คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 1387

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 516 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1236/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ทางโดยยินยอมไม่ก่อให้เกิดภารจำยอม และประเด็นศาลวินิจฉัยเกินคำขอ
โจทก์ใช้ทางพิพาทโดย ส. เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินยินยอมให้ใช้ เมื่อเป็นการใช้โดยเจ้าของที่ดินยินยอม แม้จะเป็นเวลานานเท่าใดก็ไม่ได้ภารจำยอม โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขออุทธรณ์ของโจทก์เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ต้องวินิจฉัยในประเด็นข้อต่อไปว่า โจทก์ทั้งสี่ได้สิทธิภารจำยอมบนถนน จะมีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสี่รื้อถอนกำแพงออกจากถนนพิพาทได้หรือไม่ และตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ได้สิทธิภารจำยอมบนถนนพิพาทขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรื้อถอนกำแพงออกไป และในอุทธรณ์ของโจทก์ก็มีคำขอให้พิพากษาตามฟ้องของโจทก์ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงมิได้พิพากษาเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1236/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ทางพิพาทโดยยินยอมไม่ก่อให้เกิดภาระจำยอม และประเด็นการพิพากษาเกินคำขอ
โจทก์ใช้ทางพิพาทโดย ส.เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินยินยอมให้ใช้ เมื่อเป็นการใช้โดยเจ้าของที่ดินยินยอม แม้จะเป็นเวลานานเท่าใดก็ไม่ได้ภาระจำยอม
โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขออุทธรณ์ของโจทก์เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ต้องวินิจฉัยในประเด็นข้อต่อไปว่าโจทก์ทั้งสี่ได้สิทธิภาระจำยอมบนถนน จะมีสิทธิขอให้จำเลยทั้งสี่รื้อถอนกำแพงออกจากถนนพิพาทได้หรือไม่ และตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวอ้างว่า โจทก์ได้สิทธิภาระจำยอมบนถนนพิพาท ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรื้อถอนกำแพงออกไป และในอุทธรณ์ของโจทก์ก็มีคำขอให้พิพากษาตามฟ้องของโจทก์ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงมิได้พิพากษาเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 838/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเรื่องทางสาธารณะและทางภารจำยอม ศาลฎีกาวินิจฉัยกลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ใช่ทางสาธารณะ
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมและเป็นทางสาธารณะ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมไม่เป็นทางสาธารณะ โจทก์อุทธรณ์ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะเมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ คงมีแต่จำเลยฎีกามาฝ่ายเดียวว่าทางพิพาทมิใช่ทางสาธารณะ ส่วนโจทก์มิได้ฎีกา ปัญหาว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในชั้นฎีกาคงมีปัญหาเพียงว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 838/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาททางเดิน: ทางภาระจำยอม vs. ทางสาธารณะ
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมและเป็นทางสาธารณะ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอม ไม่เป็นทางสาธารณะ โจทก์อุทธรณ์ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ คงมีแต่จำเลยฎีกามาฝ่ายเดียวว่าทางพิพาทมิใช่ทางสาธารณะ ส่วนโจทก์มิได้ฎีกา ปัญหาว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในชั้นฎีกาคงมีปัญหาเพียงว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องภาระจำยอมซ้ำ: ประเด็นต่างกัน, ไม่เป็นฟ้องซ้ำ แม้ใช้เหตุจากลำรางสาธารณะเดียวกัน
คดีเดิมโจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางภาระจำยอมอ้างว่าได้ภาระจำยอมโดยอายุความเป็นทางรถยนต์กว้างประมาณ 4 เมตร แต่อ้างว่าทางพิพาทเดิมเป็นลำรางสาธารณะและตื้นเขินกลายเป็นทาง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเมื่อทางพิพาทเป็นลำรางสาธารณะซึ่งตื้นเขินจึงไม่อาจอ้างว่าได้ภาระจำยอมคดีถึงที่สุด คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยอ้างว่าทางสาธารณะซึ่งเดิมเป็นลำรางนั้นกว้างเพียง 1.8 เมตร แต่โจทก์ทั้งสี่และชาวบ้านได้ใช้รถยนต์ผ่านทางนั้นและรุกล้ำเข้าไปในที่ดินจำเลยอีกประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ 18 เมตร โดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาใช้เป็นทางผ่านเข้าออกเป็นเวลากว่า10 ปี ทางกว้าง 2 เมตรจึงเป็นทางภาระจำยอม ดังนี้ประเด็นในคดีก่อนกับประเด็นในคดีนี้จึงต่างกัน คดีนี้มีประเด็นตามคำฟ้องว่า ทางกว้างประมาณ 2 เมตรยาวประมาณ 18 เมตร ในที่ดินจำเลยเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่ ส่วนปัญหาว่าคดีก่อนโจทก์ทั้งสี่อ้างว่าลำรางสาธารณะที่ตื้นเขินกลายเป็นทางกว้างประมาณ4 เมตร จะคลุมถึงทางรถยนต์ที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้ว่าอยู่ในที่ดินของจำเลยกว้างประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ 18 เมตร หรือไม่นั้น จำเลยให้การในคดีก่อนว่าทางสาธารณะกว้างเพียง 1 เมตร เท่านั้น และโจทก์ทั้งสี่ใช้รถยนต์ผ่านทางเข้ามาในที่ของจำเลยกว้างประมาณ 1.8 เมตร จำเลยจึงสร้างกำแพงกั้น ดังนั้นประเด็นที่ว่าทางสาธารณะคลุมถึงทางที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้หรือไม่ ศาลยังมิได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อนฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 632/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำทางภารจำยอม: ประเด็นต่างกัน แม้ใช้ที่ดินแปลงเดียวกัน ศาลล่างพิพากษาคลาด
คดีเดิมโจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางภารจำยอมอ้างว่าได้ภารจำยอมโดยอายุความเป็นทางรถยนต์กว้างประมาณ 4 เมตร แต่อ้างว่าทางพิพาทเดิมเป็นลำรางสาธารณะและตื้นเขินกลายเป็นทาง ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเมื่อทางพิพาทเป็นลำรางสาธารณะซึ่งตื้นเขินจึงไม่อาจอ้างว่าได้ภารจำยอมคดีถึงที่สุด คดีนี้โจทก์ทั้งสี่ฟ้องจำเลยอ้างว่าทางสาธารณะซึ่งเดิมเป็นลำรางนั้นกว้างเพียง 1.80 เมตรแต่โจทก์ทั้งสี่และชาวบ้านได้ใช้รถยนต์ผ่านทางนั้นและรุกล้ำเข้าไปในที่ดินจำเลยอีกประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ18 เมตร โดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาใช้เป็นทางเข้าออกเป็นเวลากว่า 10 ปี ทางกว้าง 2 เมตรจึงเป็นทางภารจำยอม ดังนี้ประเด็นในคดีก่อนกับประเด็นในคดีนี้จึงต่างกัน คดีนี้มีประเด็นตามคำฟ้องว่า ทางกว้างประมาณ2 เมตร ยาวประมาณ 18 เมตร ในที่ดินจำเลยเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ ส่วนปัญหาว่าคดีก่อนโจทก์ทั้งสี่อ้างว่าลำรางสาธารณะที่ตื้นเขินกลายเป็นทางกว้างประมาณ4 เมตร จะคลุมถึงทางรถยนต์ที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้ว่าอยู่ในที่ดินของจำเลยกว้างประมาณ 2 เมตร ยาวประมาณ18 เมตร หรือไม่นั้น จำเลยให้การในคดีก่อนว่าทางสาธารณะกว้างเพียง 1 เมตร เท่านั้น และโจทก์ทั้งสี่ใช้รถยนต์ผ่านทางเข้ามาในที่ของจำเลยกว้างประมาณ 1.80 เมตรจำเลยจึงสร้างกำแพงกั้น ดังนั้นประเด็นที่ว่าทางสาธารณะคลุมถึงทางที่โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีนี้หรือไม่ ศาลยังมิได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อนฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4781/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมโดยอายุความ: การได้สิทธิใช้ทางผ่านในที่ดินของผู้อื่นเมื่อใช้ต่อเนื่องเกิน 10 ปี โดยเจ้าของที่ดินไม่โต้แย้ง
ที่ดินของโจทก์กับจำเลยมีเขตติดต่อกันโดยมีลำรางสาธารณะกั้นและโจทก์ได้สร้างสะพานข้ามลำรางสาธารณะเพื่อใช้ข้ามจากที่ดินของโจทก์ไปยังที่ดินของจำเลยและเดินผ่านที่ดินของจำเลยออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์มาเป็นเวลานานเกินกว่าสิบปีแล้ว ทางพิพาทจึงตกเป็นทางภารจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความ โจทก์จึงไม่ต้องใช้ค่าเสียหายหรือค่าทดแทนให้แก่จำเลยแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4775/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ และการได้ภารจำยอมโดยอายุความจากการใช้ทางต่อเนื่อง
