พบผลลัพธ์ทั้งหมด 727 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2783/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหมิ่นประมาทต้องระบุรายละเอียดการใส่ความและข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวอ้างอย่างชัดเจน
บรรยายฟ้องคดีหมิ่นประมาทว่าจำเลยร่วมกันเป็นตัวการก่อให้ผู้อื่นกระทำผิด โดยออกแถลงการณ์เป็นใบปลิวว่าผู้อำนวยการองค์การแก้วทุจริต แล้วอ่านใบปลิวนั้นด้วยเครื่องกระจายเสียงใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามว่าโจทก์ร่วมทุจริตกับผู้อำนวยการ แต่ถ้อยคำที่จำเลยพูดมีว่าอย่างไรใบปลิวที่โจทก์เท้าความถึงมีข้อความว่าอย่างไร โจทก์ได้ร่วมทุจริตอย่างไร มิได้บรรยายมาในฟ้องหรือแนบมาท้ายฟ้องคงกล่าวโดยสรุปว่าโจทก์ร่วมทุจริตกับผู้อำนวยการเท่านั้นคำฟ้องของโจทก์จึงไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2744/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายที่ดินมือเปล่า: อำนาจสามีจำหน่ายสินบริคณห์ และการรับรองหลักฐานการโอนกรรมสิทธิ์
สัญญาซื้อขายที่ดินมือเปล่าอันเป็นสินบริคณห์ ซึ่งสามีลงชื่อเป็นผู้ขายแต่เพียงผู้เดียวนั้น หาใช่เป็นการขายเฉพาะส่วนของสามีไม่ แต่เป็นการขายทั้งแปลง เพราะสามีย่อมมีอำนาจจำหน่ายทรัพย์สินบริคณห์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 โจทก์จึงไม่จำต้องนำสืบว่าภรรยาได้รู้เห็นยินยอมด้วย
สัญญาซื้อขายที่ดินมือเปล่าซึ่งทำกันเอง เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่แสดงว่าผู้ขายได้สละการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้ผู้ซื้อแล้วเท่านั้นเอกสารเช่นนี้ประมวลรัษฎากรหาได้กำหนดไว้ให้ปิดอากรแสตมป์แต่อย่างใดไม่ จึงรับฟังได้แม้มิได้ปิดอากรแสตมป์
สัญญาซื้อขายที่ดินมือเปล่าซึ่งทำกันเอง เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่แสดงว่าผู้ขายได้สละการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้ผู้ซื้อแล้วเท่านั้นเอกสารเช่นนี้ประมวลรัษฎากรหาได้กำหนดไว้ให้ปิดอากรแสตมป์แต่อย่างใดไม่ จึงรับฟังได้แม้มิได้ปิดอากรแสตมป์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2744/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายที่ดินมือเปล่าและอำนาจจำหน่ายสินบริคณห์ของสามี โดยไม่จำเป็นต้องมีคู่สมรสยินยอม
สัญญาซื้อขายที่ดินมือเปล่าอันเป็นสินบริคณห์ ซึ่งสามีลงชื่อเป็นผู้ขายแต่เพียงผู้เดียวนั้น หาใช่เป็นการขายเฉพาะส่วนของสามีไม่ แต่เป็นการขายทั้งแปลง เพราะสามีย่อมมีอำนาจจำหน่ายทรัพย์สินบริคณห์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1473 โจทก์จึงไม่จำต้องนำสืบว่าภรรยาได้รู้เห็นยินยอมด้วย
สัญญาซื้อขายที่ดินมือเปล่าซึ่งทำกันเอง เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่แสดงว่าผู้ขายได้สละการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้ผู้ซื้อแล้วเท่านั้นเอกสารเช่นนี้ประมวลรัษฎากรหาได้กำหนดไว้ให้ปิดอากรแสตมป์แต่อย่างใดไม่ จึงรับฟังได้แม้มิได้ปิดอากรแสตมป์
สัญญาซื้อขายที่ดินมือเปล่าซึ่งทำกันเอง เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่แสดงว่าผู้ขายได้สละการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้ผู้ซื้อแล้วเท่านั้นเอกสารเช่นนี้ประมวลรัษฎากรหาได้กำหนดไว้ให้ปิดอากรแสตมป์แต่อย่างใดไม่ จึงรับฟังได้แม้มิได้ปิดอากรแสตมป์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2737/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญาคดียักยอกทรัพย์: การระบุรายละเอียดการกระทำผิดและผลกระทบต่อการต่อสู้คดี
ฟ้องว่า จำเลยมีหน้าที่ควบคุมดูแลจัดการเก็บรักษาการบัญชีรับจ่ายและรักษาเงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2513 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2514 เป็นเวลาถึง 1 ปี 7 เดือน จำเลยได้บังอาจยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 11,726.39 บาท ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ไป ปรากฏจากข้อนำสืบของโจทก์ว่า งบประมาณขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์มี 5งบ คือ งบทั่วไป งบเร่งรัดพัฒนาชนบท งบส่วนการศึกษางบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และงบอุดหนุนสภาตำบล เงินที่หายไปนี้เป็นเงินที่อยู่ในงบเร่งรัดพัฒนาชนบทและเกิดจากการที่จำเลยยักยอกเงินตามบัญชีเงินสดเกินหรือขาดไปรวม 22 รายการ แต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดที่เป็นสารสำคัญว่า เป็นเงินงบใด และยักยอกแต่ละครั้ง เป็นจำนวนเท่าใดและเมื่อใด เมื่อบรรยายรวมๆกันมาเช่นนี้ จำเลยจะเข้าใจข้อหาเกี่ยวกับเงินที่จำเลยต้องหาว่ายักยอกเบียดบังมิได้เลย ย่อมเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 894/2508)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และมีคำขอให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยยักยอกนั้นแก่ผู้เสียหายด้วยนั้น เป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่โจทก์ฟ้อง แม้ศาลจะไม่ลงโทษจำเลย เพราะคำฟ้องของโจทก์ในส่วนอาญาไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อจำเลยรับว่าได้ยักยอกเบียดบังเอาเงินของผู้เสียหายไปจริง อำนาจของพนักงานอัยการที่จะว่ากล่าวเกี่ยวกับคำขอส่วนแพ่งคงมีต่อไป ศาลมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนเงินจำนวนนั้นแก่ผู้เสียหายได้
