คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 587

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 604 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 492/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างทนายลักษณะแบ่งส่วนทรัพย์สินขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม ทำให้สัญญาเป็นโมฆะ
สัญญาจ้างว่าความซึ่งมีข้อความว่า ฟ้องเรียกทรัพย์สินเป็นมูลค่าประมาณ 24 ล้านบาท ขอคิดค่าจ้างรวมเป็นเงิน 12 ล้านบาท ถ้าเรียกร้องได้มากกว่านี้ก็ไม่เพิ่มขึ้นนั้น แม้จะเป็นการกำหนดค่าจ้างไว้ครึ่งหนึ่งของจำนวนทุนทรัพย์ที่จะฟ้องเรียกร้องจากจำเลยก็ตาม แต่ข้อความที่เขียนต่อไปว่า "แต่ถ้าได้น้อยกว่าที่กะประมาณไว้นี้ ให้ลดลงตามส่วนจำนวนเงินที่ได้มา" ดังนี้ เป็นการแสดงอยู่ว่า ถ้าศาลตัดสินให้น้อยกว่าจำนวนเงินที่ฟ้อง ทนายก็จะเรียกค่าจ้างเอาครึ่งหนึ่งของจำนวนทุนทรัพย์ที่ศาลตัดสินให้เสมอไป จึงเป็นการทำสัญญาเรียกค่าจ้างว่าความโดยวิธีแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้แก่คู่ความนั่นเอง นอกจากนี้ตามพฤติการณ์ในเรื่องก็เห็นได้ชัดว่าทนายจัดทำสัญญาตลอดจนปฏิบัติต่อสู้ความ ได้กระทำไปเกินขอบเขตแห่งความเป็นธรรมอยู่มาก สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องจึงเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ. 2477 มาตรา 12 อนุมาตรา 2 และขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญาตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 492/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างทนายที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม เนื่องจากมีการแบ่งส่วนจากทรัพย์สินพิพาท ทำให้สัญญาเป็นโมฆะ
สัญญาจ้างว่าความซึ่งมีข้อความว่า ฟ้องเรียกทรัพย์สินเป็นมูลค่าประมาณ 24 ล้านบาท. ขอคิดค่าจ้างรวมเป็นเงิน 12ล้านบาท. ถ้าเรียกร้องได้มากกว่านี้ก็ไม่เพิ่มขึ้นนั้น. แม้จะเป็นการกำหนดค่าจ้างไว้ครึ่งหนึ่งของจำนวนทุนทรัพย์ที่จะฟ้องเรียกร้องจากจำเลยก็ตาม. แต่ข้อความที่เขียนต่อไปว่า 'แต่ถ้าได้น้อยกว่าที่กะประมาณไว้นี้ ให้ลดลงตามส่วนจำนวนเงินที่ได้มา'. ดังนี้ เป็นการแสดงอยู่ว่าถ้าศาลตัดสินให้น้อยกว่าจำนวนเงินที่ฟ้องทนายก็จะเรียกค่าจ้างเอาครึ่งหนึ่งของจำนวนทุนทรัพย์ที่ศาลตัดสินให้เสมอไป. จึงเป็นการทำสัญญาเรียกค่าจ้างว่าความโดยวิธีแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่เป็นมูลพิพาทอันจะพึงได้แก่คู่ความนั่นเอง. นอกจากนี้ตามพฤติการณ์ในเรื่องก็เห็นได้ชัดว่าทนายจัดทำสัญญาตลอดจนปฏิบัติต่อสู้ความ ได้กระทำไปเกินขอบเขตแห่งความเป็นธรรมอยู่มาก. สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องจึงเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ พ.ศ.2477 มาตรา 12 อนุมาตรา 2. และขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน. สัญญาตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113. โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับมอบอาคารโดยชอบของบุคคลภายนอก ผู้รับเหมาช่วงไม่มีสิทธิเรียกร้องละเมิด
จำเลยจ้างเหมา ม.ปลูกสร้างโรงเรียนในที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครอง โจทก์เป็นผู้รับเหมาช่วงจาก ม. เมื่อ ม. คู่สัญญาจำเลยได้มอบอาคารพิพาทซึ่งก่อสร้างให้แก่จำเลยเป็นลายลักษณ์อักษรตามข้อตกลงในหนังสือสัญญาที่ทำไว้ต่อกัน จึงเป็นการที่จำเลยรับมอบอาคารพิพาทไว้โดยชอบ และย่อมเป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิใช้อาคารได้โดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยเข้าใช้อาคารพิพาทจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ ส่วนการที่ ม. ได้ทำสัญญากับโจทก์เกี่ยวกับอาคารพิพาทนั้น เป็นเรื่องระหว่าง ม. กับโจทก์เท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกด้วย เมื่อ ม. ทำผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ โจทก์ก็ต้องฟ้องร้องว่ากล่าวเอาแก่ ม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองอาคารพิพาทโดยชอบ ผู้รับเหมาช่วงไม่มีสิทธิเรียกร้องต่อผู้ว่าจ้างเหมาช่วง
