พบผลลัพธ์ทั้งหมด 384 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 906/2490
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าและค่าเสียหายพิเศษ: ผู้ให้เช่าต้องรับผิดชอบหากผู้เช่าไม่ทราบเรื่องอุทิศถวายวัด แม้สัญญาจะยังไม่ได้เริ่มใช้
ทำสัญญาให้ผู้อื่นเช่าตึกของตนซึ่งได้อุทิศถวายเป็นของวัดแล้ว แต่ผู้เช่าไม่รู้เรื่องถวายวัด เมื่อทางวัดไม่ยินยอมให้เช่า ตนจึงต้องบอกเลิกการเช่าเสียก่อนที่ผู้เช่าได้เข้ามาใช้สถานที่ตามสัญญานั้น ผู้ให้เช่าต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เช่าที่ต้องเสียหายไปในการบูรณะดัดแปลงตึกนั้น
ผลกำไรอันจะได้จากการใช้ทรัพย์ที่เช่านั้น นับว่าเป็นค่าเสียหาย อันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ ถ้าผู้เช่ามิได้คาดเห็น หรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์พิเศษเช่นนั้นล่วงหน้าแล้ว ผู้ให้เช่าก็ไม่ต้องรับผิด
ผลกำไรอันจะได้จากการใช้ทรัพย์ที่เช่านั้น นับว่าเป็นค่าเสียหาย อันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ ถ้าผู้เช่ามิได้คาดเห็น หรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์พิเศษเช่นนั้นล่วงหน้าแล้ว ผู้ให้เช่าก็ไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 906/2490 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าและผลกระทบจากการอุทิศทรัพย์สินให้วัด ผู้ให้เช่าต้องรับผิดเมื่อผู้เช่าเสียหายจากเหตุพิเศษ
ทำสัญญาให้ผู้อื่นเช่าตึกของตน ซึ่งได้อุทิศถวายเป็นของวัดแล้วแต่ผู้เช่าไม่รู้เรื่องถวายวัด เมื่อทางวัดไม่ยินยอมให้เช่า ตนจึงต้องบอกเลิกการเช่าเสียก่อนที่ผู้เช่าได้เขามาใช้สถานที่ตามสัญญานั้น ผู้ให้เช่าต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เช่าที่ต้องเสียหายไปในการบูรณะดัดแปลงตึกนั้น
ผลกำไรอันจะได้จากการใช้ทรัพย์ที่เช่านั้น นับว่าเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ ถ้าผู้เช่ามิได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์พิเศษเช่นนั้นล่วงหน้าแล้ว ผู้ให้เช่าก็ไม่ต้องรับผิด
ผลกำไรอันจะได้จากการใช้ทรัพย์ที่เช่านั้น นับว่าเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ ถ้าผู้เช่ามิได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์พิเศษเช่นนั้นล่วงหน้าแล้ว ผู้ให้เช่าก็ไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 874/2490 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผิดสัญญาซื้อขายที่ดิน การเพิกถอนการโอน และค่าเสียหายที่เพิ่มขึ้น
ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันไว้แล้ว ต่อมาตกลงกันให้ผู้อื่นเป็นผู้ซื้อดังนี้ถือว่าเลิกสัญญาเดิม และเกิดสัญญาขึ้นใหม่ตามที่ตกลงกันนั้น
ปรากฎว่าเจ้าพนักงานที่ดินไม่ทำการโอนที่ดินให้ อีกฝ่ายหนึ่งยังร้องเรียนต่อไปเพื่อทำการโอนดังนี้ยังไม่ถือว่าการชำระหนี้เป็นการพ้นวิสัยอันจะทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นตาม มาตรา 219
