คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 1387

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 516 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1418/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดสิทธิฟ้องคดีซ้ำ กรณีทำสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว แม้ปากทางจะแคบ
เดิมโจทก์เคยฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางในที่ดินของจำเลยโดยอ้างว่าเป็นทางภารจำยอม แล้วโจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมเปิดทางในที่ดินดังกล่าวกว้าง 2 เมตร 50 เซนติเมตร ยาวตลอดที่ดิน ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความทั้งสองฝ่ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 เมื่อจำเลยได้เปิดทางให้ผ่านที่ดินของจำเลยถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้รับความสะดวกเพราะปากทางแคบไปโจทก์ก็ไม่มีอำนาจมาฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางให้กว้างขึ้นไปอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1418/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของคำพิพากษาตามยอมและการจำกัดสิทธิฟ้องร้องเพิ่มเติมเมื่อสัญญาเดิมปฏิบัติครบถ้วน
เดิมโจทก์เคยฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางในที่ดินของจำเลยโดยอ้างว่าเป็นทางภารจำยอม แล้วโจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมเปิดทางในที่ดินดังกล่าวกว้าง 2 เมตร 50 เซนติเมตร ยาวตลอดที่ดิน ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความทั้งสองฝ่ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 เมื่อจำเลยได้เปิดทางให้ผ่านที่ดินของจำเลยถูกต้องครบถ้วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้รับความสะดวกเพราะปากทางแคบไปโจทก์ก็ไม่มีอำนาจมาฟ้องจำเลยขอให้เปิดทางให้กว้างขึ้นไปอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 922/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางจำเป็น: ศาลพิพากษาให้เปิดทางได้หากที่ดินถูกล้อมรอบและไม่มีทางออกอื่น แม้คำขอท้ายฟ้องขอเพียงรื้อถอนสิ่งกีดขวาง
ตามฟ้องมีข้อความตอนหนึ่งว่า จำเลยทั้งสองใช้ไม้กระดานและสังกะสีปิดกั้นทาง ขุดถนนเป็นหลุมและปลูกต้นกล้วย โจทก์ทั้งสองกับบริวารไม่สามารถใช้ทางผ่านเข้าออกและไม่มีทางอื่นที่จะให้โจทก์ผ่านออกไปได้อีกด้วย โดยที่ดินของโจทก์ถูกล้อมไว้รอบ โจทก์จะเป็นต้องตัดรั้วลวดหนามใช้บันไดปีนรั้วสังกะสีด้านหลัง ขออนุญาตชั่วคราวผ่านบ้านของผู้อื่นเป็นทางเข้าออกได้เฉพาะเวลากลางวัน จากถ้อยคำในฟ้องดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วว่า บ้านและที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นๆ ล้อมไว้รอบไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ คงมีทางออกอยู่ทางเดียวที่จำเลยปิดกั้นเสีย ทางพิพาทจึงเข้าลักษณะทางจำเป็น ศาลชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยเปิดทางจำเป็นได้ ไม่เกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 922/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางจำเป็น: การรื้อถอนสิ่งกีดขวางทางออกของที่ดินที่ถูกล้อมรอบ และการพิพากษาชอบด้วยฟ้อง
