พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10565/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาที่ต้องยกขึ้นว่ากันในศาลชั้นต้น-อุทธรณ์ และการแยกกรรมความผิดฐานรวบรวมเมล็ดพันธุ์
แม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยรวบรวมขายเมล็ดพันธุ์พืชชนิดข้าวเปลือกเจ้าซึ่งเสื่อมคุณภาพ ให้แก่ผู้ใด เมื่อใด สถานที่ใด จำนวนและราคาเท่าไร ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ไม่จำต้องบรรยายมาในฟ้องก็สามารถเข้าใจข้อหาได้ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
จำเลยฎีกาว่าไม่ได้ติดฉลากวันสิ้นอายุการใช้ทำพันธุ์เพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่ผ่านการทดสอบความงอก และจำเลยไม่ได้เตรียมเมล็ดพันธุ์พืชไว้จำหน่ายหรือได้จำหน่ายให้แก่ผู้ใด เป็นฎีกาในทำนองปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง ขัดกับที่จำเลยให้การรับสารภาพและเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา ฎีกาดังกล่าวจึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ.2520 มาตรา 3 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 4 ซึ่งไม่อาจอนุญาตให้ฎีกาได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อนี้มาจึงเป็นการไม่ชอบ
ความผิดฐานเป็นผู้รับใบอนุญาตรวบรวมเมล็ดพันธุ์ควบคุมเพื่อการค้าโดยไม่ระบุเดือนและปีที่รวบรวม เดือนและปีที่สิ้นอายุการใช้เพาะปลูกหรือใช้ทำพันธุ์ตาม พ.ร.บ.พันธุ์พืช พ.ศ.2518 มาตรา 22 (2) และความผิดฐานรวบรวมเมล็ดพันธุ์เสื่อมคุณภาพตามมาตรา 36 มีเจตนากระทำความผิดที่แตกต่างกัน จึงเป็นคนละกรรมกัน แม้จำเลยยังไม่ได้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ที่รวบรวม ก็ไม่ทำให้เป็นความผิดกรรมเดียวกัน
จำเลยฎีกาว่าไม่ได้ติดฉลากวันสิ้นอายุการใช้ทำพันธุ์เพราะเจ้าหน้าที่ยังไม่ผ่านการทดสอบความงอก และจำเลยไม่ได้เตรียมเมล็ดพันธุ์พืชไว้จำหน่ายหรือได้จำหน่ายให้แก่ผู้ใด เป็นฎีกาในทำนองปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง ขัดกับที่จำเลยให้การรับสารภาพและเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา ฎีกาดังกล่าวจึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ.2520 มาตรา 3 และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง มาตรา 4 ซึ่งไม่อาจอนุญาตให้ฎีกาได้ ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อนี้มาจึงเป็นการไม่ชอบ
ความผิดฐานเป็นผู้รับใบอนุญาตรวบรวมเมล็ดพันธุ์ควบคุมเพื่อการค้าโดยไม่ระบุเดือนและปีที่รวบรวม เดือนและปีที่สิ้นอายุการใช้เพาะปลูกหรือใช้ทำพันธุ์ตาม พ.ร.บ.พันธุ์พืช พ.ศ.2518 มาตรา 22 (2) และความผิดฐานรวบรวมเมล็ดพันธุ์เสื่อมคุณภาพตามมาตรา 36 มีเจตนากระทำความผิดที่แตกต่างกัน จึงเป็นคนละกรรมกัน แม้จำเลยยังไม่ได้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ที่รวบรวม ก็ไม่ทำให้เป็นความผิดกรรมเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2899/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา: ความผิดเกี่ยวพันและการนำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้
แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตรวมกันมากับความผิดฐานช่วยผู้อื่นเพื่อไม่ให้ต้องโทษต่อศาลจังหวัดซึ่งมีอำนาจชำระในฐานความผิดต่อ พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ โดยอ้างว่าเป็นความผิดเกี่ยวพันกัน แต่ความผิดทั้งสองฐานนี้เป็นความผิดที่แยกเป็นคนละกรรมต่างกัน กฎหมายมิได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่าในคดีความผิดที่เกี่ยวพันกันนั้น ให้ถือเอาคดีที่มีโทษสูงเป็นหลักที่จะพิจารณาว่า ต้องนำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับหรือไม่ ความผิดฐานช่วยผู้อื่นเพื่อไม่ให้ต้องโทษ จึงต้องนำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับ เมื่อในชั้นสอบสวนมิได้มีการขอผัดฟ้องให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาความผิดฐานช่วยผู้อื่นเพื่อไม่ให้ต้องโทษ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2899/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเกี่ยวพันกัน: การพิจารณาคดีอาวุธปืนและความช่วยเหลือผู้กระทำผิด ต้องปฏิบัติตามวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง หากไม่ปฏิบัติตาม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตรวมกันมากับความผิดฐานช่วย ผู้อื่นเพื่อไม่ให้ต้องโทษต่อศาลจังหวัดซึ่งมีอำนาจชำระในฐานความผิดต่อ พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ โดยอ้างว่าเป็นความผิดเกี่ยวพันกัน แต่ความผิดทั้งสองฐานนี้เป็นความผิดที่แยกเป็นคนละกรรมต่างกัน กฎหมายมิได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่าในคดีความผิดที่เกี่ยวพันกันนั้น ให้ถือเอาคดีที่มีโทษสูงเป็นหลักที่จะพิจารณาว่าต้องนำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับหรือไม่ ความผิดฐานช่วย ผู้อื่นเพื่อไม่ให้ต้องโทษ จึงต้องนำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับ เมื่อในชั้นสอบสวนมิได้มีการขอผัดฟ้องให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติไว้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาความผิดฐานช่วย ผู้อื่นเพื่อไม่ให้ต้องโทษ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงในคดีอาญาที่ศาลแขวงพิพากษา ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมิชอบ โจทก์ไม่มีสิทธิฎีกา
โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาโกงเจ้าหนี้ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การโอนขายที่ดินยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยทุจริตที่จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ พิพากษายกฟ้อง คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ มาตรา 22 ประกอบกับ พระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดพ.ศ.2520 มาตรา 3 โจทก์อุทธรณ์ว่า จากพยานหลักฐานโจทก์ข้อเท็จจริงรับฟังได้แล้วว่าจำเลยโอนขายที่ดินไปโดยเจตนาทุจริตเพื่อมิให้โจทก์ได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ตามอุทธรณ์ของโจทก์ จึงเป็นการมิชอบต้องถือว่าข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่าจำเลยมิได้กระทำผิดตามฟ้อง โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกา