คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
กฤษณ์ โสภิตกุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 727 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1764/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของคำฟ้องความเท็จต่อศาล: การระบุความแตกต่างระหว่างคำเบิกความและคำให้การในชั้นสอบสวน
บรรยายฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นพยานโจทก์ในคดีปล้นทรัพย์ เบิกความเท็จต่อศาลว่าจำคนร้ายไม่ได้ อันเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี ซึ่งความจริงจำเลยเคยให้การในฐานะพยานในชั้นสอบสวนว่าจำคนร้ายได้ ดังนี้ แม้จะมิได้กล่าวให้ปรากฏชัดว่าความจริงเป็นดังที่จำเลยเบิกความหรือเป็นดังที่จำเลยให้การ ก็ย่อมเข้าใจได้แล้วว่าโจทก์กล่าวอ้างว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นความเท็จ ส่วนความจริงเป็นดังที่จำเลยได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนนั่นเอง และในคดีอาญาเรื่องปล้นทรัพย์ คำเบิกความของพยานในข้อที่ว่าจำคนร้ายได้หรือไม่นั้น ย่อมเป็นข้อสำคัญในคดี คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ที่สมบูรณ์แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1756/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลือกตั้ง: การพิสูจน์การทุจริตการนับคะแนนที่ไม่ชัดเจน และการขาดหลักฐานสนับสนุนคำร้อง
ตามคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ข้อ 3 (1) ที่อ้างว่า ในเขตพระโขนง ย. ได้คะแนนตามภาพถ่ายป้ายประกาศเพียง 18,976 คะแนน ต่อมาได้มีการเพิ่มขึ้นอีก 1,154 คะแนน เป็น 20,130 คะแนน เมื่อรวมทั้งเขตเลือกตั้งที่ 3 จึงมีคะแนนมากกว่าผู้ร้องจำนวน 231 คะแนน หากไม่มีการเพิ่ม ผู้ร้องจะเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งโดยมีคะแนนมากกว่า ย. 923 คะแนนนั้น คำร้องข้อนี้ผู้ร้องมิได้บรรยายแจ้งชัดว่ามีการเพิ่มคะแนนกันอย่างไร ที่หน่วยไหน เป็นคำร้องที่เคลือบคลุม
คำร้องข้อ 3 (2) อ้างว่ามีการเพิ่มคะแนนให้ ย. ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 2 ตำบลหนองจอก เขตหนองจอก จาก 66 คะแนนเป็น 666 คะแนน เพิ่มขึ้นอีก 600 คะแนน คำร้องข้อ 3 (3) อ้างว่ามีการเพิ่มคะแนนให้ ย. ที่หน่วยเลือกตั้งในเขตพระโขนง โดยนับบัตรเสียของ ย.ประมาณ 5,000 บัตร เป็นบัตรดี และนับบัตรดีของผู้ร้องประมาณ 9,200 บัตร เป็นบัตรเสีย ผู้ร้องมิได้บรรยายว่าบัตรชนิดใดเป็นบัตรเสีย แต่กรรมการตรวจคะแนนถือว่าเป็นบัตรดี และบัตรชนิดใดที่เป็นบัตรดี แต่กรรมกาตรวจคะแนนถือว่าเป็นบัตรเสีย เพราะบัตรเลือกตั้งที่กฎหมายถือว่าเป็นบัตรเสียนั้น ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2511 มาตรา 58 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2517 มาตรา 19 ได้บัญญัติไว้ถึง 5 ประเภทด้วยกัน ที่ผู้ร้องกล่าวคลุม ๆ มาดังกล่าว หาชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ไม่
คำร้องข้อ 3 (4) อ้างว่า เพื่อเป็นคุณแก่ ย. และเพื่อเป็นโทษแก่ผู้ร้อง มีการทุจริตจงใจนับคะแนนให้ผิดความจริง ฯลฯ เห็นว่า แม้ผู้ร้องจะระบุว่ามีการกระทำดังกล่าวในหน่วยเลือกตั้งบางหน่วยและหน่วยอื่น ๆ อีก พอแปลความได้ว่า ทุกหน่วยเลือกตั้งก็ตาม แต่ผู้ร้องก็มิได้บรรยายโดยแจ้งชัดว่ามีการจงใจนับคะแนนให้ผิดความจริงอย่างไร เพิ่มหรือลดจำนวนคะแนนผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใด เท่าใด การรวมคะแนนและการลงคะแนนในรายงานแสดงผลการนับคะแนน การแก้ตัวเลขในรายงาน การแก้จำนวนคะแนนของผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่น การลงเครื่องหมายผู้ขอรับบัตรเพิ่มขึ้น ผิดความจริงไปอย่างไร คำร้องข้อนี้จึงเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1756/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง: การพิสูจน์ข้อกล่าวหาทุจริตต้องชัดเจนและมีหลักฐานสนับสนุน
ตามคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ข้อ 3(1) ที่อ้างว่า ในเขตพระโขนง ย. ได้คะแนนตามภาพถ่ายป้ายประกาศเพียง 18,976 คะแนน ต่อมาได้มีการเพิ่มขึ้นอีก 1,154 คะแนน เป็น 20,130 คะแนน เมื่อรวมทั้งเขตเลือกตั้งที่ 3 จึงมีคะแนนมากกว่าผู้ร้องจำนวน 231 คะแนน หากไม่มีการเพิ่มผู้ร้องจะเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งโดยมีคะแนนมากกว่า ย.923 คะแนนนั้น คำร้องข้อนี้ผู้ร้องมิได้บรรยายแจ้งชัดว่ามีการเพิ่มคะแนนกันอย่างไร ที่หน่วยไหน เป็นคำร้องที่เคลือบคลุม
คำร้องข้อ 3(2) อ้างว่ามีการเพิ่มคะแนนให้ ย. ที่หน่วยเลือกตั้งที่ 2 ตำบลหนองจอกเขตหนองจอก จาก 66 คะแนนเป็น 666 คะแนน เพิ่มขึ้นอีก 600 คะแนน คำร้องข้อ3(3) อ้างว่ามีการเพิ่มคะแนนให้ ย. ที่หน่วยเลือกตั้งในเขตพระโขนง โดยนับบัตรเสียของ ย. ประมาณ5,000 บัตร เป็นบัตรดี และนับบัตรดีของผู้ร้องประมาณ 9,200 บัตร เป็นบัตรเสีย ผู้ร้องมิได้บรรยายว่าบัตรชนิดใดเป็นบัตรเสียแต่กรรมการตรวจคะแนนถือว่าเป็นบัตรดี และบัตรชนิดใดที่เป็นบัตรดี แต่กรรมการตรวจคะแนนถือว่าเป็นบัตรเสีย เพราะบัตรเลือกตั้งที่กฎหมายถือว่าเป็นบัตรเสียนั้น ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2511 มาตรา 58 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2517 มาตรา 19 ได้บัญญัติไว้ถึง 5 ประเภทด้วยกัน ที่ผู้ร้องกล่าวคลุมๆ มาดังกล่าว หาชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ไม่
คำร้องข้อ 3(4) อ้างว่า เพื่อเป็นคุณแก่ ย. และเพื่อเป็นโทษแก่ผู้ร้อง มีการทุจริตจงใจนับคะแนนให้ผิดความจริง ฯลฯ เห็นว่า แม้ผู้ร้องจะระบุว่ามีการกระทำดังกล่าวในหน่วยเลือกตั้งบางหน่วยและหน่วยอื่นๆ อีก พอแปลความได้ว่า ทุกหน่วยเลือกตั้งก็ตาม แต่ผู้ร้องก็มิได้บรรยายโดยแจ้งชัดว่ามีการจงใจนับคะแนนให้ผิดความจริงอย่างไร เพิ่มหรือลดจำนวนคะแนนผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใดเท่าใด การรวมคะแนนและการลงคะแนนในรายงานแสดงผลการนับคะแนนการแก้ตัวเลขในรายงาน การแก้จำนวนคะแนนของผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่น การลงเครื่องหมายผู้ขอรับบัตรเพิ่มขึ้น ผิดความจริงไปอย่างไร คำร้องข้อนี้จึงเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1745/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงให้ผลคดีหนึ่งผูกพันอีกคดีหนึ่งชอบด้วยกฎหมาย หากคดีทั้งสองเกี่ยวข้องกันและมีเหตุผลสนับสนุน
โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยได้นำรังวัดที่ดินของจำเลยเพื่อออก น.ส.3 แต่ได้นำรังวัดเอาที่พิพาทรวมเข้าไปด้วย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทออกจาก น.ส.3 และห้ามเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของบิดาจำเลยได้บุกเบิกแผ้วถางทำประโยชน์มานาน 40 ปีแล้ว ต่อมาบิดาจำเลยตายที่ดินนี้จึงตกได้แก่จำเลย ชั้นพิจารณามีการทำแผนที่พิพาท ปรากฏว่าที่ดินตาม น.