ตามฟ้องมีข้อความตอนหนึ่งว่า จำเลยทั้งสองใช้ไม้กระดานและสังกะสีปิดกั้นทาง ขุดถนนเป็นหลุมและปลูกต้นกล้วยโจทก์ทั้งสองกับบริวารไม่สามารถใช้ทางผ่านเข้าออกและไม่มีทางอื่นที่จะให้โจทก์ผ่านออกไปได้อีกด้วย โดยที่ดินของโจทก์ถูกล้อมไว้รอบ โจทก์จำเป็นต้องตัดรั้วลวดหนามใช้บันไดปีนรั้วสังกะสีด้านหลัง ขออนุญาตชั่วคราวผ่านบ้านของผู้อื่นเป็นทางเข้าออกได้เฉพาะเวลากลางวันจากถ้อยคำในฟ้องดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วว่า บ้านและที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่น ๆ ล้อมไว้รอบไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ คงมีทางออกอยู่ทางเดียวที่จำเลยปิดกั้นเสีย ทางพิพาทจึงเข้าลักษณะทางจำเป็น ศาลชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยเปิดทางจำเป็นได้ ไม่เกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 890/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมโดยอายุความในที่ดินแปลงเดียวกัน แม้ยังมิได้แบ่งแยก
โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนหนึ่งของโฉนดโดยการครอบครองที่ดินนอกนั้นเป็นของจำเลยล้อมรอบที่ดินส่วนของโจทก์อยู่ แม้ที่ดินของโจทก์จำเลยอยู่ในโฉนดเดียวกันแต่เมื่อโจทก์จำเลยแยกครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินคนละแปลงเป็นส่วนสัดทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินส่วนของจำเลยย่อมตกเป็นทางภารจำยอม แก่ที่ดินส่วนของโจทก์โดยอายุความได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 717/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอม: การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำทางเดิน รถยนต์บรรทุกสูงไม่เกิน 3 เมตร
ศาลพิพากษาให้จำเลยเปิดทางภารจำยอมให้มีความกว้าง 3 เมตร ตลอดแนวทาง และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางรุกล้ำทางภารจำยอมดังกล่าว และปรับที่ดินให้มีสภาพเป็นทางสัญจรไปมาตามปกติ จำเลยรื้อถอนตึกแถวที่ปลูกติดกับทางภารจำยอมโดยรื้อถอนส่วนล่างทั้งหมด แต่มีกัดสาด คานรับกันสาด กับส่วนบนของอาคารชั้นสองยังรุกล้ำเข้าไปเหนือพื้นดินทางภารจำยอม โดยส่วนของกันสาดรุกล้ำเข้าไป 1.38 เมตร สูงจากพื้นดิน 3.30 เมตร และคานรับกันสาดซึ่งอยู่ติดกับกันสาดรุกล้ำเข้าไปครึ่งหนึ่งของกันสาด ส่วนที่ต่ำที่สุดของคานรับกันสาดอยู่ติดกับตัวอาคารสูง 2.67 เมตร ดังนี้ เมื่อทางภารจำยอมที่พิพาทได้ใช้เป็นทางคนเดินและเป็นทางที่รถยนต์บรรทุกใช้ผ่านเข้าออกได้ สำหรับรถยนต์บรรทุกไม่ได้ความว่าใช้บรรทุกของมีความสูงจากพื้นดินทางภารจำยอมเพียงใด จึงต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายโดยบรรทุกของได้ส่วนสูงวัดจากพื้นดินไม่เกิน 3 เมตร ฉะนั้น จำเลยจึงยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลให้ครบถ้วน และจำเลยต้องรื้อถอนตึกแถวส่วนบนที่ยังกีดขวางรุกล้ำทางภารจำยอมเฉพาะที่มีส่วนสูงจากพื้นดินทางภารจำยอมไม่เกิน 3 เมตรออกไปให้หมด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมโดยอายุความ: การใช้ประโยชน์ต่อเนื่อง & เจตนาได้มาซึ่งสิทธิ
โจทก์ฟ้องว่าได้ภารจำยอมเป็นทางเดินในที่ดินของจำเลยโดยอายุความดังนี้ ข้อที่ว่าโจทก์จะได้ภารจำยอมจริงหรือไม่จึงขึ้นอยู่กับข้อที่ว่าโจทก์ได้เดินผ่านหรือใช้ที่ดินของจำเลยมาครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เกี่ยวกับการได้ภารจำยอมโดยอายุความหรือไม่ ผู้อื่นจะได้ใช้ทางเดินนี้ด้วยหรือไม่ก็ไม่มีผลเกี่ยวกับการได้ภารจำยอมของโจทก์ โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวในฟ้องว่ามีผู้อื่นได้ใช้ทางพิพาทนี้ด้วย เมื่อโจทก์กล่าวในฟ้องว่าผู้อาศัยอยู่ข้างในได้ใช้ทางเดินและรถผ่านด้วย แม้จะมิได้กล่าวว่าเป็นผู้ใด มีที่ดินอยู่ตรงไหนก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์เบิกความว่า เมื่อ พ.ศ.2486 โจทก์ได้มาอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 82 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดที่ 2177 ทั้งบ้านและที่ดินนี้เป็นของมารดาโจทก์ โจทก์เข้าออกทางพิพาทตลอดมาจนถึง พ.