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา147 โดยบรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้กระทำผิดในวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดในระหว่างที่จำเลยดำรงตำแหน่งพนักงานบัญชีและรักษาการในตำแหน่งหัวหน้าหมวดการเงินและการบัญชีส่วนการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง และต่อมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมวดดังกล่าวติดต่อกันมา คือ ระหว่างวันที่ 19สิงหาคม 2512 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2515 และเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2514 เวลากลางวัน จำเลยได้รับเงินอุดหนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 101,910 บาท จากนายเสถียรศรีพนา จำเลยได้จ่ายเงินดังกล่าวโดยหักเงินสะสมไว้ 4,056 บาท แล้วยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 4,056 บาทไป จึงเป็นฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยยักยอกเบียดบังเอาเงินไปในระหว่างวันที่ 29 มกราคม 2514 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยรับเงิน ถึงวันที่ 30 กันยายน 2515 ฟ้องข้อนี้จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1330/2506)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และมีคำขอให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยยักยอกนั้นแก่ผู้เสียหายด้วยนั้น เป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่โจทก์ฟ้อง แม้ศาลจะไม่ลงโทษจำเลย เพราะคำฟ้องของโจทก์ในส่วนอาญาไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อจำเลยรับว่าได้ยักยอกเบียดบังเอาเงินของผู้เสียหายไปจริง อำนาจของพนักงานอัยการที่จะว่ากล่าวเกี่ยวกับคำขอส่วนแพ่งคงมีต่อไป ศาลมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนเงินจำนวนนั้นแก่ผู้เสียหายได้
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา147 โดยบรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้กระทำผิดในวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดในระหว่างที่จำเลยดำรงตำแหน่งพนักงานบัญชีและรักษาการในตำแหน่งหัวหน้าหมวดการเงินและการบัญชีส่วนการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง และต่อมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมวดดังกล่าวติดต่อกันมา คือ ระหว่างวันที่ 19สิงหาคม 2512 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2515 และเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2514 เวลากลางวัน จำเลยได้รับเงินอุดหนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 101,910 บาท จากนายเสถียรศรีพนา จำเลยได้จ่ายเงินดังกล่าวโดยหักเงินสะสมไว้ 4,056 บาท แล้วยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 4,056 บาทไป จึงเป็นฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยยักยอกเบียดบังเอาเงินไปในระหว่างวันที่ 29 มกราคม 2514 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยรับเงิน ถึงวันที่ 30 กันยายน 2515 ฟ้องข้อนี้จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1330/2506)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2737/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องอาญาฐานยักยอกทรัพย์ต้องระบุรายละเอียดการกระทำ ความเสียหาย และช่วงเวลาที่ชัดเจน หากไม่ชัดเจนฟ้องไม่สมบูรณ์