จำเลยจ้างเหมา ม. ปลูกสร้างโรงเรียนในที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครอง โจทก์เป็นผู้รับเหมาช่วงจาก ม.เมื่อ ม. คู่สัญญาจำเลยได้มอบอาคารพิพาทซึ่งก่อสร้างให้แก่จำเลยเป็นลายลักษณ์อักษรตามข้อตกลงในหนังสือสัญญาที่ทำไว้ต่อกันจึงเป็นการที่จำเลยรับมอบอาคารพิพาทไว้โดยชอบ และย่อมเป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิใช้อาคารได้โดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยเข้าใช้อาคารพิพาทจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ส่วนการที่ ม. ได้ทำสัญญากับโจทก์เกี่ยวกับอาคารพิพาทนั้น เป็นเรื่องระหว่าง ม. กับโจทก์เท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกด้วย เมื่อ ม. ทำผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์โจทก์ก็ต้องฟ้องร้องว่ากล่าวเอาแก่ ม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับมอบอาคารพิพาทโดยชอบจากผู้รับเหมาช่วง แม้ไม่ได้ทำสัญญากับผู้รับเหมาหลัก ไม่ถือเป็นการละเมิด
จำเลยจ้างเหมา ม. ปลูกสร้างโรงเรียนในที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครอง. โจทก์เป็นผู้รับเหมาช่วงจาก ม.. เมื่อม. คู่สัญญาจำเลยได้มอบอาคารพิพาทซึ่งก่อสร้างให้แก่จำเลยเป็นลายลักษณ์อักษรตามข้อตกลงในหนังสือสัญญาที่ทำไว้ต่อกัน. จึงเป็นการที่จำเลยรับมอบอาคารพิพาทไว้โดยชอบ และย่อมเป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิใช้อาคารได้โดยชอบด้วยกฎหมาย. การที่จำเลยเข้าใช้อาคารพิพาทจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์.ส่วนการที่ ม. ได้ทำสัญญากับโจทก์เกี่ยวกับอาคารพิพาทนั้น เป็นเรื่องระหว่าง ม. กับโจทก์เท่านั้น. ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกด้วย. เมื่อ ม.ทำผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์. โจทก์ก็ต้องฟ้องร้องว่ากล่าวเอาแก่ ม..

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างทำของ พ้นวิสัยจากเหตุเจ้าหนี้จำเลยยึดทรัพย์ และการบอกเลิกสัญญา
โจทก์จ้างจำเลยต่อเรือ เป็นสัญญาจ้างทำของจำเลยผู้รับจ้างมีหน้าที่ทำเรือให้เสร็จภายในกำหนดตามสัญญาโจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างก็จะต้องให้สินจ้างแก่จำเลยเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น เมื่อในสัญญาไม่ปรากฏว่าโจทก์จะต้องชำระสินจ้างให้จำเลยครบถ้วนก่อนวันที่ได้กำหนดตามสัญญา โจทก์จะพึงใช้สินจ้างแก่จำเลยก็ต่อเมื่อได้รับมอบเรือที่ได้ทำเสร็จเรียบร้อยในวันครบกำหนดเท่านั้น
จำเลยไม่สามารถส่งมอบเรือให้แก่โจทก์ในวันครบกำหนดตามสัญญา เนื่องจากเรือพิพาทถูกเจ้าหนี้จำเลยในคดีอื่นนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดการชำระหนี้ของจำเลยจึงตกเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายจำเลยต้องรับผิดชอบทั้งโจทก์ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับเรือลำอื่นแทนซึ่งยังต่อได้น้อยกว่าเรือพิพาท และได้ขอเงินมัดจำคืนจากจำเลยทั้งยังได้นำคดีมาฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยหลังจากวันครบกำหนดตามสัญญาเพียง 4 วัน ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว จำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างทำของ พ้นวิสัยจากเหตุผู้รับจ้างก่อหนี้ การบอกเลิกสัญญา และการคืนเงินมัดจำ
โจทก์จ้างจำเลยต่อเรือ. เป็นสัญญาจ้างทำของจำเลยผู้รับจ้างมีหน้าที่ทำเรือให้เสร็จภายในกำหนดตามสัญญา. โจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างก็จะต้องให้สินจ้างแก่จำเลยเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น. เมื่อในสัญญาไม่ปรากฏว่าโจทก์จะต้องชำระสินจ้างให้จำเลยครบถ้วนก่อนวันที่ได้กำหนดตามสัญญา. โจทก์จะพึงใช้สินจ้างแก่จำเลยก็ต่อเมื่อได้รับมอบเรือที่ได้ทำเสร็จเรียบร้อยในวันครบกำหนดเท่านั้น.
