คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 587

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 604 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1374/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเภทสัญญาจ้าง (จ้างทำของ vs จ้างแรงงาน) และอายุความของค่าเสียหายจากการชำรุดบกพร่อง
จำเลยตกลงรับจ้างทำการชักลากไม้ของโจทก์จำนวน 60 ท่อนจากป่าระหารไปส่งให้แก่โจทก์ผู้ว่าจ้างที่บ้านท่าพุทราซึ่งเป็นการขนเฉพาะไม้รายนี้ให้โจทก์ให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา โดยโจทก์คิดค่าจ้างให้จำเลยเพื่อผลสำเร็จแห่งการงานนั้น ในจำนวนไม้ตามที่จำเลยส่งมอบให้โจทก์ในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 60 บาท หาใช่เป็นสัญญาที่จำเลยมีหน้าที่จะต้องทำการขนไม้รายอื่น ๆ ให้โจทก์อยู่ตลอดเวลาที่จ้างตามที่กำหนดไว้นั้นไม่ สัญญาที่จำเลยทำจึงเป็นสัญญาจ้างทำของ หาใช่เป็นสัญญาจ้างแรงงานไม่
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 การชำรุดบกพร่องจะต้องเป็นความชำรุดบกพร่องแก่ตัวทรัพย์ที่จำเลยทำการขนส่งมอบแก่โจทก์ จำเลยขนส่งไม้ไปส่งมอบให้โจทก์ไม่ครบจำนวน จึงเป็นเรื่องที่จำเลยผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ กรณีไม่เข้ามาตรา 601 ตามสัญญาจ้างชักลากไม้ก็มีความว่า หากปรากฏว่าไม้ที่จ้างกันนี้สูญหายหรือเสียหายด้วยประการใด ๆ จำเลยผู้รับจ้างจะต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าไม้ที่ขาดหายไปนั้นจากจำเลยได้ภายในกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าจ้างทนายความกรณีตกลงจ้างแต่ยังมิได้กำหนดอัตราค่าจ้าง ศาลมีอำนาจพิจารณาให้ตามสมควรแก่กิจการที่ทำ
ในกรณีที่จำเลยเพียงแต่ตกลงจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความดำเนินคดีโดยยังมิได้ตกลงกำหนดอัตราค่าจ้างกับโจทก์เป็นจำนวนเท่าใดแน่นอนนั้นศาลย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างให้ตามสมควรแก่กิจการที่โจทก์ได้กระทำไปได้
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เพียงแต่พาจำเลยไปอายัดที่ดินไว้ ณ สำนักงานที่ดิน และมิได้ดำเนินคดีฟ้องร้องต่อศาลแต่ประการใดการที่จำเลยกับ พ. ตกลงเรื่องที่พิพาทกันได้ ก็เพราะบุคคลภายนอกเป็นผู้ไกล่เกลี่ยไม่ใช่โจทก์ ฉะนั้น ที่ศาลกำหนดค่าจ้างให้โจทก์ 2,000 บาท จึงย่อมเป็นการสมควรแก่งานที่โจทก์ได้กระทำไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าจ้างทนายความกรณีตกลงจ้างแต่ยังไม่ได้กำหนดอัตราค่าจ้าง ศาลมีอำนาจพิจารณาตามสมควรแก่กิจการ
ในกรณีที่จำเลยเพียงแต่ตกลงจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความดำเนินคดี โดยยังมิได้ตกลงกำหนดอัตราค่าจ้างเป็นจำนวนเท่าใดแน่นอนนั้น ศาลย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างให้ตามสมควรแก่กิจการที่โจทก์ได้กระทำไปได้
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เพียงแต่พาจำเลยไปอายัดที่ดินไว้ ณ สำนักงานที่ดิน และมิได้ดำเนินคดีฟ้องร้องต่อศาลแต่ประการใด การที่จำเลยกับ พ. ตกลงเรื่องที่พิพาทกันได้ ก็เพราะบุคคลภายนอกเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ไม่ใช่โจทก์ ฉะนั้น ที่ศาลกำหนดค่าจ้างให้โจทก์ 2,000 บาท จึงย่อมเป็นการสมควรแก่งานที่โจทก์ได้กระทำไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1278/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยร่วมไม่อินกับค่าเสียหายจากสัญญาระหว่างโจทก์-จำเลยหลัก แม้ร่วมถูกฟ้อง