ฟ้องว่า จำเลยมีหน้าที่ควบคุมดูแลจัดการเก็บรักษาการบัญชีรับจ่ายและรักษาเงินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2513 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2514เป็นเวลาถึง 1 ปี 7 เดือน จำเลยได้บังอาจยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 11,726.39 บาท ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ไปปรากฏจากข้อนำสืบของโจทก์ว่า งบประมาณขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์มี 5งบ คือ งบทั่วไปงบเร่งรัดพัฒนาชนบท งบส่วนการศึกษา งบภาคตะวันออกเฉียงเหนือและงบอุดหนุนสภาตำบล เงินที่หายไปนี้เป็นเงินที่อยู่ในงบเร่งรัดพัฒนาชนบทและเกิดจากการที่จำเลยยักยอกเงินตามบัญชีเงินสดเกินหรือขาดไปรวม 22 รายการ แต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายรายละเอียดที่เป็นสารสำคัญว่า เป็นเงินงบใด และยักยอกแต่ละครั้ง เป็นจำนวนเท่าใดและเมื่อใด เมื่อบรรยายรวมๆกันมาเช่นนี้ จำเลยจะเข้าใจข้อหาเกี่ยวกับเงินที่จำเลยต้องหาว่ายักยอกเบียดบังมิได้เลย ย่อมเสียเปรียบในการต่อสู้คดีฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 894/2508)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และมีคำขอให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยยักยอกนั้นแก่ผู้เสียหายด้วยนั้น เป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่โจทก์ฟ้อง แม้ศาลจะไม่ลงโทษจำเลย เพราะคำฟ้องของโจทก์ในส่วนอาญาไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อจำเลยรับว่าได้ยักยอกเบียดบังเอาเงินของผู้เสียหายไปจริง อำนาจของพนักงานอัยการที่จะว่ากล่าวเกี่ยวกับคำขอส่วนแพ่งคงมีต่อไป ศาลมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนเงินจำนวนนั้นแก่ผู้เสียหายได้
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา147 โดยบรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้กระทำผิดในวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดในระหว่างที่จำเลยดำรงตำแหน่งพนักงานบัญชีและรักษาการในตำแหน่งหัวหน้าหมวดการเงินและการบัญชีส่วนการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง และต่อมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมวดดังกล่าวติดต่อกันมาคือ ระหว่างวันที่ 19สิงหาคม 2512 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2515 และเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2514 เวลากลางวัน จำเลยได้รับเงินอุดหนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 101,910 บาทจากนายเสถียร ศรีพนา จำเลยได้จ่ายเงินดังกล่าวโดยหักเงินสะสมไว้ 4,056 บาท แล้วยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 4,056 บาทไปจึงเป็นฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยยักยอกเบียดบังเอาเงินไปในระหว่างวันที่ 29 มกราคม 2514 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยรับเงิน ถึงวันที่ 30 กันยายน2515 ฟ้องข้อนี้จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1330/2506)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 และมีคำขอให้จำเลยคืนเงินที่จำเลยยักยอกนั้นแก่ผู้เสียหายด้วยนั้น เป็นคำขอส่วนแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่โจทก์ฟ้อง แม้ศาลจะไม่ลงโทษจำเลย เพราะคำฟ้องของโจทก์ในส่วนอาญาไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อจำเลยรับว่าได้ยักยอกเบียดบังเอาเงินของผู้เสียหายไปจริง อำนาจของพนักงานอัยการที่จะว่ากล่าวเกี่ยวกับคำขอส่วนแพ่งคงมีต่อไป ศาลมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนเงินจำนวนนั้นแก่ผู้เสียหายได้
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา147 โดยบรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้กระทำผิดในวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดในระหว่างที่จำเลยดำรงตำแหน่งพนักงานบัญชีและรักษาการในตำแหน่งหัวหน้าหมวดการเงินและการบัญชีส่วนการคลังอีกตำแหน่งหนึ่ง และต่อมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมวดดังกล่าวติดต่อกันมาคือ ระหว่างวันที่ 19สิงหาคม 2512 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2515 และเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2514 เวลากลางวัน จำเลยได้รับเงินอุดหนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 101,910 บาทจากนายเสถียร ศรีพนา จำเลยได้จ่ายเงินดังกล่าวโดยหักเงินสะสมไว้ 4,056 บาท แล้วยักยอกเบียดบังเอาเงินจำนวน 4,056 บาทไปจึงเป็นฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยยักยอกเบียดบังเอาเงินไปในระหว่างวันที่ 29 มกราคม 2514 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยรับเงิน ถึงวันที่ 30 กันยายน2515 ฟ้องข้อนี้จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1330/2506)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2728/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเดินสะพัด: สิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นยังคงมีอยู่จนกว่าจะมีการเลิกสัญญา
