พบผลลัพธ์ทั้งหมด 516 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5808/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิภารจำยอมโดยอายุความเกิดขึ้นได้แม้เจ้าของที่ดินอนุญาตโดยทั่วไป ไม่กระทบสิทธิแม้มีการโอนกรรมสิทธิ์
ธรรมเนียมปฏิบัติของชาวบ้านในท้องถิ่นที่เอื้อเฟื้อกันกรณีผู้ที่อยู่ในสวนที่ลึกจะต้องอาศัยเดินผ่านสวนของผู้อื่นออกไปสู่ภายนอกได้ การอนุญาตดังกล่าวเป็นการแสดงออกชัดโดยทางปฏิบัติของเจ้าของที่ดินเป็นการทั่วไปที่ไม่หวงห้ามหรือสงวนสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ของตน ยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตนเป็นภารจำยอมที่เกิดขึ้นโดยสมัครใจ จึงมิใช่การอนุญาตด้วยความคุ้นเคยหรือวิสาสะเป็นการเฉพาะตัว ดังนั้นการใช้ทางพิพาทของโจทก์ในลักษณะดังกล่าวจึงได้สิทธิภารจำยอมโดยอายุความ สิทธิภารจำยอมของโจทก์ได้มีขึ้นโดยผลแห่งกฎหมายรับรองและจะสิ้นสุดไปก็โดยเหตุต่าง ๆ ที่กฎหมายกำหนด ส่วนของจำเลยทั้งหมดที่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินภารยทรัพย์นี้เป็นสิทธิคนละอันกับสิทธิภารจำยอมของโจทก์ การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินภารยทรัพย์โดยทางทะเบียนไม่เป็นเหตุให้สิทธิภารจำยอมของโจทก์สิ้นสุดลงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5793/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์, ภารจำยอม, และผลกระทบของการซื้อที่ดินโดยสุจริตต่อสิทธิของผู้อื่น
เหตุผลที่ยกขึ้นฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ตรงกับที่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ จึงต้องถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบและไม่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย โจทก์ทั้งสองครอบครองปรปักษ์ที่ดินใต้กันสาดจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ท่อระบายน้ำทิ้งซึ่งอยู่ในที่ดินดังกล่าวย่อมตกเป็นสิทธิของโจทก์ทั้งสองโดยไม่ต้องชี้ขาดว่าเป็นภารจำยอมอีกหรือไม่ ภารจำยอมในที่ดินของจำเลยไม่สิ้นไปเพราะจำเลยซื้อที่ดินโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสองเพราะตามบทบัญญัติดังกล่าวหมายถึงสองฝ่ายได้สิทธิอย่างเดียวกันโดยเหตุที่แตกต่างกัน แต่ในกรณีภารจำยอมนี้โจทก์ฝ่ายเดียวเป็นผู้ได้สิทธิภารจำยอม จำเลยมิใช่เป็นผู้ได้สิทธิ แต่กลับเป็นผู้ที่จะต้องรับรู้สิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1387 กรณีจึงไม่อาจบังคับตามมาตรา 1299 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5553/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดสรรที่ดินโดยปริยาย ทางภาระจำยอม การรุกล้ำทางสาธารณะ
พ.แบ่งแยกที่ดินของตนออกเป็นแปลงย่อย 13 แปลง เพื่อขายโจทก์ได้เช่าซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดังกล่าวจาก พ. 1 แปลง ทางพิพาทเป็นทางที่ พ.จัดทำไว้ใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะสำหรับที่ดินอีก 12 แปลงดังกล่าว แม้จะไม่ปรากฏว่า พ.เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดินจากคณะกรรมการควบคุมการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 และที่ดินตามโฉนดเลขที่10514 อันเป็นทางพิพาทเป็นที่ดินตามแผนผังและโครงการที่ได้รับอนุญาตก็ตาม ก็ถือว่าการกระทำของ พ.ที่แบ่งแยกที่ดินออกเป็นแปลงย่อย 13 แปลง เพื่อขายนั้น เป็นการแสดงออกโดยปริยายแล้วว่า พ.จัดให้มีสาธารณูปโภคคือทางพิพาท อันถือได้ว่าเป็นการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515ข้อ 30 ส่วน พ.จะขออนุญาตจัดสรรที่ดินหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก หากจะเป็นการดำเนินการฝ่าฝืนประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวก็ไม่ทำให้การดำเนินการของ พ.ไม่เป็นการจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย ทางพิพาทจึงเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินที่โจทก์เช่าซื้อจาก พ. จำเลยปลูกบ้านรุกล้ำทางพิพาท จึงต้องรื้อออกไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5553/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดสรรที่ดินโดยปริยาย & ภารจำยอมทางสาธารณูปโภค แม้ไม่ได้รับอนุญาตจัดสรร