ศ.2493 จึงไปอยู่ต่างจังหวัดและต่อมาอีก 3-4 ปีจึงมารับครอบครัวไปอยู่ด้วย ดังนี้แม้จะนับเวลาที่ครอบครัวของโจทก์ใช้ทางพิพาทเข้าด้วย ก็หาทำให้ที่พิพาทตกอยู่ภายใต้ภารจำยอมโดยอายุความในช่วงเวลานั้นเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ไม่ เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 นั้น อสังหาริมทรัพย์จะตกอยู่ในภารจำยอมก็ต้องเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น เมื่อระยะเวลาที่โจทก์เดินผ่านหรือใช้ที่พิพาทตอนนั้น โจทก์เพียงอาศัยบ้านและที่ดินของมารดาโจทก์ซึ่งเป็นการใช้ที่พิพาทแทนเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น โจทก์จึงจะฟ้องอ้างว่าโจทก์เองได้ภารจำยอมเหนือที่พิพาทโดยอาศัยอายุความในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1466/2505) แต่เมื่อต่อมา โจทก์ได้เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 30212 โดยมารดาโจทก์แบ่งแยกให้จากที่ดินโฉนดที่ 2177 โจทก์ได้กลับมาปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของโจทก์ เช่นนี้โจทก์มีสิทธินับเวลาตอนก่อนของโจทก์ที่ได้ใช้ที่พิพาทแทนเจ้าของอสังหาริมทรัพย์มารวมกับเวลาที่โจทก์ใช้ที่พิพาทในตอนหลังเมื่อเป็นเจ้าของอสังริมทรัพย์เพื่อให้ได้ภารจำยอมในที่พิพาทได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 113/2504) แต่ทั้งนี้ก็ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของมาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1382 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กล่าวคือโจทก์จะต้องใช้ที่พิพาทโดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาให้ได้ภารจำยอมติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ได้ออกจากที่ดินโฉนดที่ 2177 ไปอยู่ต่างจังหวัดเมื่อ พ.ศ.2493 และหลังจากนั้นอีก 3-4 ปีครอบครัวของโจทก์ก็ตามไปอยู่ด้วย โจทก์เพิ่งกลับมาปลูกบ้านบนที่ดินของโจทก์โฉนดที่ 30212 เมื่อเดือนมิถุนายน 2510 ดังนี้จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ใช้ที่พิพาทติดต่อกันตลอดมาเพราะโจทก์ได้ขาดการใช้ที่พิพาทเป็นเวลาถึงกว่า 10 ปี การใช้ที่พิพาทของโจทก์ตอนก่อนที่โจทก์ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดเป็นอันสะดุดหยุดลงไปแล้ว โจทก์จะนับระยะเวลาตอนนั้นมาร่วมกับระยะเวลาการใช้ที่พิพาทตอนใหม่ของโจทก์มิได้ เมื่อโจทก์เพิ่งกลับมาใช้หรือเดินผ่านที่พิพาทใหม่นับถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 10 ปี โจทก์จึงยังไม่ได้ภารจำยอมในที่พิพาทโดยอายุความ
ระหว่างไปอยู่ที่ต่างจังหวัด แม้โจทก์จะได้กลับบ้านเดือนละ 2-3 ครั้ง และเข้าออกตามทางพิพาท ก็เป็นเพียงเพื่อไปหาผู้ที่อยู่ในที่ดินโฉนดที่ 2177 อันเป็นการเยี่ยมเยียนชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไม่ถือว่าการใช้ทางพิพาทของโจทก์ในระหว่างนั้นเป็นการใช้ทางพิพาทโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาให้ได้ภารจำยอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 721/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมโดยอายุความต้องใช้ต่อเนื่อง 10 ปี การขาดการใช้ทำให้ระยะเวลาสะสมเดิมเป็นอันสิ้นสุด
