คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
กฤษณ์ โสภิตกุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 727 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 870/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การให้เช่าทรัพย์มรดกไม่เป็นการย้ายทรัพย์หรือโอนให้ผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
การที่จำเลยนำที่ดินซึ่งโจทก์กำลังฟ้องเรียกเอาจากจำเลยไปให้เช่าและจดทะเบียนการเช่านั้น ไม่ใช่เป็นการย้ายไปเสียหรือโอนไปให้ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกักเก็บน้ำทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น จำเลยต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย
น้ำไหลผ่านห้วยในที่ดินของจำเลย จำเลยทำทำนบกักไว้ใช้เป็นเหตุให้น้ำท่วมนาผู้อื่นเสียหาย จำเลยต้องใช้ค่าเสียหายนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 796-797/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษจำเลยเยาวชนในคดีข่มขืนกระทำชำเรา ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษตามกฎหมายเฉพาะ ทำให้ไม่อาจฎีกาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ให้จำคุก 10 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้น แต่เห็นว่าจำเลยอายุ 16 ปี พิพากษาแก้ โดยลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ให้จำคุก 5 ปี ดังนี้เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 796-797/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษจำคุกในคดีข่มขืนกระทำชำเรา โดยศาลอุทธรณ์ลดโทษตามอายุผู้กระทำผิด ทำให้ไม่อาจฎีกาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราให้จำคุก 10 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้นแต่เห็นว่าจำเลยอายุ 16 ปี พิพากษาแก้โดยลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ให้จำคุก 5 ปี ดังนี้ เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776-794/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินรกร้างถูกหวงห้ามเพื่อจัดตั้งนิคมฯ โจทก์เข้าทำกินภายหลัง สิทธิครอบครองไม่สมบูรณ์ ยันจำเลยไม่ได้
ที่พิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่ามาตั้งแต่ปี 2478 ต่อมามีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามในท้องที่ตำบลพรหมพิราม ฯลฯพ.ศ.2487 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินพ.ศ.2478 กำหนดเขตหวงห้ามในที่ดินดังกล่าว โดยหวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ในการจัดตั้งนิคมกสิกรตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2485ซึ่งต่อมาได้มีพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ใช้บังคับติดต่อกันมา หลังจากนั้นทางราชการได้ประกาศจัดตั้งนิคมสร้างตนเองทุ่งสาน มีอาณาเขตคลุมถึงที่พิพาทด้วยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 246 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2515 ดังนี้ เห็นได้ว่าที่พิพาทมิใช่เป็นเพียงที่ดินรกร้างว่างเปล่าธรรมดา หากแต่เป็นที่ดินซึ่งได้หวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ทางราชการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 ตั้งแต่ปี 2487 ตลอดมาอีกด้วย แม้พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินพ.ศ.2478 จะได้ถูกยกเลิกไปโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 4(6) แต่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 10 ก็บัญญัติว่าที่ดินซึ่งได้หวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 หรือตามกฎหมายอื่นอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ให้คงเป็นที่หวงห้ามต่อไปดังนั้นแม้โจทก์จะได้เข้าครอบครองและทำกินในที่พิพาทมาตั้งแต่ปี 2507 จนบัดนี้ก็เป็นการเข้ายึดถือที่ดินซึ่งทางราชการได้ประกาศหวงห้ามแล้วเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย หากจะถือว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครอง ก็ไม่อาจใช้สิทธิยันจำเลยซึ่งเป็นหน่วยราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 776-794/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินรกร้างว่างเปล่าถูกหวงห้ามเพื่อจัดตั้งนิคมฯ โจทก์เข้าครอบครองภายหลังมิอาจใช้สิทธิอ้างการครอบครอง
ที่พิพาทเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่ามาตั้งแต่ปี 2478 ต่อมามีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามในท้องที่ตำบลพรหมพิราม ฯลฯ พ.ศ.2487 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่า อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 กำหนดเขตหวงห้ามในที่ดินดังกล่าว โดยหวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ในการจัดตั้งนิคมกสิกรตามพระราชบัญญัติจัด ที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2485 ซึ่งต่อมาได้มีพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ใช้บังคับต่อกันมา หลังจากนั้นทางราชการได้ประกาศจัดตั้งนิคมสร้างตนเองทุ่งสาน มีอาณาเขตคลุมถึงที่พิพาทด้วยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 246 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2515 ดังนี้ เห็นได้ว่าที่พิพาทมิใช่เป็นเพียงที่ดินรกร้างว่างเปล่าธรรมดา