โจทก์จ้างเหมาให้จำเลยที่ 2 สร้างคานเรือโดยมีจำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกัน จำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ก่อสร้างให้เสร็จตามสัญญาจ้างเหมา โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ใช้ค่าเสียหายตามสัญญาค้ำประกัน และศาลเรียกจำเลยที่ 2 เข้ามาในคดีด้วย ตามคำขอของจำเลยที่ 1 มีผู้อื่นขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยโดยอ้างว่าเป็นผู้รับเหมางานช่วงจากจำเลยที่ 2 อาจถูกไล่เบี้ยได้ ศาลอนุญาต ดังนี้เมื่อฝ่ายจำเลยแพ้คดี ศาลจะพิพากษาให้จำเลยร่วมพลอยต้องร่วมใช้ค่าเสียหายอันเกิดแต่นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วยหาได้ไม่ แต่จำเลยร่วมอาจต้องร่วมใช้ค่าธรรมเนียมแทนโจทก์ด้วย
ค่าทนายความอันเป็นส่วนหนึ่งของค่าฤชาธรรมเนียมนั้น ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายที่แพ้คดีรับผิดชดใช้ให้แก่ฝ่ายที่ชนะหรือไม่เพียงใด ย่อมเป็นเรื่องที่ศาลจะใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวง คดีที่โจทก์เป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งมีพนักงานอัยการเป็นทนายให้ เมื่อชนะคดี ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายที่แพ้คดีใช้ค่าทนายให้ก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1278/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยร่วมไม่อาจต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายจากนิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และ 2 โดยตรง ศาลมีดุลพินิจเรื่องค่าทนาย
โจทก์จ้างเหมาให้จำเลยที่ 2 สร้างคานเรือโดยมีจำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 2 ต่อโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ก่อสร้างให้เสร็จตามสัญญาจ้างเหมา โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ใช้ค่าเสียหายตามสัญญาค้ำประกัน และศาลเรียกจำเลยที่ 2 เข้ามาในคดีด้วยตามคำขอของจำเลยที่ 1 มีผู้อื่นขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วยโดยอ้างว่าเป็นผู้รับเหมางานช่วงจากจำเลยที่ 2 อาจถูกไล่เบี้ยได้ ศาลอนุญาต ดังนี้เมื่อฝ่ายจำเลยแพ้คดี ศาลจะพิพากษาให้จำเลยร่วมพลอยต้องร่วมใช้ค่าเสียหายอันเกิดแต่นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2ด้วยหาได้ไม่ แต่จำเลยร่วมอาจต้องร่วมใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ด้วย
ค่าทนายความอันเป็นส่วนหนึ่งของค่าฤชาธรรมเนียมนั้น ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายที่แพ้คดีรับผิดชดใช้ให้แก่ฝ่ายที่ชนะหรือไม่เพียงใดย่อมเป็นเรื่องที่ศาลจะใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความหรือการดำเนินคดีของคู่ความทั้งปวง คดีที่โจทก์เป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งมีพนักงานอัยการเป็นทนายให้ เมื่อชนะคดี ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายที่แพ้คดีใช้ค่าทนายให้ก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 748/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ ค่าทนายความเกินสมควร ศาลลดเบี้ยปรับ
จำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลทำหนังสือรับสภาพหนี้และประนีประนอมยอมความให้โจทก์เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2506 โจทก์ฟ้องคดี พ.ศ. 2507 จึงไม่ขาดอายุความ
ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความไม่ได้บังคับว่า โจทก์ต้องแสดงใบรับเงินค่าจ้างทนายมาพร้อมฟ้อง
หนังสือสัญญารับสภาพหนี้และยอมความมีใจความว่าถ้าลูกหนี้ผิดนัดยอมให้เจ้าหนี้ฟ้อง ลูกหนี้ยอมใช้ค่าเสียหายที่เจ้าหนี้จ่ายเป็นค่าจ้างทนายความตามที่จ้างจริง โดยตกลงกำหนดเบี้ยปรับสำหรับค่าจ้างไว้เป็นเงิน 4,500 บาท หนี้สินรายนี้มีจำนวน 22,340 บาทนับว่าสูงเกินส่วน แม้โจทก์จ่ายเงินไปแล้วจริง 4,500 บาท ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ตกลงว่าจ้างแพงเกินควรที่จะให้จำเลยรับผิดศาลฎีกาเห็นควรลดเบี้ยปรับค่าจ้างทนายลงเหลือ 2,500 บาท
ฎีกาที่ว่า ข้อตกลงเรื่องให้จำเลยเสียค่าทนาย 4,500 บาทเป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับกันไม่ได้ เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่าในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 748/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงค่าทนายในสัญญาประนีประนอมความ: การลดเบี้ยปรับค่าเสียหายที่สูงเกินควร
จำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลทำหนังสือรับสภาพหนี้และประนีประนอมยอมความให้โจทก์เมื่อวันที่27 กุมภาพันธ์ 2506 โจทก์ฟ้องคดี พ.ศ. 2507 จึงไม่ขาดอายุความ
ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความไม่ได้บังคับว่าโจทก์ต้องแสดงใบรับเงินค่าจ้างทนายมาพร้อมฟ้อง
หนังสือสัญญารับสภาพหนี้และยอมความมีใจความว่าถ้าลูกหนี้ผิดนัดยอมให้เจ้าหนี้ฟ้อง ลูกหนี้ยอมใช้ค่าเสียหายที่เจ้าหนี้จ่ายเป็นค่าจ้างทนายความตามที่จ้างจริง โดยตกลงกำหนดเบี้ยปรับสำหรับค่าจ้างไว้เป็นเงิน 4,500 บาท หนี้สินรายนี้มีจำนวน 22,340 บาทนับว่าสูงเกินส่วน แม้โจทก์จ่ายเงินไปแล้วจริง 4,500 บาทก็เป็นเรื่องที่โจทก์ตกลงว่าจ้างแพงเกินควรที่จะให้จำเลยรับผิดศาลฎีกาเห็นควรลดเบี้ยปรับค่าจ้างทนายลงเหลือ 2,500 บาท
ฎีกาที่ว่า ข้อตกลงเรื่องให้จำเลยเสียค่าทนาย 4,500 บาทเป็นข้อตกลงที่ใช้บังคับกันไม่ได้ เพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนนั้น จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่าในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความคืนจากทนาย โดยอ้างเหตุสัญญาเป็นโมฆะ หากศาลล่างวินิจฉัยว่าสัญญาไม่เป็นโมฆะ ฟ้องนั้นย่อมตกไป
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างจำเลยเป็นทนายในคดีที่โจทก์ถูกบุคคลอื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย ทำสัญญากันว่าโจทก์ตกลงจ้างเหมาให้จำเลยว่าความจนถึงที่สุดตลอดจนการที่จะฟ้องบุคคลนั้นหาว่าปลอมและใช้เอกสารปลอมโดยตกลงให้ค่าจ้างเหมาแก่จำเลย รวมทั้งค่าเสียหายซึ่งโจทก์จะต้องใช้ให้แก่บุคคลนั้นตามคำพิพากษาหรือสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเงิน120,000 บาท