คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 1387

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 516 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3493/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงทำถนนพร้อมการซื้อขายที่ดิน ทายาทผู้ขายมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม
ผู้ตายขายที่ดินให้โจทก์โดยมีข้อตกลงว่าผู้ตายจะต้องทำถนนจากทางสาธารณะสู่ที่ดินที่ขายให้โจทก์ จำเลยทั้งสองเป็นบุตรอันเป็นทายาทของผู้ตายย่อมรับเอาสิทธิและหน้าที่ของผู้ตายมาด้วย จึงมีหน้าที่ต้องทำถนนและจดทะเบียนภารจำยอมให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2256/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินและภาระจำยอม: สิทธิของโจทก์ในการฟ้องบังคับให้จดทะเบียนภาระจำยอมแม้มีการโอนที่ดิน
โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 1 ต่างลงชื่อในบันทึกข้อตกลงว่าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินแปลงใหญ่ และได้มาจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวมออกจากกันเป็นคนละ 1 แปลง แต่ยังไม่ได้จดภาระจำยอมทางเดินเข้าออกเนื่องจากยังไม่มีโฉนดทุกคนทราบว่าทางเดินกว้าง 6 เมตร และจะมาจดภาระจำยอมเรื่องทางเดินผ่านเมื่อได้รับโฉนดที่แบ่งแยกใหม่แล้ว ดังนี้ เมื่อทุกคนต่างได้รับโฉนดที่แบ่งแยกใหม่แล้วจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลง แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จะขายที่ดินแปลงของตนให้โจทก์ที่ 5 และที่ 6 และโจทก์ที่ 4 จะยกที่ดินแปลงของตนให้โจทก์ที่ 7 ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงไปแล้วก่อนฟ้อง โจทก์ทั้งเจ็ดโดยอาศัยสิทธิซึ่งกันและกันก็มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ปฏิบัติตามข้อตกลงได้.
การที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินแปลงของตนให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรของตนและอาศัยอยู่กับตนโดยเสน่หา ทั้งจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ทราบว่าจำเลยที่ 1ต้องจดทะเบียนทางภาระจำยอมมาตั้งแต่แรก โดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นที่ต้องรีบโอนให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ก่อนจดทะเบียนภาระจำยอมเป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่า ทั้งผู้ยกให้และผู้รับยกให้ต่างทราบดีว่าเป็นทางให้โจทก์เจ้าของที่ดินแปลงข้างในเสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉลตามป.พ.พ. มาตรา 237 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการยกให้ได้.
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการให้เพื่อให้ได้มาซึ่งทางภาระจำยอมเท่านั้น มิใช่ให้โอนที่ดินพิพาทมาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ การบังคับให้เพิกถอนการให้จึงไม่จำเป็นแก่การบังคับเพื่อประโยชน์ของโจทก์ ทั้งโจทก์ก็มีคำขอให้จำเลยที่ 1 ผู้ยกให้หรือจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ผู้รับการยกให้ที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนภาระจำยอมมาด้วย ศาลจึงพิพากษาให้เฉพาะจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไปจดทะเบียนทางภาระจำยอมในที่ดินของตนได้โดยไม่จำต้องเพิกถอนการให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2256/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดินโดยฉ้อฉลเพื่อเสียเปรียบเจ้าของที่ดินข้างเคียง และการบังคับให้จดทะเบียนภารจำยอม
โจทก์ที่ 1 ถึง ที่ 4 และจำเลยที่ 1 ต่าง ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงว่าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินแปลงใหญ่ และได้ มาจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวมออกจากกันเป็นคนละ 1 แปลง แต่ ยังไม่ได้จดภารจำยอมทางเดินเข้าออกเนื่องจากยังไม่มีโฉนด ทุกคนทราบว่าทางเดินกว้าง 6 เมตร และจะมาจดภารจำยอมเรื่องทางเดินผ่านเมื่อได้รับโฉนด ที่แบ่งแยกใหม่แล้ว ดังนี้ เมื่อทุกคนต่าง ได้รับโฉนด ที่แบ่งแยกใหม่แล้ว จึงมีหน้าที่ต้อง ปฏิบัติตาม ข้อตกลง แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จะขายที่ดินแปลงของตน ให้โจทก์ที่ 5 และที่ 6และโจทก์ที่ 4 จะยกที่ดินแปลงของตน ให้โจทก์ที่ 7 ซึ่ง