โจทก์ จำเลยที่ 1 และบุตรคนอื่น ๆ ปลูกบ้านลงในที่ดินมีโฉนดของบิดามารดาตามที่บิดามารดาอนุญาตและชี้ให้ปลูก โดยบิดามารดามีเจตนายกให้ตั้งแต่วันที่อนุญาตนั้น และต่างได้ครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดตลอดมาเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ดังนี้ แต่ละคนย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ตนปลูกบ้านโดยการครอบครองปรปักษ์ ทางพิพาทอยู่ในที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1 โจทก์และบริวารใช้เดินผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะตั้งแต่แรกโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาจะให้เป็นทางภารจำยอมติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ทางพิพาทย่อมตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินส่วนของโจทก์โดยอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4775/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินจากการครอบครองปรปักษ์ และภาระจำยอมจากการใช้ทางต่อเนื่อง
โจทก์ จำเลยที่ 1 และบุตรคนอื่น ๆ ปลูกบ้านลงในที่ดินมีโฉนดของบิดามารดาตามที่บิดามารดาอนุญาตและชี้ให้ปลูก โดยบิดามารดามีเจตนายกให้ตั้งแต่วันที่อนุญาตนั้น และต่างได้ครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดตลอดมาเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ดังนี้ แต่ละคนย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ตนปลูกบ้านโดยการครอบครองปรปักษ์
ทางพิพาทอยู่ในที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1 โจทก์และบริวารใช้เดินผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะตั้งแต่แรกโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาจะให้เป็นทางภาระจำยอมติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ทางพิพาทย่อมตกเป็นภาระ-จำยอมแก่ที่ดินส่วนของโจทก์โดยอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4763/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิใช้ทางจำเป็นเมื่อที่ดินถูกล้อมจนไม่มีทางออกสู่สาธารณะ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เดิมที่ดินของโจทก์และของจำเลยที่ 1เป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ต่อมามีการแบ่งแยกเป็นแปลงย่อย ทำให้ที่ดินของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะทั้ง ๆ ที่โจทก์และบริวารได้ใช้ทางพิพาทตลอดแนวที่ดินของจำเลยที่ 1 ด้านทิศตะวันออกเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะดังกล่าวโดยความสงบและโดยเปิดเผยมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว โจทก์ถือว่าทางพิพาทเป็นทางภาระ-จำยอมหรือทางจำเป็นแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนและรื้อรั้วเฉพาะส่วนที่ปิดกั้นทางพิพาท ข้อความที่ว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมหรือทาง-จำเป็น เป็นเพียงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายว่าความจริงทางดังกล่าวเป็นทางประเภทใดกันแน่ คำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
เมื่อปรากฏว่าที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นซึ่งแบ่งแยกออกมาจากที่ดินแปลงเดิมกับที่ดินของโจทก์ล้อมอยู่จนไม่มีทางออกทางสาธารณะได้ แม้จะได้ความว่าจำเลยที่ 1 ได้แบ่งยกที่ดินทางทิศตะวันตกให้เป็นทางสาธารณะอีกทางหนึ่งแต่หากโจทก์ใช้ทางดังกล่าวจะต้องผ่านที่ดินแปลงอื่นอีกสามแปลงและสามเจ้าของซึ่งผิดกับทางพิพาทที่โจทก์ผ่านเข้าออกที่ดินของจำเลยที่ 1 ด้านทิศตะวันตกและมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่ก่อนแล้ว มีระยะทางสั้นกว่าประมาณ 15 เมตร เท่านั้นการใช้ทางพิพาทจึงสะดวกกว่าการไปใช้ทางอื่น ทางพิพาทจึงเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์
of 52