การที่จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์มีการนำเงินเข้าฝากในบัญชี และเบิกเงินเกินบัญชีโดยใช้เช็คสั่งจ่ายหลายครั้ง เข้าลักษณะสัญญาบัญชีเดินสะพัดแม้สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีนั้นจะมีกำหนดระยะเวลาแต่ก็ไม่มีข้อสัญญาระบุว่าเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลาแล้วสัญญาเป็นอันเลิกกันทันที เมื่อยังมิได้มีฝ่ายใดบอกเลิกสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามสัญญา จนกว่าจะมีการเลิกสัญญาและหักทอนบัญชีกันแล้ว
จำเลยมิได้ยกเรื่องฟ้องเคลือบคลุมขึ้นเป็นประเด็นต่อสู้มาตั้งแต่ศาลชั้นต้น จะยกขึ้นมาในชั้นฎีกาไม่ได้
จำเลยมิได้ยกเรื่องฟ้องเคลือบคลุมขึ้นเป็นประเด็นต่อสู้มาตั้งแต่ศาลชั้นต้น จะยกขึ้นมาในชั้นฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2728/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเดินสะพัด ดอกเบี้ยทบต้นคิดได้จนกว่าจะเลิกสัญญา
การที่จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์ มีการนำเงินเข้าฝากในบัญชี และเบิกเงินเกินบัญชีโดยใช้เช็คสั่งจ่ายหลายครั้ง เข้าลักษณะสัญญาบัญชีเดินสะพัด แม้สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีนั้นจะมีกำหนดระยะเวลา แต่ก็ไม่มีข้อสัญญาระบุว่าเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลาแล้วสัญญาเป็นอันเลิกกันทันที เมื่อยังมิได้มีฝ่ายใดบอกเลิกสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามสัญญา จนกว่าจะมีการเลิกสัญญาและหักทอนบัญชีกันแล้ว
จำเลยมิได้ยกเรื่องฟ้องเคลือบคลุมขึ้นเป็นประเด็นต่อสู้มา ตั้งแต่ศาลชั้นต้น จะยกขึ้นมาในชั้นฎีกาไม่ได้
จำเลยมิได้ยกเรื่องฟ้องเคลือบคลุมขึ้นเป็นประเด็นต่อสู้มา ตั้งแต่ศาลชั้นต้น จะยกขึ้นมาในชั้นฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2725/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับเนื่องจากข้อพิพาทเป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่า จำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ย่อมเท่ากับฟังว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะกระทำความผิด ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยฟังว่าเรื่องนี้โจทก์สืบได้เพียงว่าได้ทราบจากคำบอกเล่าของคนอื่นมาว่าจำเลยเป็นผู้ใช้จำเลยคนอื่นๆ จึงเป็นการชั่งน้ำหนักคำพยานว่าพยานบอกเล่ารับฟังไม่ได้ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง แม้จะฟังข้อเท็จจริงต่างกัน ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2725/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุศาลชั้นต้น-อุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ต่างกัน จึงไม่อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่า จำเลยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ย่อมเท่ากับฟังว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะกระทำความผิด ซึ่งเป็นข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยฟังว่าเรื่องนี้โจทก์สืบได้เพียงว่าได้ทราบจากคำบอกเล่าของคนอื่นมาว่าจำเลยเป็นผู้ใช้จำเลยคนอื่นๆ จึงเป็นการชั่งน้ำหนักคำพยานว่าพยานบอกเล่ารับฟังไม่ได้ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงเช่นเดียวกันจึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง แม้จะฟังข้อเท็จจริงต่างกัน ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2662/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การปฏิเสธลอยและการนำสืบพยานหลักฐานนอกประเด็นคดีในสัญญาค้ำประกัน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ค้ำประกันการกู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 สามคราวโดยทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้สามฉบับ ลงวันที่ต่างกัน และแนบสำเนาสัญญามาท้ายฟ้อง จำเลย 3 ให้การปฏิเสธไม่รับรองสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง และว่า ได้เคยทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้ครั้งเดียวจึงขอปฏิเสธฟ้องของโจทก์ว่าไม่เป็นความจริง ดังนี้ ถือว่าคำให้การของจำเลยที่ 3 ไม่ชัดแจ้งว่า ทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้คราวใด รับหรือปฏิเสธสำเนาสัญญาท้ายฟ้องฉบับไหน เพียงใดหรือไม่ จึงเป็นคำให้การปฏิเสธลอย ไม่มีประเด็นที่จำเลยที่ 3 จะนำสืบได้ การที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3 นำสืบ และให้พิสูจน์ลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกัน ทั้งที่จำเลยที่ 3ไม่มีสิทธินำสืบ และไม่ได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นในเรื่องลายมือชื่อในสัญญาไว้ จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาและนอกประเด็นพิพาทรับฟังไม่ได้