เป็นเจ้าของที่แท้จริงไปแล้วก่อนฟ้อง โจทก์ทั้งเจ็ดโดย อาศัยสิทธิซึ่งกันและกันก็มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ปฏิบัติตาม ข้อตกลงได้ การที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินแปลงของตน ให้แก่จำเลยที่ 2 ถึง ที่ 4ซึ่ง เป็นบุตรของตน และอาศัยอยู่กับตน โดยเสน่หา ทั้งจำเลยที่ 2ถึง ที่ 4 ได้ ทราบว่า จำเลยที่ 1 ต้อง จดทะเบียนทางภารจำยอมมาตั้งแต่ แรก โดย ไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นที่ต้อง รีบโอนให้จำเลยที่ 2ถึง ที่ 4 ก่อนจดทะเบียนภารจำยอมเป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่า ทั้งผู้ยกให้และผู้รับยกให้ต่าง ทราบดี ว่าเป็นทางให้โจทก์เจ้าของที่ดินแปลงข้างในเสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการยกให้ได้ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการให้เพื่อให้ได้ มาซึ่ง ทางภารจำยอมเท่านั้น มิใช่ให้โอนที่ดินพิพาทมาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ การบังคับให้เพิกถอนการให้จึงไม่จำเป็นแก่การบังคับเพื่อประโยชน์ของโจทก์ทั้งโจทก์ก็มีคำขอให้จำเลยที่ 1 ผู้ยกให้หรือจำเลยที่ 2 ถึง ที่ 4ผู้รับการยกให้ที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนภารจำยอมมาด้วย ศาลจึงพิพากษาให้เฉพาะ จำเลยที่ 2 ถึง ที่ 4 ไปจดทะเบียนทางภารจำยอมในที่ดินของตน ได้ โดย ไม่จำต้องเพิกถอนการให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2256/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนที่ดินโดยฉ้อฉลเพื่อเสียเปรียบเจ้าของที่ดินข้างเคียง และการบังคับให้จดทะเบียนภารจำยอม
โจทก์ที่ 1 ถึง ที่ 4 และจำเลยที่ 1 ต่างลงชื่อในบันทึกข้อตกลงว่าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินแปลงใหญ่ และได้มาจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวมออกจากกันเป็นคนละ 1 แปลง แต่ยังไม่ได้จดภารจำยอมทางเดินเข้าออกเนื่องจากยังไม่มีโฉนด ทุกคนทราบว่าทางเดินกว้าง 6 เมตร และจะมาจดภารจำยอมเรื่องทางเดินผ่านเมื่อได้รับโฉนด ที่แบ่งแยกใหม่แล้ว ดังนี้ เมื่อทุกคนต่างได้รับโฉนดที่แบ่งแยกใหม่แล้ว จึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลง แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จะขายที่ดินแปลงของตนให้โจทก์ที่ 5 และที่ 6 และโจทก์ที่ 4 จะยกที่ดินแปลงของตนให้โจทก์ที่ 7 ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงไปแล้วก่อนฟ้อง โจทก์ทั้งเจ็ดโดยอาศัยสิทธิซึ่งกันและกันก็มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ปฏิบัติตาม ข้อตกลงได้
การที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินแปลงของตนให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรของตน และอาศัยอยู่กับตนโดยเสน่หา ทั้งจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้ทราบว่า จำเลยที่ 1 ต้องจดทะเบียนทางภารจำยอมมาตั้งแต่แรก โดยไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นที่ต้อง รีบโอนให้จำเลยที่ 2 ถึง ที่ 4 ก่อนจดทะเบียนภารจำยอมเป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่า ทั้งผู้ยกให้และผู้รับยกให้ต่างทราบดีว่าเป็นทางให้โจทก์เจ้าของที่ดินแปลงข้างในเสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการยกให้ได้
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการให้เพื่อให้ได้มาซึ่งทางภารจำยอมเท่านั้น มิใช่ให้โอนที่ดินพิพาทมาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ การบังคับให้เพิกถอนการให้จึงไม่จำเป็นแก่การบังคับเพื่อประโยชน์ของโจทก์ ทั้งโจทก์ก็มีคำขอให้จำเลยที่ 1 ผู้ยกให้หรือจำเลยที่ 2 ถึง ที่ 4 ผู้รับการยกให้ที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนภารจำยอมมาด้วย ศาลจึงพิพากษาให้เฉพาะจำเลยที่ 2 ถึง ที่ 4 ไปจดทะเบียนทางภารจำยอมในที่ดินของตนได้โดยไม่จำต้องเพิกถอนการให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเสนอสิทธิทางภาระจำยอมในคดีครอบครองปรปักษ์ ศาลไม่รับพิจารณาเนื่องจากเป็นคนละเรื่องกัน
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครอง ผู้คัดค้านมิได้คัดค้านเรื่องดังกล่าว แต่ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้คัดค้านได้สิทธิทางภาระจำยอมในที่ดินดังกล่าว จึงเป็นการตั้งสิทธิของตนขึ้นมาใหม่เป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวข้องกัน จะเสนอมาในคดีเดียวกันไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องครอบครองปรปักษ์และการตั้งสิทธิภารจำยอมในคดีเดียวกัน ศาลไม่รับพิจารณา
