดินและตึก ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้ตามจำนวนที่เห็นสมควร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2101/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาตัวแทนกับการรับผิดในสัญญาซื้อขาย: ตัวแทนมีหน้าที่คืนเงินและชดใช้ค่าเสียหายเมื่อผิดสัญญา
จ. ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทำสัญญากับบริษัท ว.มีข้อความสำคัญว่าผู้ว่าจ้าง (จ) ตกลงให้ผู้รับจ้าง (ว) ขายหรือเลหลังที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างได้ในราคาไม่ต่ำกว่า 2,000,000 บาท หรือหากต่ำกว่าราคานี้ก็ต่อเมื่อผู้รับจ้าง (ว) ได้รับความยินยอมจากผู้ว่าจ้าง (จ) ให้ขายได้ ดังนี้ ย่อมมีความหมายว่า ถ้ามีผู้ซื้อเสนอขอซื้อในราคาที่กำหนดไว้นี้แล้ว ว. มีอำนาจเป็นตัวแทนของ จ. ทำสัญญาจะซื้อขายกับผู้ขอซื้อได้เลยและสัญญานั้นมีผลผูกพันจ. และเมื่อ ว. ทำสัญญาจะซื้อขายกับผู้ขอซื้อไว้ในนามของ ว. แต่เวลาจะโอนกรรมสิทธิ์ จ. ซึ่งเป็นเจ้าของต้องจัดการโอนให้ ไม่ใช่ว่า ว. จะทำการโอนขายไปเป็นผลสำเร็จได้เองดังนี้ แม้ ว. จะเป็นผู้มีอาชีพประกอบธุรกิจเป็นนายหน้าขายทอดตลาดก็ไม่ทำให้สัญญาระหว่าง จ. กับ ว. เป็นเรื่องตัวแทนค้าต่าง
ว. เป็นตัวแทนของ จ. ทำสัญญาจะขายที่ดินพร้อมด้วยตึกแถวให้โจทก์ แล้ว จ. กลับโอนที่ดินและตึกแถวนั้นให้ผู้อื่นไป ถ้าไม่สามารถโอนที่ดินและตึกนั้นให้โจทก์ได้ จ. จะต้องคืนเงินที่ ว. รับไว้จากโจทก์และต้องเสีย ดอกเบี้ยสำหรับเงินที่คืนนั้น นอกจากนี้ยังต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีกด้วย
ตัวแทนของเจ้าของทำสัญญาจะขายที่ดินและตึกแถวให้โจทก์แล้วเจ้าของกลับโอนที่ดินและตึกนั้นให้ผู้อื่นไป การที่เคยมีผู้มาขอซื้อที่ดินและตึกนั้นจากโจทก์ในราคาเป็นเงินจำนวนหนึ่งเพียงเท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษเท่ากับราคาที่มีผู้มาขอซื้อนั้น แต่ถือได้ว่าที่ดินและตึกนั้นมีราคาเพิ่มขึ้นแน่นอนซึ่งเป็นความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นจากการไม่ชำระหนี้ของฝ่ายเจ้าของที่ดินและตึก ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้ตามจำนวนที่เห็นสมควร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1838/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าจ้างทนาย: เริ่มนับเมื่อคดีถึงที่สุด (สิ้นสุดระยะอุทธรณ์) ไม่ใช่วันอ่านฎีกาตีความสัญญา
ทนายความฟ้องเรียกเงินค่าจ้างว่าความมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (15)
สัญญาจ้างว่าความมีว่า เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วจำเลยจะให้ค่าจ้างแก่โจทก์ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงเกิดขึ้นนับแต่นั้น
คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาล และไม่มีการอุทธรณ์ต่อไป ถือว่าคดีถึงที่สุด เมื่อสิ้นกำหนดระยะอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง ถึงหากโจทก์ในคดีดังกล่าวซึ่งโจทก์ในคดีนี้รับเป็นทนายให้ได้อุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับเรื่องตีความสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นก็ตามแต่โจทก์ (คดีนี้) ก็มิได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับอุทธรณ์ฎีกาในเรื่องนั้นคดีที่จำเลยในคดีนี้ (โจทก์ในคดีก่อน) จ้างโจทก์ว่าความถึงที่สุด เมื่อสิ้นกำหนดระยะอุทธรณ์ มิใช่ถึงที่สุดในวันอ่านคำพิพากษาฎีกาเกี่ยวกับการตีความใน สัญญาประนีประนอมยอมความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1838/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความค่าจ้างทนาย: เริ่มนับเมื่อคดีถึงที่สุดตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ไม่ใช่เมื่อมีคำพิพากษาฎีกาตีความสัญญายอมความ
ทนายความฟ้องเรียกเงินค่าจ้างว่าความมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(15)
สัญญาจ้างว่าความมีว่า เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วจำเลยจะให้ค่าจ้างแก่โจทก์ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงเกิดขึ้นนับแต่นั้น
คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาล และไม่มีการอุทธรณ์ต่อไป ถือว่าคดีถึงที่สุด เมื่อสิ้นกำหนดระยะอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง ถึงหากโจทก์ในคดีดังกล่าวซึ่งโจทก์ในคดีนี้รับเป็นทนายให้ได้อุทธรณ์ฎีกาคำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับเรื่องตีความสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นก็ตามแต่โจทก์ (คดีนี้) ก็มิได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับอุทธรณ์ฎีกาในเรื่องนั้นคดีที่จำเลยในคดีนี้ (โจทก์ในคดีก่อน) จ้างโจทก์ว่าความถึงที่สุดเมื่อสิ้นกำหนดระยะอุทธรณ์ มิใช่ถึงที่สุดในวันอ่านคำพิพากษาฎีกาเกี่ยวกับการตีความในสัญญาประนีประนอมยอมความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1722/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือค้ำประกันไม่ใช่เงินมัดจำ และอำนาจฟ้องของกองทัพบกเมื่อมีผู้รับมอบอำนาจ
โจทก์จ้างจำเลยให้ทำการก่อสร้างให้โจทก์ โดยมีข้อสัญญาว่าหากเกิดความเสียหายใด ๆ ขึ้น เนื่องจากจำเลยผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้ตามกฎหมาย ในการปฏิบัติตามสัญญาจำเลยได้วางหนังสือค้ำประกันของธนาคารไว้แทนการวางมัดจำเป็นเงินจำนวนหนึ่ง หนังสือค้ำประกันนี้เป็นเพียงสัญญาซึ่งธนาคารผู้ค้ำประกันผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ในเมื่อจำเลยผิดสัญญาและไม่ชำระหนี้เท่านั้น ธนาคารมิได้วางเงินตามสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ ขณะเมื่อจำเลยเข้าทำสัญญากับโจทก์ หนังสือค้ำประกันจึงมิใช่เป็นมัดจำตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 377แม้ธนาคารจะได้ชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันให้โจทก์ในเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลย ก็ไม่ทำให้เงินที่ชำระนั้นกลายเป็นมัดจำไป เมื่อหนังสือค้ำประกันไม่ใช่มัดจำ และตามสัญญาก็มิได้ระบุให้ริบเงินที่ชำระตามหนังสือค้ำประกัน โจทก์จึงริบเงินจำนวนนี้ไม่ได้