ในเรื่องฟ้องขอให้บังคับผู้ขายทำการโอนที่ดินและปรากฎว่าผู้ขายโอนให้แก่ผู้อื่นแล้วนั้น ถ้าหากว่าเพิกถอนการโอนนั้นได้ ก็ถือว่าสภาพแห่งหนี้เปิดช่องให้บังคับตามมาตรา 213 ถ้าเพิกถอนไม่ได้สภาพแห่งหนี้ก็ไม่เปิดช่องในบังคับตามาตรา 213
ตาม ม. 1336 และรัฐธรรมนูญ นั้น เจ้าของย่อมมีสิทธิจำหน่ายทรัพย์สินของตน เว้นแต่จะมีกฎหมายห้าม
เจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจที่จะไม่ยอมทำการโอนที่ดินตามสัญญาซื้อขายในเมื่อเขาร้องขอทำการโอน ตามความพอใจของตน นอกจากเป็นการไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน ม. 41(ข)
ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินไว้กับตน แล้วเอาไปโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 - 3 ดังนี้ ไม่ถือว่า เป็นการฟ้องว่าจำเลยโอนกันโดยการฉ้อฉล เป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบตาม ม. 237
ผู้ที่ฟ้องขอให้เพิกถอนตาม ม. 1300 จะต้องแสดงว่าตนอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ตามมาตรานี้ เพียงแต่ได้ความว่า ได้ทำสัญญาจะซื้อขายและวางมัดจำไว้ ไม่เรียกว่าอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ตกมาตรา 1300
เอาที่ดินซึ่งทำสัญญาจะซื้อขายให้คนหนึ่งไปโอนให้อีกคนหนึ่ง ผู้โอนย่อมได้ชื่อว่าผิดสัญญาต่อผู้ซื้อคนแรก ซึ่งจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายฐานผิดสัญญา
รับโอนที่ดินซึ่งผู้ขายทำสัญญาจะขายกับเขาไว้แล้ว แล้วผิดสัญญากับเขามาโอนให้แก่ตน ถ้าหากผู้ซื้อคนแรกฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนไม่ได้แล้ว ผู้ซื้อคนหลังไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของผู้ซื้อคนแรก
ทำสัญญาขายที่ดินกับเขาไว้แล้วผิดสัญญาไปโอนขายให้ผู้อื่น ศาลบังคับให้ผู้ขายใช้ค่าเสียหายได้เท่าจำนวนเงินที่ไปขายได้เงินสูงขึ้น
ปรากฎว่าเจ้าพนักงานที่ดินไม่ทำการโอนที่ดินให้ อีกฝ่ายหนึ่งยังร้องเรียนต่อไปเพื่อทำการโอนดังนี้ยังไม่ถือว่าการชำระหนี้เป็นการพ้นวิสัยอันจะทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นตาม มาตรา 219
ในเรื่องฟ้องขอให้บังคับผู้ขายทำการโอนที่ดินและปรากฎว่าผู้ขายโอนให้แก่ผู้อื่นแล้วนั้น ถ้าหากว่าเพิกถอนการโอนนั้นได้ ก็ถือว่าสภาพแห่งหนี้เปิดช่องให้บังคับตามมาตรา 213 ถ้าเพิกถอนไม่ได้สภาพแห่งหนี้ก็ไม่เปิดช่องในบังคับตามาตรา 213
ตาม ม. 1336 และรัฐธรรมนูญ นั้น เจ้าของย่อมมีสิทธิจำหน่ายทรัพย์สินของตน เว้นแต่จะมีกฎหมายห้าม
เจ้าพนักงานที่ดินไม่อาจที่จะไม่ยอมทำการโอนที่ดินตามสัญญาซื้อขายในเมื่อเขาร้องขอทำการโอน ตามความพอใจของตน นอกจากเป็นการไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน ม. 41(ข)
ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินไว้กับตน แล้วเอาไปโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 - 3 ดังนี้ ไม่ถือว่า เป็นการฟ้องว่าจำเลยโอนกันโดยการฉ้อฉล เป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบตาม ม. 237
ผู้ที่ฟ้องขอให้เพิกถอนตาม ม. 1300 จะต้องแสดงว่าตนอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ตามมาตรานี้ เพียงแต่ได้ความว่า ได้ทำสัญญาจะซื้อขายและวางมัดจำไว้ ไม่เรียกว่าอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ตกมาตรา 1300