โจทก์ได้มอบเงินให้จำเลยไปแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยขัดแย้งกันโจทก์จึงถอนจำเลยจากการเป็นทนายและตั้งทนายใหม่ในที่สุดโจทก์กับบุคคลที่ฟ้องโจทก์นั้นทำยอมความกัน โดยบุคคลนั้นยอมรับเงินจากโจทก์ 170,000 บาท เมื่อโจทก์ชำระแล้ว ได้ให้ทนายแจ้งให้จำเลยนำเงินจำนวนนี้มาชำระให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยกลับเพิกเฉย เนื่องจากสัญญาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในสารสำคัญเป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างเหมาว่าความที่จำเลยรับไปคืนให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแล้ว แม้ตอนแรกกล่าวเป็นทำนองจะขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างว่าความตามสัญญาก็ตาม แต่ในตอนท้ายกลับอ้างว่าสัญญาเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินให้โจทก์ทั้งสิ้นจึงเป็นคำฟ้องที่มีประเด็นเฉพาะเรื่องฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความคืนโดยอ้างเหตุว่าสัญญาเป็นโมฆะแต่เพียงประการเดียวไม่มีประเด็นเรื่องฟ้องเรียกเงินค่าจ้างว่าความคืนตามสัญญา
เมื่อฟ้องของโจทก์มีประเด็นเพียงว่าสัญญาเป็นโมฆะ จึงขอเงินค่าจ้างที่จ่ายไปแล้วคืนจากจำเลย แต่ศาลล่างวินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่าสัญญาไม่เป็นโมฆะ และประเด็นข้อนี้ไม่มีการฎีกาโต้แย้ง ฉะนั้นสัญญาเป็นโมฆะหรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นในชั้นฎีกา ฟ้องของโจทก์ซึ่งเรียกค่าจ้างว่าความคืนจากจำเลยเพราะสัญญาจ้างว่าความเป็นโมฆะจึงเป็นอันตกไป
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2-6/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นฟ้องเรียกค่าจ้างคืนจากทนายโดยอ้างสัญญาเป็นโมฆะ หากศาลล่างวินิจฉัยสัญญาไม่เป็นโมฆะ ฟ้องย่อมตกไป
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างจำเลยเป็นทนายในคดีที่โจทก์ถูกบุคคลอื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย ทำสัญญากันว่าโจทก์ตกลงจ้างเหมาให้จำเลยว่าความจนถึงที่สุดตลอดจนการที่จะฟ้องบุคคลนั้นหาว่าปลอมและใช้เอกสารปลอมโดยตกลงให้ค่าจ้างเหมาแก่จำเลย รวมทั้งค่าเสียหายซึ่งโจทก์จะต้องใช้ให้แก่บุคคลนั้นตามคำพิพากษาหรือสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเงิน120,000 บาท โจทก์ได้มอบเงินให้จำเลยไปแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยขัดแย้งกันโจทก์จึงถอนจำเลยจากการเป็นทนายและตั้งทนายใหม่ ในที่สุดโจทก์กับบุคคลที่ฟ้องโจทก์นั้นทำยอมความกัน โดยบุคคลนั้นยอมรับเงินจากโจทก์ 170,000 บาท เมื่อโจทก์ชำระแล้วได้ให้ทนายแจ้งให้จำเลยนำเงินจำนวนนี้มาชำระให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยกลับเพิกเฉย เนื่องจากสัญญาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในสารสำคัญ เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างเหมาว่าความที่จำเลยรับไปคืนให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแล้ว แม้ตอนแรกกล่าวเป็นทำนองจะขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างว่าความตามสัญญาก็ตาม แต่ในตอนท้ายกลับอ้างว่าสัญญาเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินให้โจทก์ทั้งสิ้น จึงเป็นคำฟ้องที่มีประเด็นเฉพาะเรื่องฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความคืนโดยอ้างเหตุว่าสัญญาเป็นโมฆะแต่เพียงประการเดียวไม่มีประเด็นเรื่องฟ้องเรียกเงินค่าจ้างว่าความคืนตามสัญญา