โจทก์ฟ้องว่า ได้ภารจำยอมเป็นทางเดินในที่ดินของจำเลยโดยอายุความ ดังนี้ข้อที่ว่าโจทก์จะได้ภารจำยอมจริงหรือไม่จึงขึ้นอยู่กับข้อที่ว่าโจทก์ได้เดินผ่านหรือใช้ที่ดินของจำเลยมาครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เกี่ยวกับการได้ภารจำยอมโดยอายุความหรือไม่ ผู้อื่นจะได้ใช้ทางเดินนี้ด้วยหรือไม่ก็ไม่มีผลเกี่ยวกับการได้ภารจำยอมของโจทก์ โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวในฟ้องว่ามีผู้อื่นได้ใช้ทางพิพาทนี้ด้วย เมื่อโจทก์กล่าวในฟ้องว่าผู้อาศัยอยู่ข้างในได้ใช้ทางเดินและรถผ่านด้วยแม้จะมีได้กล่าวว่าเป็นผู้ใด มีที่ดินอยู่ตรงไหน ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์เบิกความว่า เมื่อ พ.ศ.2486 โจทก์ได้มาอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 82 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดที่ 2177 ทั้งบ้านและที่ดินนี้เป็นของมารดาโจทก์ โจทก์เข้าออกทางพิพาทตลอดมาจนถึง พ.ศ.2493 จึงไปอยู่ต่างจังหวัด และต่อมาอีก 3-4 ปี จึงมารับครอบครัวไปอยู่ด้วย ดังนี้แม้จะนับเวลาที่ครอบครัวของโจทก์ใช้ทางพิพาทเข้าด้วย ก็หาทำให้ที่พิพาทตกอยู่ภายใต้ภารจำยอมโดยอายุความในช่วงเวลานั้นเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ไม่ เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 นั้น อสังหาริมทรัพย์จะตกอยู่ในภารจำยอมก็ต้องเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น เมื่อระยะเวลาที่โจทก์เดินผ่านหรือใช้ที่พิพาทตอนนั้น โจทก์เพียงอาศัยบ้านและที่ดินของมารดาโจทก์ซึ่งเป็นการใช้ที่พิพาทแทนเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น โจทก์จึงจะฟ้องอ้างว่าโจทก์เองได้ภารจำยอมเหนือที่พิพาทโดยอาศัยอายุความในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นไม่ได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1466/2505) แต่เมื่อต่อมา โจทก์ได้เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 30212 โดยมารดาโจทก์แบ่งแยกให้จากที่ดินโฉนดที่ 2177 โจทก์ได้กลับมาปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของโจทก์ เช่นนี้โจทก์มีสิทธินับเวลาตอนก่อนของโจทก์ที่ได้ใช้ที่พิพาทแทนเจ้าของอสังหาริมทรัพย์มารวมกับเวลาที่โจทก์ใช้ที่พิพาทในตอนหลังเมื่อเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้ได้ภารจำยอมในที่พิพาทได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่113/2504) แต่ทั้งนี้ก็ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของมาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1382 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กล่าวคือโจทก์จะต้องใช้ที่พิพาทโดยสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาให้ได้ภารจำยอมติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ได้ออกจากที่ดินโฉนดที่ 2177 ไปอยู่ต่างจังหวัดเมื่อ พ.ศ.2493 และหลังจากนั้นอีก 3-4 ปีครอบครัวของโจทก์ก็ตามไปอยู่ด้วย โจทก์เพิ่งกลับมาปลูกบ้านบนที่ดินของโจทก์โฉนดที่ 30212 เมื่อเดือนมิถุนายน 2510 ดังนี้จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ใช้ที่พิพาทติดต่อกันตลอดมาเพราะโจทก์ได้ขาดการใช้ที่พิพาทเป็นเวลาถึงกว่า 10 ปี การใช้ที่พิพาทของโจทก์ตอนก่อนที่โจทก์ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดเป็นอันสะดุดหยุดลงไปแล้วโจทก์จะนับระยะเวลาตอนนั้นมาร่วมกับระยะเวลาการใช้ที่พิพาทตอนใหม่ของโจทก์มิได้ เมื่อโจทก์เพิ่งกลับมาใช้หรือเดินผ่านที่พิพาทใหม่นับถึงวันฟ้องยังไม่ถึง 10 ปี โจทก์จึงยังไม่ได้ภารจำยอมในที่พิพาทโดยอายุความ
ระหว่างไปอยู่ที่ต่างจังหวัด แม้โจทก์จะได้กลับบ้านเดือนละ 2-3 ครั้งและเข้าออกตามทางพิพาทก็เป็นเพียงเพื่อไปหาผู้ที่อยู่ในที่ดินโฉนดที่ 2177 อันเป็นการเยี่ยมเยียนชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นไม่ถือว่าการใช้ทางพิพาทของโจทก์ในระหว่างนั้นเป็นการใช้ทางพิพาทโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาให้ได้ภารจำยอม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทิศที่ดินเป็นทางสาธารณะ และสิทธิการใช้ทางของเจ้าของที่ดินอื่น การละเมิดสิทธิในการใช้ทาง