เอาที่ดินซึ่งทำสัญญาจะซื้อขายให้คนหนึ่งไปโอนให้อีกคนหนึ่ง ผู้โอนย่อมได้ชื่อว่าผิดสัญญาต่อผู้ซื้อคนแรก ซึ่งจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายฐานผิดสัญญา
รับโอนที่ดินซึ่งผู้ขายทำสัญญาจะขายกับเขาไว้แล้ว แล้วผิดสัญญากับเขามาโอนให้แก่ตน ถ้าหากผู้ซื้อคนแรกฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนไม่ได้แล้ว ผู้ซื้อคนหลังไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของผู้ซื้อคนแรก
ทำสัญญาขายที่ดินกับเขาไว้แล้วผิดสัญญาไปโอนขายให้ผู้อื่น ศาลบังคับให้ผู้ขายใช้ค่าเสียหายได้เท่าจำนวนเงินที่ไปขายได้เงินสูงขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 874/2490
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขาย, การผิดสัญญา, และการเพิกถอนการโอนที่ดิน: ศาลฎีกาวินิจฉัยสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันไว้แล้วต่อมาตกลงกันให้ผู้อื่นเป็นผู้ซื้อดังนี้ ถือว่าเลิกสัญญาเดิม และเกิดสัญญาขึ้นใหม่ตามที่ตกลงกันนั้น
ปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินไม่ทำการโอนที่ดินให้ อีกฝ่ายหนึ่งยังร้องเรียนต่อไปเพื่อทำการโอน ดังนี้ ยังไม่ถือว่าการชำระหนี้เป็นการพ้นวิสัยอันจะทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นตาม มาตรา 219
ในเรื่องฟ้องขอให้บังคับผู้ขายทำการโอนที่ดินและปรากฏว่าผู้ขายโอนให้แก่ผู้อื่นแล้วนั้น ถ้าหากว่าเพิกถอนการโอนนั้นได้ ก็ถือว่าสภาพแห่งหนี้เปิดช่องให้บังคับตาม มาตรา 213 ถ้าเพิกถอนไม่ได้สภาพแห่งหนี้ก็ไม่เปิดช่องให้บังคับตาม มาตรา 213
ตามมาตรา 1336 และรัฐธรรมนูญนั้น เจ้าของย่อมมีสิทธิจำหน่ายทรัพย์สินของตน เว้นแต่จะมีกฎหมายห้าม
เจ้าพนักงานที่ดินไม่มีอำนาจที่จะไม่ยอมทำการโอนที่ดินตามสัญญาซื้อขายในเมื่อเขาร้องขอทำการโอนตามความพอใจของตนนอกจากเป็นการไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน มาตรา 41(ข)
ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินไว้กับตนแล้วเอาไปโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2-3 ดังนี้ไม่ถือว่า เป็นการฟ้องว่าจำเลยโอนกันโดยการฉ้อฉล เป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบตาม มาตรา 237
ผู้ที่ฟ้องขอให้เพิกถอนตาม มาตรา 1300 จะต้องแสดงว่าตนอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ตามมาตรานี้ เพียงแต่ได้ความว่า ได้ทำสัญญาจะซื้อขายและวางมัดจำไว้ ไม่เรียกว่าอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ตาม มาตรา 1300
เอาที่ดินซึ่งทำสัญญาจะซื้อขายให้คนหนึ่งไปโอนให้อีกคนหนึ่งผู้โอนย่อมได้ชื่อว่าผิดสัญญาต่อผู้ซื้อคนแรก ซึ่งจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายฐานผิดสัญญา
รับโอนที่ดินซึ่งผู้ขายทำสัญญาจะขายกับเขาไว้แล้ว แล้วผิดสัญญากับเขามาโอนให้แก่ตน ถ้าหากผู้ซื้อคนแรกฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนไม่ได้แล้ว ผู้ซื้อคนหลังไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของผู้ซื้อคนแรก
