คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 321 วรรคสาม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 24 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5133/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยเช็คใหม่แทนเช็คเดิม และผลกระทบต่อความรับผิดของลูกหนี้ร่วมและผู้ค้ำประกัน
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดเช็คกับโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาเช็คที่นำมาขายลดถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน การที่จำเลยนำเช็คฉบับใหม่มาชำระหนี้ตามมูลหนี้ที่มาจากสัญญาขายลดเช็ค โดยไม่ได้เป็นการขายลดเช็คกับโจทก์ตามสัญญาเดิม และโจทก์ยอมรับเอาเช็คดังกล่าวเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค เช่นนี้ จึงเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้เป็นเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 321 วรรคสาม เมื่อเช็คฉบับใหม่เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาขายลดเช็คและสัญญาค้ำประกันอันเป็นมูลหนี้เดิม
โจทก์ฟ้องคดีโดยอาศัยมูลหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คและสัญญาค้ำประกันจึงมีอายุความ 10 ปี
แม้จำเลยที่ 2 ที่ 3 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา แต่เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามต้องร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์น้อยกว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาศาลฎีกาก็มี อำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ที่ 3 ด้วย เพราะเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1), 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5133/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ด้วยเช็คใหม่แทนของเดิม และผลกระทบต่อความรับผิดของลูกหนี้ร่วมและผู้ค้ำประกัน
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาขายลดเช็คกับโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3ทำสัญญาค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาเช็คที่นำมาขายลดถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน การที่จำเลยนำเช็คฉบับใหม่มาชำระหนี้ตามมูลหนี้ที่มาจากสัญญาขายลดเช็ค โดยไม่ได้เป็นการขายลดเช็คกับโจทก์ตามสัญญาเดิม และโจทก์ยอมรับเอาเช็คดังกล่าวเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาขายลดเช็ค เช่นนี้ จึงเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้เป็นเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม เมื่อเช็คฉบับใหม่เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาขายลดเช็คและสัญญาค้ำประกันอันเป็นมูลหนี้เดิม โจทก์ฟ้องคดีโดยอาศัยมูลหนี้ตามสัญญาขายลดเช็คและสัญญาค้ำประกัน จึงมีอายุความ 10 ปี แม้จำเลยที่ 2 ที่ 3 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา แต่เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามต้องร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์น้อยกว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ที่ 3 ด้วยเพราะเป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1),247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3428/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตั๋วสัญญาใช้เงิน, อาวัล, เช็คไม่ใช้เงิน, ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน, อัตราดอกเบี้ย
บริษัทจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ โดยจำเลยที่ 2ที่ 3 ร่วมกันลงชื่อเป็นผู้ออกตั๋วแล้วประทับตราของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ที่ 3 ยังลงชื่อไว้ในฐานะส่วนตัวภายใต้ข้อความว่าใช้ได้เป็นอาวัล ด้วยเมื่อโจทก์ทวงถามจำเลยที่ 1โดย ท.และส. ผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนได้สั่งจ่ายเช็คและประทับตราของจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คและ ท.กับส. ชำระเงินให้โจทก์เพียงบางส่วน หนี้ที่ยังค้างอยู่ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจึงยังไม่ระงับไปเพราะหนี้ที่ชำระด้วยเช็คจะระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อเช็คนั้นได้มีการใช้เงินครบถ้วนแล้ว ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม กรณีนี้ไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ เมื่อหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินยังไม่ระงับจำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันด้วยอาวัลจึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย ตั๋วสัญญาใช้เงินระบุไว้แต่เพียงว่า ดอกเบี้ยร้อยละ 14จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า ตามประเพณีการคิดดอกเบี้ยก็ต้องคิดเป็นอัตราร้อยละต่อปี โจทก์นำสืบว่าเป็นอัตราที่กำหนดไว้ต่อปี โดยจำเลยมิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นทั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ยังบัญญัติห้ามคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี ฉะนั้นที่ตั๋วสัญญาใช้เงินระบุดอกเบี้ยไว้ร้อยละ 14 จึงมีความหมายที่เข้าใจได้ว่าร้อยละ 14 ต่อปีไม่ใช่เป็นการไม่กำหนดอัตราที่จะต้องเสียดอกเบี้ยไว้ให้ชัดแจ้งอันจะต้องใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3428/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตั๋วสัญญาใช้เงิน, อาวัล, การชำระหนี้ด้วยเช็คไม่สมบูรณ์, ดอกเบี้ยต่อปี, ผู้ค้ำประกันต้องรับผิด
บริษัทจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันลงชื่อเป็นผู้ออกตั๋วแล้วประทับตราของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ยังลงชื่อไว้ในฐานะส่วนตัวภายใต้ข้อความว่าใช้ได้เป็นอาวัล ด้วย เมื่อโจทก์ทวงถามจำเลยที่ 1 โดย ท. และ ส. ผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อแทน ได้สั่งจ่ายเช็คและประทับตราของจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเช็คและ ท. กับ ส. ชำระเงินให้โจทก์เพียงบางส่วน หนี้ที่ยังค้างอยู่ตามตั๋วสัญญาใช้เงินจึงยังไม่ระงับไปเพราะหนี้ที่ชำระด้วยเช็คจะระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อเช็คนั้นได้มีการใช้เงินครบถ้วนแล้วดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม กรณีนี้ไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ เมื่อหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินยังไม่ระงับ จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันด้วยอาวัลจึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย
ตั๋วสัญญาใช้เงินระบุไว้แต่เพียงว่า ดอกเบี้ยร้อยละ 14 จ่ายดอกเบี้ยทุกเดือน ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า ตามประเพณีการคิดดอกเบี้ยก็ต้องคิดเป็นอัตราร้อยละต่อปี โจทก์นำสืบว่าเป็นอัตราที่กำหนดไว้ต่อปี โดยจำเลยมิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 ยังบัญญัติห้ามคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี ฉะนั้นที่ตั๋วสัญญาใช้เงินระบุดอกเบี้ยไว้ร้อยละ 14 จึงมีความหมายที่เข้าใจได้ว่าร้อยละ 14 ต่อปี ไม่ใช่เป็นการไม่กำหนดอัตราที่จะต้องเสียดอกเบี้ยไว้ให้ชัดแจ้งอันจะต้องใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระงับหนี้จากการใช้เช็คพิพาทโดยมีส่วนผิดของผู้รับเช็คทำให้เช็คสูญหาย
จำเลยทั้งสามซื้อพลอยจากโจทก์แล้วออกเช็คพิพาทลงวันที่ล่วงหน้าชำระหนี้ค่าพลอยให้โจทก์ ต่อมาเช็คนั้นหายไปจากความครอบครองของโจทก์และมีผู้แก้ไขวันออกเช็คและนำเช็คดังกล่าวเบิกเงินไปในบัญชีของจำเลยที่ธนาคารไป ดังนี้ เมื่อพฤติการณ์ของโจทก์มีส่วนทำให้เกิดกรณีเช็คพิพาทถูกลัก โจทก์มีส่วนผิดเป็นเหตุให้เช็คพิพาทหายไปและเช็คนั้นได้ใช้เงินแล้ว หนี้ที่จำเลยต้องชำระราคาพลอยให้แก่โจทก์ย่อมจะระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม จำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดชำระค่าพลอยที่ซื้อไปจากโจทก์ให้แก่โจทก์อีก แม้เมื่อโจทก์ทราบว่าเช็คหายโจทก์ได้รีบบอกแก่จำเลยและธนาคารเพื่อไม่ให้ใช้เงินแล้ว แต่ปรากฏว่าโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยหลังจากที่มีการใช้เงินตามเช็คแล้ว การบอกกกล่าวจึงไม่เป็นประโยชน์แก่โจทก์
หมายเหตุ มติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2529

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2529

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คพิพาทสูญหายจากความประมาทของผู้รับเช็ค หนี้ระงับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสามซื้อพลอยจากโจทก์แล้วออกเช็คพิพาทลงวันที่ล่วงหน้าชำระหนี้ค่าพลอยให้โจทก์ต่อมาเช็คนั้นหายไปจากความครอบครองของโจทก์และมีผู้แก้ไขวันออกเช็คและนำเช็คดังกล่าวเบิกเงินไปในบัญชีของจำเลยที่ธนาคารไปดังนี้เมื่อพฤติการณ์ของโจทก์มีส่วนทำให้เกิดกรณีเช็คพิพาทถูกลักโจทก์มีส่วนผิดเป็นเหตุให้เช็คพิพาทหายไปและเช็คนั้นได้ใช้เงินแล้วหนี้ที่จำเลยต้องชำระราคาพลอยให้แก่โจทก์ย่อมจะระงับไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา321วรรคสามจำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดชำระค่าพลอยที่ซื้อไปจากโจทก์ให้แก่โจทก์อีกแม้เมื่อโจทก์ทราบว่าเช็คหายโจทก์ได้รีบบอกแก่จำเลยและธนาคารเพื่อไม่ให้ใช้เงินแล้วแต่ปรากฏว่าโจทก์บอกกล่าวแก่จำเลยหลังจากที่มีการใช้เงินตามเช็คแล้วการบอกกกล่าวจึงไม่เป็นประโยชน์แก่โจทก์ หมายเหตุมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่3/2529,5/2529.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 867/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกัน - การชำระหนี้ด้วยเช็คใหม่ไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ - จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดตามสัญญา
จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้กับโจทก์ว่า หากเช็คที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดให้โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้จำเลยที่ 3 ยอมร่วมรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ ต่อมาเช็คที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดให้โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 3 ย่อมมีความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันการที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันสั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้เงินที่โจทก์เรียกเก็บไม่ได้ จึงเป็นชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระเป็นเงินหาใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ไม่ เมื่อเช็คฉบับใหม่ขึ้นเงินไม่ได้หนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดจึงยังไม่ระงับ จำเลยที่3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 867/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันและการชำระหนี้แทนการแปลงหนี้
จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้กับโจทก์ว่า หากเช็คที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดให้โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 3 ยอมร่วมรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ ต่อมาเช็คที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดให้โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยที่ 3 ย่อมมีความรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน การที่จำเลยที่ 1 และ ที่ 2 ร่วมกันสั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่เพื่อชำระหนี้เงินที่โจทก์เรียกเก็บไม่ได้ จึงเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้เป็นเงินหาใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ไม่ เมื่อเช็คฉบับใหม่ขึ้นเงินไม่ได้หนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดจึงยังไม่ระงับ จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2375/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฉ้อโกงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องฟังจากพยานหลักฐาน ศาลไม่รับวินิจฉัยฎีกาเกินกรอบ
จำเลยจะมีเจตนาเพื่อฉ้อโกงผู้เสียหายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จะต้องฟังจากพยานหลักฐานในสำนวน ฎีกาโจทก์จึงต้องห้าม
ในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกง และความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค เมื่อศาลวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งมีความหมายว่าจำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในข้าวสารทั้งหมดไปจากผู้เสียหายโดยการซื้อขายตามปกติ เพียงแต่เช็คที่ออกให้เป็นการชำระราคาข้าวสารนั้น จำเลยออกให้โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และออกให้ใช้เงินจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ ดังนี้ หนี้ค่าข้าวสาร ซึ่งผู้เสียหายได้ส่งมอบให้แก่จำเลยยังไม่ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321วรรคสาม ผู้เสียหาย ชอบที่จะฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ศาลจะสั่งให้คืนข้าวสารของกลางแก่ผู้เสียหาย และให้จำเลยคืนหรือ ใช้ราคาข้าวสารซึ่งไม่ได้ถูกยึดมาเป็นของกลางไปในคดีนี้หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2375/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฉ้อโกงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องฟังจากพยานหลักฐาน การซื้อขายข้าวสารและการชำระหนี้ด้วยเช็ค
จำเลยจะมีเจตนาเพื่อฉ้อโกงผู้เสียหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จะต้องฟังจากพยานหลักฐานในสำนวน ฎีกาโจทก์จึงต้องห้าม
ในคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกง และความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค เมื่อศาลวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดฐานฉ้อโกง ซึ่งมีความหมายว่าจำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในข้างสารทั้งหมดไปจากผู้เสียหาย-โดยการซื้อขายตามปกติ เพียงแต่เช็คที่ออกให้เป็นการชำระราคาข้างสารนั้น จำเลยออกให้โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และออกให้ใช้เงินจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ ดังนี้ หนี้ค่าข้าวสารซึ่งผู้เสียหายได้ส่งมอบให้แก่จำเลย-ยังไม่ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม ผู้เสียหายชอบที่จะฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก ศาลจะสั่งให้คืนข้างสารของกลางแก่ผู้เสียหาย และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาข้าวสารซึ่งไม่ได้ถูกยึดมาเป็นของกลางไปในคดีนี้หาได้ไม่
of 3