แม้ไม่ปรากฏว่า พ. เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมการจัดสรรที่ดินให้ทำการจัดสรรที่ดิน และที่ดินอันเป็นทางพิพาทเป็นที่ดินตามแผนผังและโครงการที่ได้รับอนุญาตตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ก็ตามก็ถือได้ว่าการกระทำของ พ.ที่แบ่งแยกที่ดินของตนออกเป็นแปลงย่อย 13 แปลง เพื่อขายนั้น เป็นการแสดงออกโดยปริยายแล้วว่า พ. จัดให้มีสาธารณูปโภคคือทางพิพาทอันถือได้ว่าเป็นการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวส่วนการที่ พ. จะขออนุญาตจัดสรรที่ดินหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากซึ่งหากจะเป็นการดำเนินการฝ่าฝืนประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวก็ไม่ทำให้การดำเนินการของ พ. ไม่เป็นการจัดสรรที่ดินตามกฎหมาย ทางพิพาทที่จำเลยปลูกโรงเรือนรุกล้ำจึงเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินที่โจทก์เช่าซื้อจาก พ. จำเลยจึงต้องรื้อถอนบ้านที่จำเลยปลูกรุกล้ำเข้ามาในทางพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3463/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาระจำยอมสาธารณูปโภค: การเช่าที่ดินสาธารณูปโภคกระทบสิทธิการใช้ประโยชน์และอำนาจเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง
แม้ที่ดินที่โจทก์จะปลูกสร้างอาคาร ผู้จัดสรรที่ดินยังมิได้ยกให้เป็นที่สาธารณะ แต่ที่ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่มีสภาพเป็นสาธารณูปโภคซึ่งผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มีขึ้นในที่ดินที่ได้รับอนุญาตจัดสรร จึงต้องด้วยบทบัญญัติของประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 286 ข้อ 30 ที่บัญญัติว่าสาธารณูปโภคซึ่งผู้จัดสรรที่ดินได้จัดให้มีขึ้นเหนือการจัดสรรที่ดินตามแผนผังและโครงการที่ได้รับอนุญาตให้ถือว่าตกอยู่ในภาระจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินที่จัดสรรและให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดสรรที่ดินหรือผู้รับโอนกรรมสิทธิ์คนต่อไปที่จะบำรุงรักษาให้คงสภาพดังเช่นที่ได้จัดทำขึ้นโดยตลอดไปและจะกระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกไม่ได้การที่ผู้จัดสรรที่ดินนำที่ดินสาธารณูปโภคดังกล่าวไปให้โจทก์เช่าเพื่อปลูกสร้างอาคารถือเป็นการกระทำที่เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวกเมื่อที่ดินนั้นเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินอันมีสภาพเป็นสาธารณูปโภค จำเลยที่ 1 และที่ 2ย่อมมีสิทธิตามกฎหมายที่จะเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างที่ออกให้แก่โจทก์ได้ ทั้งจำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ก็ย่อมมีอำนาจให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ได้เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3282/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องทางเดินและการพิสูจน์ภารจำยอม: ที่ดินแบ่งแยกและทางจำเป็น
ที่ดินของโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดตราจองที่ 3369ซึ่งมีทางออกสู่ถนนสาธารณะ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินออกสู่ทางสาธารณะได้เฉพาะในที่ดินโฉนดตราจองที่ 3369ซึ่งเป็นที่ดินแปลงที่โจทก์แบ่งแยกมาเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางพิพาทในที่ดินจำเลยซึ่งเป็นที่ดินแปลงอื่นเป็นทางเดินผ่านไปสู่ทางสาธารณะหาได้ไม่ ทางพิพาทจึงไม่เป็นทางจำเป็นแก่โจทก์ โจทก์อ้างว่าใช้ทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยเป็นทางภารจำยอม มีผลเป็นการรอนสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่น จึงต้องมีหลักฐานชัดแจ้งมั่นคงว่า โจทก์ทั้งสองใช้สิทธิในทางพิพาทอย่างเป็นปรปักษ์หรือโดยพลการต่อเจ้าของกรรมสิทธิ์เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่ได้ใช้สิทธิในทางพิพาทอย่างเป็นปรปักษ์หรือโดยพลการหากแต่มีลักษณะว่าได้ใช้สิทธิในทางพิพาทโดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ ดังนั้นไม่ว่าโจทก์จะใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินเข้าออกจากที่ดินของโจทก์มานานเพียงใดก็ตามทางพิพาทก็ไม่เป็นทางภารจำยอมโดยอายุความแก่ที่ดินของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3282/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทางจำเป็นและภาระจำยอม: การใช้ทางต้องมีฐานจากกรรมสิทธิ์เดิมและไม่เป็นลักษณะได้รับอนุญาต