ทำสัญญาขายที่ดินกับเขาไว้แล้วผิดสัญญาไปโอนขายให้ผู้อื่นศาลบังคับให้ผู้ขายใช้ค่าเสียหายได้เท่าจำนวนเงินที่ไปขายได้เงินสูงขึ้น
ปรากฏว่าเจ้าพนักงานที่ดินไม่ทำการโอนที่ดินให้ อีกฝ่ายหนึ่งยังร้องเรียนต่อไปเพื่อทำการโอน ดังนี้ ยังไม่ถือว่าการชำระหนี้เป็นการพ้นวิสัยอันจะทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นตาม มาตรา 219
ในเรื่องฟ้องขอให้บังคับผู้ขายทำการโอนที่ดินและปรากฏว่าผู้ขายโอนให้แก่ผู้อื่นแล้วนั้น ถ้าหากว่าเพิกถอนการโอนนั้นได้ ก็ถือว่าสภาพแห่งหนี้เปิดช่องให้บังคับตาม มาตรา 213 ถ้าเพิกถอนไม่ได้สภาพแห่งหนี้ก็ไม่เปิดช่องให้บังคับตาม มาตรา 213
ตามมาตรา 1336 และรัฐธรรมนูญนั้น เจ้าของย่อมมีสิทธิจำหน่ายทรัพย์สินของตน เว้นแต่จะมีกฎหมายห้าม
เจ้าพนักงานที่ดินไม่มีอำนาจที่จะไม่ยอมทำการโอนที่ดินตามสัญญาซื้อขายในเมื่อเขาร้องขอทำการโอนตามความพอใจของตนนอกจากเป็นการไม่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน มาตรา 41(ข)
ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินไว้กับตนแล้วเอาไปโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2-3 ดังนี้ไม่ถือว่า เป็นการฟ้องว่าจำเลยโอนกันโดยการฉ้อฉล เป็นเหตุให้โจทก์เสียเปรียบตาม มาตรา 237
ผู้ที่ฟ้องขอให้เพิกถอนตาม มาตรา 1300 จะต้องแสดงว่าตนอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ตามมาตรานี้ เพียงแต่ได้ความว่า ได้ทำสัญญาจะซื้อขายและวางมัดจำไว้ ไม่เรียกว่าอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ตาม มาตรา 1300
เอาที่ดินซึ่งทำสัญญาจะซื้อขายให้คนหนึ่งไปโอนให้อีกคนหนึ่งผู้โอนย่อมได้ชื่อว่าผิดสัญญาต่อผู้ซื้อคนแรก ซึ่งจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายฐานผิดสัญญา
รับโอนที่ดินซึ่งผู้ขายทำสัญญาจะขายกับเขาไว้แล้ว แล้วผิดสัญญากับเขามาโอนให้แก่ตน ถ้าหากผู้ซื้อคนแรกฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนไม่ได้แล้ว ผู้ซื้อคนหลังไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของผู้ซื้อคนแรก
ทำสัญญาขายที่ดินกับเขาไว้แล้วผิดสัญญาไปโอนขายให้ผู้อื่นศาลบังคับให้ผู้ขายใช้ค่าเสียหายได้เท่าจำนวนเงินที่ไปขายได้เงินสูงขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2490
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตกลงใหม่หลังผิดสัญญาเดิม ทำให้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการผิดสัญญาเดิมสิ้นสุด และเงินมัดจำต้องคืน
เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาไม่ส่งของภายในกำหนดแล้วอีกฝ่ายหนึ่งมิได้บอกเลิกกลับรับเอาการปฏิบัติตามสัญญานั้นอีก ดังนี้ ถือว่ามีข้อตกลงกันใหม่ ยกเลิกสัญญาเดิม คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะเรียกร้องให้ใช้ค่าทดแทนเนื่องในการผิดสัญญาเดิมนั้นอีกไม่ได้
สัญญาเดิมมีข้อความตกลงเรื่องมัดจำไว้ เมื่อคู่สัญญาเปลี่ยนข้อตกลงกันใหม่ โดยไม่ได้กล่าวถึงเงินมัดจำและไม่ปรากฏว่าผู้รับมัดจำมีสิทธิยึดมัดจำไว้แล้ว เงินมัดจำนั้นก็ต้องคืน