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครอง ผู้คัดค้านมิได้คัดค้านเรื่องดังกล่าว แต่ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้คัดค้านได้สิทธิทางภารจำยอมในที่ดินดังกล่าว จึงเป็นการตั้งสิทธิของตนขึ้นมาใหม่เป็นคนละเรื่องไม่เกี่ยวข้องกัน จะเสนอมาในคดีเดียวกันไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1344/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเว้นทางภาระจำยอม ทายาทมีสิทธิบังคับคู่สัญญาจดทะเบียนได้
จ. ทำสัญญาขายที่ดินในโฉนดบางส่วนทางด้านติดถนนให้จำเลยตามสัญญาซื้อขายระบุว่า จำเลยสัญญาและรับรองจะเว้นที่ดินทางขวามือเป็นถนนกว้าง 3 เมตร ยาวจดที่ดินของจำเลยให้ จ. มีสิทธิเดินและใช้รถยนต์เข้าไปถึงที่ดินส่วนที่เหลือของ จ. ได้ตลอดไป ดังนี้ ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นข้อสัญญาก่อตั้งภาระจำยอมในทางพิพาท เมื่อ จ. ตาย โจทก์ในฐานะทายาทผู้รับมรดกที่ดินส่วนที่เหลือของ จ. ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาให้ไปจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1344/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาระจำยอมจากการสัญญาซื้อขายที่ดิน: สิทธิของทายาทในการบังคับใช้สิทธิทางภาระจำยอม
จ. ทำสัญญาขายที่ดินในโฉนด บางส่วนทางด้าน ติดถนน ให้จำเลยตาม สัญญาซื้อขายระบุว่า จำเลยสัญญาและรับรองจะเว้น ที่ดินทางขวามือเป็นถนน กว้าง 3 เมตร ยาวจดที่ดินของจำเลยให้ จ. มีสิทธิเดิน และใช้ รถยนต์ เข้าไปถึง ที่ดินส่วนที่เหลือของ จ. ได้ตลอดไป ดังนี้ ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นข้อสัญญาก่อตั้งภาระจำยอมในทางพิพาทเมื่อ จ. ตาย โจทก์ในฐานะ ทายาทผู้รับมรดกที่ดินส่วนที่เหลือของ จ. ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยซึ่ง เป็นคู่สัญญาให้ไปจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1344/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินที่มีข้อกำหนดเว้นที่ดินเป็นทางภารจำยอม ทายาทมีสิทธิบังคับให้จดทะเบียนได้
จ. ทำสัญญาขายที่ดินในโฉนดบางส่วนทางด้านติดถนนให้จำเลยตามสัญญาซื้อขายระบุว่า จำเลยสัญญาและรับรองจะเว้นที่ดินทางขวามือเป็นถนนกว้าง 3 เมตร ยาวจดที่ดินของจำเลยให้ จ. มีสิทธิเดินและใช้รถยนต์เข้าไปถึงที่ดินส่วนที่เหลือของ จ.ได้ตลอดไป ดังนี้ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นข้อสัญญาก่อตั้งภารจำยอมในทางพิพาท เมื่อจ. ตาย โจทก์ในฐานะทายาทผู้รับมรดกที่ดินส่วนที่เหลือของ จ.ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาให้ไปจดทะเบียนทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1077/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนับระยะเวลาการยื่นอุทธรณ์และการพิพากษาทางภาระจำยอมโดยอายุความ
ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 12 เมษายน 2527 โจทก์ลงชื่อทราบคำสั่งแล้ว ครั้นถึงวันนัดโจทก์ไม่มาศาล ศาลสั่งให้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปเป็นวันที่ 24 เมษายน 2527 โดยให้ปิดประกาศแจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาให้โจทก์ทราบหน้าศาล ดังนี้ เมื่อกำหนดเวลามิได้ล่วงพ้นไปสิบห้าวันนับแต่วันปิดประกาศตามที่ระบุไว้ใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 การอ่านคำพิพากษาในวันที่ 24 เมษายน 2527 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายจะถือว่าโจทก์ทราบคำพิพากษาแล้วไม่ได้
โจทก์ยื่นคำแถลงขอคัดคำพิพากษาวันที่ 15 มิถุนายน 2527 และไม่ปรากฏว่าโจทก์ทราบว่าได้มีการอ่านคำพิพากษาก่อนวันดังกล่าว จึงต้องถือว่าโจทก์ทราบคำพิพากษาในวันที่โจทก์ยื่นคำแถลงขอคัดคำพิพากษา ดังนี้ การที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันนั้นจึงชอบแล้ว
ผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ดินโจทก์ใช้ทางพิพาทเข้าออกถนนสาธารณะผ่านที่ดินของจำเลยโดยพลการ โดยมิได้ขออนุญาตหรือได้รับอนุญาตจากจำเลย จึงเป็นการใช้เพื่อตน เมื่อได้ใช้ทางพิพาทมาเกิน 10 ปีแล้ว ทางพิพาทจึงเป็นทางภาระจำยอมโดยอายุความ.(ที่มา-ส่งเสริม)
of 52