ส.3 ของจำเลยนอกจากจะพิพาทกับโจทก์ ยังพิพาทกับ จ. โดยที่พิพาทคดีนี้กับคดีนั้นอยู่ติดกัน โจทก์จำเลยถึงแถลงร่วมกันว่าไม่ติดใจสืบพยาน โดยตกลงท้ากันว่าเมื่อคดีถึงที่สุดหาก จ.ชนะคดีก็ให้ถือว่าคดีนี้โจทก์เป็นฝ่ายชนะ ถ้าคดีนั้นจำเลยชนะก็ให้ถือว่าคดีนี้จำเลยเป็นฝ่ายชนะ ต่อมาคดีที่จำเลยพิพาทกับ จ. นั้น ศาลฎีกาพิพากษาให้ จ.ชนะคดี ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาในคดีนี้ให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทออกจาก น.ส.3 ของจำเลย และห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าที่พิพาททั้งสองคดีนี้อยู่ติดกัน และต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ตาม น.ส.3 ของจำเลย จำเลยได้ขอออก น.ส.3 ครอบที่พิพาททั้งสองแปลงเข้าไปด้วย และทั้งสองคดีจำเลยให้การต่อสู้ทำนองเดียวกัน คดีทั้งสองจึงเกี่ยวข้องกัน มิใช่เป็นเรื่องเอาเหตุการณ์ภายนอกมาเป็นข้อท้าแต่อย่างใด การที่ให้ถือเอาผลแห่งคำพิพากษาคดีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีความเกี่ยวข้องกันอยู่มาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ มีผลให้บังคับคดีนี้ได้ ย่อมถือว่าเป็นคำท้าที่ชอบด้วยกฎหมาย หามีลักษณะเป็นการพนันขันต่อแต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1745/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงให้ผลคดีหนึ่งผูกพันอีกคดีหนึ่งชอบด้วยกฎหมาย หากคดีทั้งสองเกี่ยวข้องกันและไม่ใช่การพนัน
โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยได้นำรังวัดที่ดินของจำเลยเพื่อออก น.ส.3 แต่ได้นำรังวัดเอาที่พิพาทรวมเข้าไปด้วย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทออกจาก น.ส.3 และห้ามเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของบิดาจำเลยได้บุกเบิกแผ้วถางทำประโยชน์มานาน 40 ปีแล้ว ต่อมาบิดาจำเลยตายที่ดินนี้จึงตกได้แก่จำเลย ชั้นพิจารณามีการทำแผนที่พิพาทปรากฏว่าที่ดินตาม น.ส.3 ของจำเลยนอกจากจะพิพาทกับโจทก์ ยังพิพาทกับ จ. โดยที่พิพาทคดีนี้กับคดีนั้นอยู่ติดกัน โจทก์จำเลยจึงแถลงร่วมกันว่าไม่ติดใจสืบพยาน โดยตกลงท้ากันว่าเมื่อคดีนั้นถึงที่สุด หากจ. ชนะคดีก็ให้ถือว่าคดีนี้โจทก์เป็นฝ่ายชนะ ถ้าคดีนั้นจำเลยชนะก็ให้ถือว่าคดีนี้จำเลยเป็นฝ่ายชนะ ต่อมาคดีที่จำเลยพิพาทกับ จ. นั้น ศาลฎีกาพิพากษาให้ จ.ชนะคดี ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาในคดีนี้ให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทออกจาก น.ส.3 ของจำเลยและห้ามจำเลยเกี่ยวข้องดังนี้เมื่อปรากฏว่าที่พิพาททั้งสองคดีนี้อยู่ติดกันและต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ตาม น.ส.3 ของจำเลย จำเลยได้ขอออก น.ส.3 ครอบที่พิพาททั้งสองแปลงเข้าไปด้วย และทั้งสองคดีจำเลยให้การต่อสู้ทำนองเดียวกัน คดีทั้งสองจึงเกี่ยวข้องกัน มิใช่เป็นเรื่องเอาเหตุการณ์ภายนอกมาเป็นข้อท้าแต่อย่างใด การที่ให้ถือเอาผลแห่งคำพิพากษาคดีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีความเกี่ยวข้องกันอยู่มาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ มีผลให้บังคับคดีนี้ได้ ย่อมถือว่าเป็นคำท้าที่ชอบด้วยกฎหมาย หามีลักษณะเป็นการพนันขันต่อแต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1742/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความในคดีแพ่ง: นับจากคำฟ้องเดิม แม้ต้องยื่นใหม่ตามคำสั่งศาล