สัญญาเดิมมีข้อความตกลงเรื่องมัดจำไว้ เมื่อคู่สัญญาเปลี่ยนข้อตกลงกันใหม่ โดยไม่ได้กล่าวถึงเงินมัดจำและไม่ปรากฏว่าผู้รับมัดจำมีสิทธิยึดมัดจำไว้แล้ว เงินมัดจำนั้นก็ต้องคืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 76/2489 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตกลงชำระหนี้เป็นเงินย่อมมีผลผูกพัน ไม่อาจเรียกร้องเป็นทองคืนได้
ยืมทองรูปพรรณไปแล้วเอาไปจำนำหลุด ผู้ยืมยอมใช้ราคาให้ผู้ให้ยืม ผู้ให้ยืมยอมตกลงดังนี้ ผู้ให้ยืมจะมาฟ้องขอให้คืนทองที่ยืมหรือใช้ราคาในปัจจุบันไม่ได้ ได้แต่ให้ใช้ราคาทองในเวลาที่ที่มาบอกกล่าวและตกลงกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 76/2489
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตกลงชำระหนี้เป็นเงิน: สิทธิเรียกร้องคืนทองหรือราคาทองปัจจุบันย่อมสิ้นสุดลงเมื่อมีการตกลงใหม่
ยืมทองรูปพรรณไปแล้วเอาไปจำนำหลุด ผู้ยืมยอมใช้ราคาให้ผู้ให้ยืม ผู้ให้ยืมยอมตกลง ดังนี้ ผู้ให้ยืมจะมาฟ้องขอให้คืนทองที่ยืมหรือใช้ราคาในปัจจุบันไม่ได้ ได้แต่ให้ใช้ราคาทองในเวลาที่ที่มาบอกกล่าวและตกลงกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2489 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากการไม่ส่งมอบทรัพย์ ผู้ซื้อมีสิทธิซื้อทดแทนและเรียกค่าส่วนต่างจากผู้ขาย
ในกรณีที่ผู้ขายไม่ส่งมอบทรัพย์ที่ขาย ถ้าผู้ซื้อต้องเสียค่าใช้จ่ายไปซื้อทรัพย์ชนิดนั้นจากผู้อื่นเท่าไร ผู้ขายต้องรับผิดใช้เงินที่เกินจากราคาที่ตกลงซื้อขายกันให้แก่ผู้ซื้อ
พฤตติการณ์ที่ศาลรับฟังสำหรับกำหนดค่าเสียหาย
พฤตติการณ์ที่ศาลรับฟังสำหรับกำหนดค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2489
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาซื้อขาย: คำนวณจากส่วนต่างราคาและหักเฉพาะค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล
ในกรณีที่ผู้ขายไม่ส่งมอบทรัพย์ที่ขาย ถ้าผู้ซื้อต้องเสียค่าใช้จ่ายไปซื้อทรัพย์ชนิดนั้นจากผู้อื่นเท่าไรผู้ขายต้องรับผิดใช้เงินที่เกินจากราคาที่ตกลงซื้อขายกันให้แก่ผู้ซื้อ
พฤติการณ์ที่ศาลรับฟังสำหรับกำหนดค่าเสียหาย
พฤติการณ์ที่ศาลรับฟังสำหรับกำหนดค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1015/2487 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายผิดสัญญาซื้อขายต้องคำนวณจากราคา ณ เวลาผิดสัญญา โจทก์มีหน้าที่นำสืบค่าเสียหาย
ค่าเสียหายฐานผิดสัญญาซื้อขายนั้นต้องคำนวณเอาจากวันที่ผิดสัญญา
ถ้าโจทก์นำสืบค่าเสียหายให้แน่นอนไม่ได้ ศาลก็กำหนดให้ตามจำนวนที่เห็นสมควร
โจทก์ฟ้องค่าเสียหายฐานผิดสัญญา จำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้ผิดสัญญา แม้ไม่กล่าวถึงค่าเสียหายโจทก์ก็ต้องนำสืบถึงจำนวนค่าเสียหาย
ถ้าโจทก์นำสืบค่าเสียหายให้แน่นอนไม่ได้ ศาลก็กำหนดให้ตามจำนวนที่เห็นสมควร
โจทก์ฟ้องค่าเสียหายฐานผิดสัญญา จำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้ผิดสัญญา แม้ไม่กล่าวถึงค่าเสียหายโจทก์ก็ต้องนำสืบถึงจำนวนค่าเสียหาย