จำเลยไม่สามารถส่งมอบเรือให้แก่โจทก์ในวันครบกำหนดตามสัญญา. เนื่องจากเรือพิพาทถูกเจ้าหนี้จำเลยในคดีอื่นนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึด. การชำระหนี้ของจำเลยจึงตกเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายจำเลยต้องรับผิดชอบ.ทั้งโจทก์ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับเรือลำอื่นแทน. ซึ่งยังต่อได้น้อยกว่าเรือพิพาท และได้ขอเงินมัดจำคืนจากจำเลยทั้งยังได้นำคดีมาฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยหลังจากวันครบกำหนดตามสัญญาเพียง 4 วัน ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว. จำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(3).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างทำของ การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย และการบอกเลิกสัญญา
โจทก์จ้างจำเลยต่อเรือ เป็นสัญญาจ้างทำของจำเลยผู้รับจ้างมีหน้าที่ทำเรือให้เสร็จภายในกำหนดตามสัญญา โจทก์ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างก็จะต้องให้สินจ้างแก่จำเลยเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น เมื่อในสัญญาไม่ปรากฏว่าโจทก์จะต้องชำระสินจ้างให้จำเลยครบถ้วนก่อนวันที่ได้กำหนดตามสัญญา โจทก์จะพึงใช้สินจ้างแก่จำเลยก็ต่อเมื่อได้รับมอบเรือที่ได้ทำเสร็จเรียบร้อยในวันครบกำหนดเท่านั้น
จำเลยไม่สามารถส่งมอบเรือให้แก่โจทก์ในวันครบกำหนดตามสัญญา เนื่องจากเรือพิพาทถูกเจ้าหนี้จำเลยในคดีอื่นนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึด การชำระหนี้ของจำเลยจึงตกเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายจำเลยต้องรับผิดชอบ ทั้งโจทก์ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับเรือลำอื่นแทน ซึ่งยังต่อได้น้อยกว่าเรือพิพาท และได้ขอเงินมัดจำคืนจากจำเลยทั้งยังได้นำคดีมาฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนจากจำเลยหลังจากวันครบกำหนดตามสัญญาเพียง 4 วัน ถือได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว จำเลยต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378 (3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1454/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าจ้างทนาย: การกำหนดค่าจ้างที่สมเหตุสมผล และการคิดดอกเบี้ยเมื่อผิดนัดชำระ
ที่ดินที่ตกลงให้เป็นค่าจ้างว่าความเป็นที่ดินที่อยู่นอกที่พิพาทจึงมิใช่เป็นการเรียกร้องเอาค่าจ้างจากส่วนแบ่งในที่ดินที่พิพาทไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
เงินค่าจ้างว่าความเป็นหนี้เงินตามกฎหมาย เมื่อทนายผู้รับจ้างทวงถามให้ชำระผู้ว่าจ้างไม่ชำระ ผู้ว่าจ้างตกเป็นผู้ผิดนัด ต้องเสียดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
ศาลมีอำนาจที่จะพิจารณากำหนดค่าจ้างว่าความให้ตามสมควรแก่กิจการที่กระทำไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1176/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซ่อมรถจ้างทำของ: ผู้ว่าจ้างไม่ต้องรับผิดต่อการละเมิดของช่างซ่อม
เจ้าของรถยนต์นำรถยนต์ไปซ่อมที่อู่ซ่อมรถแล้วเจ้าของรถยนต์วานให้ช่างซ่อมรถขับรถคันนั้นไปส่งที่อื่น เมื่อส่งเสร็จแล้วช่างซ่อมรถขับรถกลับอู่ไปเกิดชนกับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายระหว่างทาง ดังนี้ ช่างซ่อมรถไม่ได้เป็นตัวแทนหรือเป็นลูกจ้างของเจ้าของรถยนต์ เจ้าของรถยนต์ไม่ต้องร่วมรับผิดในการละเมิดนั้น
สัญญาจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 นั้น ผู้รับจ้างตกลงจะทำงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่ผู้ว่าจ้าง โดยผู้รับจ้างไม่ได้อยู่ในความควบคุมบังคับบัญชาของผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างไม่มีสิทธิจะสั่งงานหรือบงการแก่ผู้รับจ้าง
of 61