ที่ดินของโจทก์แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดตราจองที่ 3369 ซึ่งมีทางออกสู่ถนนสาธารณะ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินออกสู่ทางสาธารณะได้เฉพาะในที่ดินโฉนดตราจองที่ 3369 ซึ่งเป็นที่ดินแปลงที่โจทก์แบ่งแยกมาเท่านั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางพิพาทในที่ดินจำเลยซึ่งเป็นที่ดินแปลงอื่นเป็นทางเดินผ่านไปสู่ทางสาธารณะหาได้ไม่ ทางพิพาทจึงไม่เป็นทางจำเป็นแก่โจทก์
โจทก์อ้างว่าใช้ทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยเป็นทางภาระ-จำยอม มีผลเป็นการรอนสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่น จึงต้องมีหลักฐานชัดแจ้งมั่นคงว่าโจทก์ทั้งสองใช้สิทธิในทางพิพาทอย่างเป็นปรปักษ์หรือโดยพลการต่อเจ้าของกรรมสิทธิ์เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่ได้ใช้สิทธิในทางพิพาทอย่างเป็นปรปักษ์หรือโดยพลการ หากแต่มีลักษณะว่าได้ใช้สิทธิในทางพิพาทโดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ ดังนั้นไม่ว่าโจทก์จะใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินเข้าออกจากที่ดินของโจทก์มานานเพียงใดก็ตามทางพิพาทก็ไม่เป็นทางภาระจำยอมโดยอายุความแก่ที่ดินของโจทก์
โจทก์อ้างว่าใช้ทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยเป็นทางภาระ-จำยอม มีผลเป็นการรอนสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่น จึงต้องมีหลักฐานชัดแจ้งมั่นคงว่าโจทก์ทั้งสองใช้สิทธิในทางพิพาทอย่างเป็นปรปักษ์หรือโดยพลการต่อเจ้าของกรรมสิทธิ์เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่ได้ใช้สิทธิในทางพิพาทอย่างเป็นปรปักษ์หรือโดยพลการ หากแต่มีลักษณะว่าได้ใช้สิทธิในทางพิพาทโดยได้รับอนุญาตจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ ดังนั้นไม่ว่าโจทก์จะใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินเข้าออกจากที่ดินของโจทก์มานานเพียงใดก็ตามทางพิพาทก็ไม่เป็นทางภาระจำยอมโดยอายุความแก่ที่ดินของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3217/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอม: การก่อสร้างกีดขวางทางภารจำยอม แม้ได้รับอนุญาต ก็สามารถถอนได้หากไม่จำเป็นต่อการใช้ภารจำยอม
ทางพิพาทตกอยู่ในภารจำยอมเพียงให้คนและยานพาหนะผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะเท่านั้น จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิที่จะปลูกสร้างหลังคาคลุมและทำประตูปิดกั้นทางพิพาทเพราะมิใช่การอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภารจำยอม การที่เจ้าของที่ดินเดิมอนุญาตให้จำเลยทั้งสองก่อสร้างหลังคาคลุมและทำประตูปิดกั้นทางพิพาท การอนุญาตหาได้มีข้อผูกพันให้มีผลอยู่ตลอดไปไม่ เจ้าของที่ดินเดิมหรือโจทก์ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์จากเจ้าของที่ดินเดิม จะถอนการอนุญาตเสียในเวลาใดก็ย่อมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3185/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงเปิดทางในสัญญาจะซื้อจะขาย แม้ไม่ได้จดทะเบียนก็ใช้ได้ระหว่างคู่สัญญา
หลังจากโจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทเพียง7 วัน จำเลย สามีจำเลย และบุตรร่วมกันตั้งบริษัทจำเลยร่วมโดยจำเลยสามีจำเลย และบุตรเป็นกรรมการบริษัท ถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยร่วมในการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 เพราะขณะนั้นจำเลยร่วมยังไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล ไม่อาจเชิดผู้ใดเป็นตัวแทนได้ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท และสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองฉบับ จำเลย สามีจำเลยและบุตรรู้เห็นการทำสัญญาทั้งสองฉบับวัตถุแห่งหนี้กับวัตถุประสงค์แห่งหนี้เป็นอย่างเดียวกัน