จำเลยทำสัญญารับทำการก่อสร้างโดยระบุไว้ในสัญญาว่าส. เป็นคู่สัญญากับจำเลยโดยคำสั่งกองทัพบก ย่อมถือได้ว่า ส.ลงลายมือชื่อเป็นคู่สัญญาในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากกองทัพบกจำเลยจะอ้างว่า ส. เป็นคู่สัญญากับจำเลยไม่ใช่กองทัพบกกองทัพบกไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้ หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1722/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือค้ำประกันไม่ใช่เงินมัดจำ - สิทธิในการริบ - อำนาจฟ้องของกองทัพบก
โจทก์จ้างจำเลยให้ทำการก่อสร้างให้โจทก์ โดยมีข้อสัญญาว่าหากเกิดความเสียหายใด ๆ ขึ้น เนื่องจากจำเลยผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้ตามกฎหมาย ในการปฏิบัติตามสัญญา จำเลยได้วางหนังสือค้ำประกันของธนาคารไว้แทนการวางมัดจำเป็นเงินจำนวนหนึ่ง หนังสือค้ำประกันนี้เป็นเพียงสัญญาซึ่งธนาคารผู้ค้ำประกันผูกพันตนต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้ในเมื่อจำเลยผิดสัญญาและไม่ชำระหนี้เท่านั้น ธนาคารมิได้วางเงินตามสัญญาค้ำประกันไว้แก่โจทก์ขณะเมื่อจำเลยเข้าทำสัญญากับโจทก์ หนังสือค้ำประกันจึงมิใช่เป็นมัดจำตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 377แม้ธนาคารจะได้ชำระเงินตามหนังสือค้ำประกันให้โจทก์ในเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลย ก็ไม่ทำให้เงินที่ชำระนั้นกลายเป็นมัดจำไป เมื่อหนังสือค้ำประกันไม่ใช่มัดจำ และตามสัญญาก็มิได้ระบุให้ริบเงินที่ชำระตามหนังสือค้ำประกัน โจทก์จึงริบเงินจำนวนนี้ไม่ได้
จำเลยทำสัญญารับทำการก่อสร้างโดยระบุไว้ในสัญญาว่าส. เป็นคู่สัญญากับจำเลยโดยคำสั่งกองทัพบก ย่อมถือได้ว่า ส.ลงลายมือชื่อเป็นคู่สัญญาในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากกองทัพบกจำเลยจะอ้างว่า ส. เป็นคู่สัญญากับจำเลยไม่ใช่กองทัพบกกองทัพบกไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้ หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1374/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเภทสัญญาจ้าง: จ้างทำของ vs. จ้างแรงงาน และอายุความผิดสัญญาขนส่ง
จำเลยตกลงรับจ้างทำการชักลากไม้ของโจทก์จำนวน 60 ท่อน จากป่าระหารไปส่งให้แก่โจทก์ผู้ว่าจ้างที่บ้านท่าพุทรา ซึ่งเป็นการขนเฉพาะไม้รายนี้ให้โจทก์ให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา โดยโจทก์คิดค่าจ้างให้จำเลยเพื่อผลสำเร็จแห่งการงานนั้น ในจำนวนไม้ตามที่จำเลยส่งมอบให้โจทก์ ในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 60 บาท หาใช่เป็นสัญญาที่จำเลยมีหน้าที่จะต้องทำการขนไม้รายอื่น ๆ ให้โจทก์อยู่ตลอดเวลาที่จ้างตามที่กำหนดไว้นั้นไม่ สัญญาที่จำเลยทำจึงเป็นสัญญาจ้างทำของ หาใช่เป็นสัญญาจ้างแรงงานไม่
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 การชำรุดบกพร่องจะต้องเป็นความชำรุดบกพร่องแก่ตัวทรัพย์ที่จำเลยทำการขนส่งมอบแก่โจทก์ จำเลยขนไม้ไปส่งมอบให้โจทก์ไม่ครบจำนวน จึงเป็นเรื่องที่จำเลยผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ กรณีไม่เข้ามาตรา 601 ตามสัญญาจ้างชักลากไม้ก็มีความว่า หากปรากฏว่าไม้ที่จ้างกันนี้สูญหายหรือเสียหายด้วยประการใด ๆ จำเลยผู้รับจ้างจะต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าไม้ที่ขาดหายไปนั้นจากจำเลยได้ภายในกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
of 61