เมื่อฟ้องของโจทก์มีประเด็นเพียงว่าสัญญาเป็นโมฆะ จึงขอเงินค่าจ้างที่จ่ายไปแล้วคืนจากจำเลย แต่ศาลล่างวินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่าสัญญาไม่เป็นโมฆะ และประเด็นข้อนี้ไม่มีการฎีกาโต้แย้ง ฉะนั้นสัญญาเป็นโมฆะหรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นในชั้นฎีกา ฟ้องของโจทก์ซึ่งเรียกค่าจ้างว่าความคืนจากจำเลยเพราะสัญญาจ้างว่าความเป็นโมฆะ จึงเป็นอันตกไป
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2-6/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 853/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาชำระหนี้และการสละสิทธิยึดหน่วง การรับสภาพหนี้ทำให้ อายุความสะดุดหยุดลง
จำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์แก้ไขปรับปรุงเครื่องปรับอากาศของจำเลยด้วยสัมภาระของโจทก์ โดยชำระสินจ้างให้โจทก์แล้วบางส่วน นอกนั้นจะชำระเมื่องานเสร็จ โจทก์ลงมือแก้ไขปรับปรุงเครื่องปรับอากาศนั้นแล้ว แต่ทำความเย็นไม่ได้ตามที่กำหนดในสัญญาจ้างจำเลยแจ้งให้โจทก์แก้ไข ก็แก้ไขไม่สำเร็จ จนจำเลยต้องจ้างผู้อื่นแก้ไขต่อมาจำเลยได้ทำสัญญากับโจทก์ขอผ่อนชำระสินจ้างที่ค้างชำระเป็นสี่งวดหากผิดนัดยอมเสียดอกเบี้ยให้ด้วยจำเลยชำระงวดแรกแล้วอีกสามงวดไม่ยอมชำระโดยอ้างว่าโจทก์ไม่แก้ไขเครื่องปรับอากาศให้ทำความเย็นได้ตามสัญญาจ้างสัญญาที่จำเลยทำกับโจทก์ครั้งหลังนี้ ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความเพราะมิได้กล่าวถึงเรื่องค่าเสียหายในการผิดสัญญาจ้างเป็นแต่เพียงความตกลงในการชำระหนี้เท่านั้นสิทธิและความรับผิดของโจทก์จำเลยซึ่งมีอยู่ต่อกันตามสัญญาจ้างยังไม่ระงับสิ้นไปสัญญาตกลงชำระหนี้ไม่ปิดปากจำเลยมิให้โต้เถียงว่าเครื่องปรับอากาศซึ่งโจทก์รับจ้างติดตั้งชำรุดบกพร่องทำความเย็นไม่ได้ตามที่กำหนด ซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดชอบ
แม้โจทก์แก้ไขปรับปรุงเครื่องปรับอากาศทำความเย็นไม่ได้ตามที่กำหนดในสัญญาจ้างโจทก์พยายามแก้ไข แต่แก้ไขไม่สำเร็จจนจำเลยต้องจ้างผู้อื่นแก้ไขซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดชอบแต่เมื่อโจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระสินจ้างที่ค้างชำระแทนที่จำเลยจะใช้สิทธิยึดหน่วงสินจ้างไว้ก่อนจนกว่าโจทก์จะแก้ไขความชำรุดบกพร่องสำเร็จจำเลยกลับยอมทำสัญญาตกลงจะผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์ถือได้ว่าจำเลยสละสิทธิยึดหน่วงที่จำเลยมีอยู่เสียแล้วจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระสินจ้างตามสัญญาตกลงชำระหนี้นั้น
จำเลยเชิดบุคคลหนึ่งให้มีอำนาจทำการแทนบริษัทจำเลยได้ เมื่อบุคคลนั้นทำสัญญาในนามจำเลยตกลงจะผ่อนชำระหนี้ให้โจทก์สัญญานั้นย่อมสมบูรณ์ผูกพันจำเลยจำเลยจะยกเอาข้อบังคับของบริษัทมายันโจทก์หรือบุคคลภายนอกไม่ได้
การที่จำเลยทำสัญญากับโจทก์ยอมตกลงจะผ่อนชำระหนี้สินจ้างที่ค้างชำระให้แก่โจทก์เป็นงวดๆ นั้นย่อมเป็นการรับสภาพหนี้ อันมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง
(ข้อกฎหมายตามวรรคแรก วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่9/2512)
of 61