คือการโอนที่ดินพิพาทในราคาและกำหนดเวลาเดียวกัน ทั้งเมื่อทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกันแล้ว ได้มีการเปิดทางให้ตามที่มีข้อตกลงในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทนานถึง 2 ปีเศษ แม้ตามสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจำเลยร่วมเป็นผู้ซื้อมิใช่จำเลย และไม่มีข้อตกลงเปิดทางก็ตาม โดยพฤติการณ์ย่อมแสดงว่าจำเลยทำสัญญาเพื่อประโยชน์ของจำเลยร่วม และเท่ากับเป็นการตกลงโดยปริยายของจำเลยร่วมยอมรับและถือเอาข้อตกลงเรื่องเปิดทางตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมด้วย ข้อตกลงเปิดทางตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท มีลักษณะคล้ายภารจำยอมอันเป็นทรัพย์สิทธิ ถ้าไม่จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่บริบูรณ์เป็นทรัพย์สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 แต่ก็เป็นอันใช้ได้ระหว่างคู่สัญญาซึ่งรวมทั้งโจทก์กับจำเลยร่วมด้วยในฐานะบุคคลสิทธิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3185/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน, ตัวแทนเชิด, ข้อตกลงเปิดทาง, ภาระจำยอม, สิทธิระหว่างคู่สัญญา
หลังจากโจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทเพียง7 วัน จำเลย สามีจำเลย และบุตรร่วมกันตั้งบริษัทจำเลยร่วม โดยจำเลยสามีจำเลย และบุตรเป็นกรรมการบริษัท ถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวแทนเชิดของจำเลยร่วมในการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 821เพราะขณะนั้นจำเลยร่วมยังไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคล ไม่อาจเชิดผู้ใดเป็นตัวแทนได้
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท และสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองฉบับ จำเลย สามีจำเลยและบุตรรู้เห็นการทำสัญญาทั้งสองฉบับ วัตถุแห่งหนี้กับวัตถุประสงค์แห่งหนี้เป็นอย่างเดียวกัน คือการโอนที่ดินพิพาทในราคาและกำหนดเวลาเดียวกัน ทั้งเมื่อทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกันแล้ว ได้มีการเปิดทางให้ตามที่มีข้อตกลงในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทนานถึง 2 ปีเศษ แม้ตามสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจำเลยร่วมเป็นผู้ซื้อมิใช่จำเลย และไม่มีข้อตกลงเปิดทางก็ตาม โดยพฤติการณ์ย่อมแสดงว่าจำเลยทำสัญญาเพื่อประโยชน์ของจำเลยร่วม และเท่ากับเป็นการตกลงโดยปริยายของจำเลยร่วมยอมรับและถือเอาข้อตกลงเรื่องเปิดทางตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมด้วย
ข้อตกลงเปิดทางตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท มีลักษณะคล้ายภาระจำยอมอันเป็นทรัพยสิทธิ ถ้าไม่จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 แต่ก็เป็นอันใช้ได้ระหว่างคู่สัญญาซึ่งรวมทั้งโจทก์กับจำเลยร่วมด้วยในฐานะบุคคลสิทธิ
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท และสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาททั้งสองฉบับ จำเลย สามีจำเลยและบุตรรู้เห็นการทำสัญญาทั้งสองฉบับ วัตถุแห่งหนี้กับวัตถุประสงค์แห่งหนี้เป็นอย่างเดียวกัน คือการโอนที่ดินพิพาทในราคาและกำหนดเวลาเดียวกัน ทั้งเมื่อทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกันแล้ว ได้มีการเปิดทางให้ตามที่มีข้อตกลงในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทนานถึง 2 ปีเศษ แม้ตามสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจำเลยร่วมเป็นผู้ซื้อมิใช่จำเลย และไม่มีข้อตกลงเปิดทางก็ตาม โดยพฤติการณ์ย่อมแสดงว่าจำเลยทำสัญญาเพื่อประโยชน์ของจำเลยร่วม และเท่ากับเป็นการตกลงโดยปริยายของจำเลยร่วมยอมรับและถือเอาข้อตกลงเรื่องเปิดทางตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมด้วย
ข้อตกลงเปิดทางตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท มีลักษณะคล้ายภาระจำยอมอันเป็นทรัพยสิทธิ ถ้าไม่จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 แต่ก็เป็นอันใช้ได้ระหว่างคู่สัญญาซึ่งรวมทั้งโจทก์กับจำเลยร่วมด้วยในฐานะบุคคลสิทธิ