จำเลยได้อุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้ว การอุทิศที่ให้เป็นทางสาธารณะย่อมสมบูรณ์แม้จะมิได้จดทะเบียน (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 506/2490) การที่จำเลยปักเสาลงในที่พิพาทเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งมีที่ดินอยู่ในซอยตากสิน 8 ไม่อาจใช้ซอยดังกล่าวได้เหมือนเดิม ทำให้โจทก์เสียหายเป็นพิเศษกว่าคนอื่น ๆ เป็นการละเมิดโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลสั่งให้จำเลยระงับความเสียหายได้(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1138-1139/2501)
โจทก์บรรยายฟ้องว่าซอยตากสิน 8 มีมาประมาณ 20 ปี โดยเจ้าของที่ดินแต่ละรายสละที่ดินของตนรวมทั้งจำเลยด้วยเพื่อเป็นทางสำหรับให้ประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์และ บริวารใช้สอยซอยตากสิน 8 ผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะโดยผ่านที่ดินจำเลยเกินกว่า 10 ปีแล้วซอยตากสิน 8 จึงเป็นทางภารจำยอม จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้มีทางอยู่เลยจำเลยและ อ. เพิ่งทำเป็นถนนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2502 ดังนี้จำเลยมิได้หลงผิดต่อสู้ว่าทางพิพาทมิได้ตกอยู่ในภารจำยอมแต่อย่างใด และการที่ศาลฟังว่าจำเลยอุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้วไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นเพราะโจทก์ได้ บรรยายการอ้างถึงสิทธิของโจทก์ที่จะผ่านเข้าออกทางพิพาทนี้มาในฟ้องแล้ว เพียงแต่กล่าวอ้างเป็นทางภารจำยอมไปเท่านั้น (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 217/2509)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทิศที่ดินเป็นทางสาธารณะ และการละเมิดสิทธิการใช้ทางของผู้อื่น
จำเลยได้อุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้ว การอุทิศที่ให้เป็นทางสาธารณะย่อมสมบูรณ์ แม้จะมิได้จดทะเบียน(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 506/2490) การที่จำเลยปักเสาลงในที่พิพาทเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งมีที่ดินอยู่ในซอยตากสิน 8 ไม่อาจใช้ซอยดังกล่าวได้เหมือนเดิม ทำให้โจทก์เสียหายเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ เป็นการละเมิด โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลสั่งให้จำเลยระงับความเสียหายได้(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1138-1139/2501)
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ซอยตากสิน 8 มีมาประมาณ 20 ปีโดยเจ้าของที่ดินแต่ละรายสละที่ดินของตน รวมทั้งจำเลยด้วย เพื่อเป็นทางสำหรับให้ประชาชนใช้ร่วมกันโจทก์และบริวารใช้สอยซอยตากสิน 8 ผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ โดยผ่านที่ดินจำเลยเกินกว่า 10 ปีแล้ว ซอยตากสิน 8 จึงเป็นทางภารจำยอม จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้มีทางอยู่เลยจำเลยและ อ. เพิ่งทำเป็นถนนขึ้นเมื่อ พ.ศ.2502 ดังนี้ จำเลยมิได้หลงผิดต่อสู้ว่าทางพิพาทมิได้ตกอยู่ในภารจำยอมแต่อย่างใดและการที่ศาลฟังว่าจำเลยอุทิศที่พิพาทให้เป็นทางสาธารณะแล้ว ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็นเพราะโจทก์ได้บรรยายกล่าวอ้างถึงสิทธิของโจทก์ที่จะผ่านเข้าออกทางพิพาทนี้มาในฟ้องแล้ว เพียงแต่กล่าวอ้างเป็นทางภารจำยอมไปเท่านั้น(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 217/2509)
of 52