ศาลสั่งให้ทำคำฟ้องมายื่นใหม่แทนคำฟ้องเดิม การนับอายุความนับถึงวันยื่นคำฟ้องเดิม ไม่ใช่วันยื่นคำฟ้องที่ทำมายื่นใหม่ตามคำสั่งศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1731/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำนองที่ดินหลังทำสัญญาจะซื้อขาย: คบคิดทำให้เสียเปรียบ
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินกับ ต. จำเลย ชำระราคาบางส่วนและเข้าครอบครองปลูกบ้านอยู่ ต. เอาที่ดินนั้นจดทะเบียนจำนองแก่ ช. จำเลย แม้โจทก์ไม่อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน โจทก์ก็ขอเพิกถอนการจำนองที่ทำโดยคบคิดกันให้โจทก์เสียเปรียบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องไล่เบี้ยเช็ค: เริ่มนับจากวันที่ถูกฟ้อง ไม่ใช่เมื่อชำระเงินตามคำพิพากษา
จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 สลักหลังให้โจทก์โจทก์สลักหลังต่อให้ จ. จ. นำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคารไม่ได้ จึงฟ้องโจทก์เป็นจำเลยเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2514 แม้ในคดีที่ จ.ฟ้องโจทก์นั้น โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2515 โดยโจทก์ยอมชำระเงินให้ จ. และเข้าถือเอาเช็ครายพิพาทนี้ก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์เข้าถือเอาเช็คและใช้เงินตามความหมายของมาตรา 1003 ตอนแรก เพราะโจทก์ในฐานะผู้สลักหลังถูกฟ้อง มิใช่โจทก์จ่ายเงินตามเช็คให้ จ. และเข้าถือเอาเช็คไว้ไล่เบี้ย เมื่อโจทก์มาฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยทั้งสองในวันที่ 10 เมษายน 2515 พ้นเวลาหกเดือนนับแต่วันที่โจทก์ถูกฟ้องแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003
กรณีดังกล่าวข้างต้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003ได้บัญญัติถึงเรื่องอายุความไว้เป็นพิเศษต่างหากแล้วการนับอายุความจึงต้องบังคับไปตามมาตราดังกล่าว จะนำมาตรา 169 มาใช้บังคับโดยถือว่าให้เริ่มนับอายุความตั้งแต่ขณะที่โจทก์อาจจะบังคับสิทธิเรียกร้องได้คือวันที่ 3 เมษายน 2515 เป็นต้นไป หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1378/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตคำขอในคดีที่ดินและค่าใช้จ่ายทำแผนที่วิวาท ศาลพิพากษาตามข้อเท็จจริงเกินคำขอไม่ได้
คำร้องให้แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินระบุเนื้อที่ประมาณ 243 ตารางวา แต่ได้ความตามแผนที่วิวาทเกินออกไปอีก 40 ตารางวา ศาลพิพากษาให้ตามที่ได้ความ ไม่เป็นการเกินคำขอ
ค่าใช้จ่ายในการทำแผนที่วิวาท ซึ่งศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินทำตามที่คู่ความตกลงกัน เป็นค่าฤชาธรรมเนียมตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 ซึ่งศาลสั่งให้เป็นพับแก่โจทก์ผู้แพ้คดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1361/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฆ่าโดยไม่ไตร่ตรองไว้ก่อน: โทสะพลุ่งพล่านเฉพาะหน้า
จำเลยจะไปตัดไม้ไผ่ ผู้ตายห้าม เกิดทะเลาะกัน จำเลยจึงกลับไปเอาปืนจากบ้านมาพบผู้ตายอีก แต่มิได้ยิงผู้ตายในทันที ได้พูดกับผู้ตายเรื่องไม้ไผ่ ว่าเขายกให้มึงหรือ และยังพูดต่อไปอีก 2-3 คำ รูปคดียังไม่ชี้ชัดลงไปว่า จำเลยมาพบผู้ตายเพื่อจะใช้ปืนยิงให้ตาย การที่กลับเปลี่ยนใจใช้ปืนยิงในภายหลังน่าจะเป็นเพราะผู้ตายเฉยไม่ยอมพูดทำความเข้าใจกับจำเลย ทำให้เกิดโทสะพลุ่งขึ้นเฉพาะหน้าแล้วยิงผู้ตายในขณะนั้น ยังไม่พอฟังว่าจำเลยฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
of 73