หากแต่เป็นที่ดินซึ่งได้หวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ทางราชการ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 ตั้งแต่ปี 2487 ตลอดมาอีกด้วย แม้พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 จะได้ถูกยกเลิกไปโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 4(6) แต่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 มาตรา 10 ก็บัญญัติว่า ที่ดินซึ่งได้หวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 หรือตามกฎหมายอื่นอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ให้คงเป็นที่หวงห้ามต่อไปดังนั้น แม้โจทก์จะได้เข้าครอบครองและทำกินในที่พิพาทมาตั้งแต่ปี 2507 จนบัดนี้ ก็เป็นการเข้ายึดถือที่ดินซึ่งทางราชการได้ประกาศหวงห้ามแล้วเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายหากจะถือว่าโจทก์ได้สิทธิ ครอบครอง ก็ไม่อาจใช้สิทธิ+จำเลยซึ่งเป็นหน่วยราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 761/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เทศบาลประมาทเลินเล่อไม่ซ่อมทางเท้า ทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ
เทศบาลจำเลยมีหน้าที่ซ่อมแซมถนน จำเลยไม่ทราบว่ามีทางเท้าเป็นหลุมขนาดใหญ่มา 2 ปี จำเลยไม่ซ่อมเป็นเหตุให้โจทก์เดินตกลงไปซึ่งโจทก์คาดหมายได้ว่าทางสาธารณะจะไม่มีหลุมเช่นนั้น จำเลยประมาทเลินเล่อฝ่ายเดียว จำเลยไม่สืบพยานแก้ในข้อค่าเสียหายไม่ถือว่ายอมรับตามที่โจทก์นำสืบ ศาลกำหนดให้ได้ตามควร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อของผู้ขับขี่และผู้ครอบครองรถยนต์ การตรวจสภาพรถยนต์เป็นหน้าที่ของผู้ขับขี่ การพิสูจน์เหตุสุดวิสัย
จำเลยที่ 1 รับราชการเป็นตำรวจ มีหน้าที่ขับรถยนต์ของทางราชการกรมตำรวจจำเลยที่ 3 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถจิ๊ปของจำเลยที่ 3 ไปราชการตามหน้าที่โดยมิได้ใช้ความระมัดระวังตรวจตราดูรถก่อนจะขับออกไปว่าฝากระโปรงครอบหน้ารถอยู่ในสภาพเรียบร้อยหรือไม่ เมื่อรถยนต์คันจำเลยที่ 1 ขับแล่นสวนทางกับรถยนต์คันที่ อ. ขับซึ่งมีโจทก์นั่งมาข้างหน้าด้วยฝากระโปรงครอบเครื่องยนต์หน้ารถคันจำเลยที่ 1 ขับได้หลุดไปปะทะกระจกหน้ารถคันที่โจทก์นั่ง แต่ทะลุไปถูกหน้าโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสเหตุที่ฝากระโปรงครอบเครื่องยนต์หน้ารถหลุดออกไปก็เพราะสปริงขอเกาะฝากระโปรงอ่อนและเบ้าที่รองรับโคนขอรั้งสึก ทำให้เบ้าหลวมเนื่องจากใช้มานานจึงเกิดการเสื่อมสภาพ เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถไปด้วยความเร็ว 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนพื้นถนนราดยางที่ไม่เรียบและมีลมพัดแรงจึงเกิดความสั่นสะเทือนอย่างแรง ทำให้ขอรั้งหลุดออกลมเข้าไปในฝากระโปรงหน้ารถเมื่อถูกลมแรงๆ จึงหลุดออกไปจากตัวรถซึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะต้องระมัดระวังตรวจตราทำให้อยู่ในสภาพดีเสียก่อนนำไปใช้ และจำเลยที่ 1 ก็ทราบแต่หาได้จัดการอย่างใดไม่ดังนี้ เหตุที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัย เพราะไม่ใช่กระโปรงหน้ารถอยู่ในสภาพแข็งแรงเรียบร้อยตามสภาพแล้วเกิดจากภัยนอกอำนาจซึ่งไม่อาจรู้และป้องกันได้ จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อในการตรวจสภาพรถและการรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากเหตุฝากระโปรงหลุด
จำเลยที่ 1 รับราชการเป็นตำรวจ มีหน้าที่ขับรถยนต์ของทางราชการกรมตำรวจจำเลยที่ 3 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถจิ๊ปของจำเลยที่ 3 ไปราชการตามหน้าที่โดยมิได้ใช้ความระมัดระวังตรวจตราดูรถก่อนจะขับออกไปว่าฝากระโปรงครอบหน้ารถอยู่ใน สภาพเรียบร้อยหรือไม่ เมื่อรถยนต์คันจำเลยที่ 1 ขับแล่นสวนทางกับรถยนต์คันที่ อ. ขับ ซึ่งมีโจทก์นั่งมาข้างหน้าด้วย ฝากระโปรงครอบเครื่องยนต์หน้ารถคันจำเลยที่ 1 ขับได้หลุดไปปะทะกระจกหน้ารถคันที่โจทก์นั่ง แตกทะลุไปถูกหน้าโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัสเหตุฝากระโปรงครอบเครื่องยนต์หน้ารถหลุดออกไป ก็เพราะสปริงขอเกาะฝากระโปรงอ่อนและเบ้าที่รองรับโคนขอรั้งสึก ทำให้เบ้าหลวม เนื่องจากใช้มานานจึงเกิดการเสื่อมสภาพ เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถไปด้วยความเร็ว 50-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนพื้นถนนราดยางที่ไม่เรียบและมีลมพัดแรง จึงเกิดความสั่นสะเทือนอย่างแรง ทำให้ขอรั้งหลุดออกลมเข้าไปในฝากระโปรงหน้ารถเมื่อถูกลมแรง ๆ จึงหลุดออกไปจากตัวรถ ซึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะต้องระมัดระวังตรวจตราทำให้อยู่ในสภาพดีเสียก่อนนำไปใช้ และจำเลยที่ 1 ก็ทราบแต่หาได้จัดการอย่างใดไม่ ดังนี้เหตุนี้เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เหตุสุดวิสัยเพราะไม่ใช่กระโปรงหน้ารถอยู่ในสภาพแข็งแรงเรียบร้อยตามสภาพแล้ว เกิดจากภัยนอกอำนาจซึ่งไม่อาจรู้และป้องกันได้ จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 658/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดเบิกความเท็จต้องแสดงให้เห็นความสำคัญของข้อความต่อคดี
ฟ้องว่าเบิกความเท็จบรรยายข้อความที่ว่าเบิกความเป็นเท็จกับความจริงเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าข้อความนั้นเป็นข้อสำคัญแก่คดีอย่างไรฟ้องดังนี้ไม่พอฟังว่าคำเบิกความเป็นข้อสำคัญอันควรมีความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177.
of 73