พบผลลัพธ์ทั้งหมด 727 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปิดตลาดแข่งขันไม่เป็นละเมิด แม้ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ การฟ้องละเมิดต้องพิสูจน์ความเสียหายโดยตรง
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2514 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ร่วมกันข่มขู่หลอกลวงโจทก์ให้ย้ายตลาดนัดของโจทก์จากบ้านจำเลยที่ 4 ไปเปิดที่อื่น ต่อมาเดือนพฤษภาคม 2515 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันอนุญาตให้จำเลยที่ 4 เปิดตลาดนัดใหม่ที่บ้านจำเลยที่ 4 โดยจำเลยทั้งสี่รู้อยู่แล้วว่าการเปิดตลาดนัดดังกล่าวย่อมจะก่อความเสียหายแก่โจทก์ ทำให้กิจการตลาดนัดของโจทก์เสียหาย การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์โจทก์ต้องขาดประโยชน์อันควรได้สัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 200 บาท นับจากเดือนพฤษภาคม 2515 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 4,800 บาท ขอศาลพิพากษาห้ามมิให้จำเลยที่ 4 เปิดดำเนินกิจการตลาดนัดและให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 4,800 บาทแก่โจทก์ดังนี้ แม้โจทก์จะได้รับความเสียหายจากการเปิดตลาดนัดใหม่มาแข่งขัน ก็หาเป็นเรื่องละเมิดไม่ เพราะการเปิดตลาดนัดใหม่ย่อมเป็นสิทธิเสรีภาพของบุคคลในการประกอบอาชีพชอบที่จะดำเนินการขออนุญาตและเปิดได้ตามกฎหมาย ไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายหรือข้อบังคับว่าเมื่อผู้ใดได้รับอนุญาตให้เปิดตลาดนัดแล้วจะอนุญาตให้ผู้อื่นเปิดตลาดนัดใกล้เคียงกันหรือในอำเภอเดียวกันไม่ได้
ส่วนฟ้องของโจทก์ที่ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันข่มขู่หลอกลวงโจทก์ให้ย้ายตลาดนัดนั้นอาจจะเป็นละเมิดแต่โจทก์ก็มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเหตุที่โจทก์ถูกข่มขู่หลอกลวงให้ย้ายตลาดนัดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2514 โจทก์กลับฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2515 เนื่องจากเหตุที่มีการเปิดตลาดนัดแข่งกันทำให้โจทก์ขาดรายได้ไป ซึ่งมิใช่ความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำละเมิด จึงบังคับตามคำขอของโจทก์มิได้
ส่วนฟ้องของโจทก์ที่ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันข่มขู่หลอกลวงโจทก์ให้ย้ายตลาดนัดนั้นอาจจะเป็นละเมิดแต่โจทก์ก็มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเหตุที่โจทก์ถูกข่มขู่หลอกลวงให้ย้ายตลาดนัดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2514 โจทก์กลับฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2515 เนื่องจากเหตุที่มีการเปิดตลาดนัดแข่งกันทำให้โจทก์ขาดรายได้ไป ซึ่งมิใช่ความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำละเมิด จึงบังคับตามคำขอของโจทก์มิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1810/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องคืนของกลางของผู้ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำผิด: การบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36
พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 74 บัญญัติเฉพาะในเรื่องริบของกลางอันได้มาหรือมีไว้เนื่องจากการกระทำผิดแต่ในเรื่องที่มีผู้มาร้องขอให้สั่งคืนของกลางที่ศาลสั่งริบไปแล้วพระราชบัญญัติป่าไม้ดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติไว้เป็นพิเศษ จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ประกอบด้วยมาตรา 17 ซึ่งเป็นบททั่วไป ดังนั้น แม้ศาลจะฟังว่าถ่านของกลางได้มาจากการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ และได้สั่งริบไปแล้ว ผู้ร้องซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของ เป็นบุคคลภายนอกคดี ไม่มีโอกาสต่อสู้คดีกับโจทก์ ย่อมใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ที่จะร้องขอให้ศาลสั่งคืนของกลางแก่ผู้ร้องได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งคืนถ่านของกลาง โดยอ้างแต่เพียงว่าถ่านของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้องเท่านั้น มิได้อ้างว่าไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด เป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ศาลจะสั่งคืนของกลางให้แก่ผู้ร้องไม่ได้ ต้องยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งคืนถ่านของกลาง โดยอ้างแต่เพียงว่าถ่านของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้องเท่านั้น มิได้อ้างว่าไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด เป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ศาลจะสั่งคืนของกลางให้แก่ผู้ร้องไม่ได้ ต้องยกคำร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1810/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการขอคืนของกลางของผู้ที่อ้างเป็นเจ้าของ แม้ของกลางได้มาจากการกระทำผิด ต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ
พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 74 บัญญัติเฉพาะในเรื่องริบของกลางอันได้มาหรือมีไว้เนื่องจากการกระทำผิดแต่ในเรื่องที่มีผู้มาร้องขอให้สั่งคืนของกลางที่ศาลสั่งริบไปแล้ว พระราชบัญญัติป่าไม้ดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติไว้เป็นพิเศษ จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ประกอบด้วยมาตรา 17 ซึ่งเป็นบททั่วไป ดังนั้น แม้ศาลจะฟังว่าถ่านของกลางได้มาจากการกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ และได้สั่งริบไปแล้ว ผู้ร้องซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของเป็นบุคคลภายนอกคดี ไม่มีโอกาสต่อสู้คดีกับโจทก์ ย่อมใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ที่จะร้องขอให้ศาลสั่งคืนของกลางแก่ผู้ร้องได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งคืนถ่านของกลาง โดยอ้างแต่เพียงว่าถ่านของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้องเท่านั้น มิได้อ้างว่าไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด เป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ศาลจะสั่งคืนของกลางให้แก่ผู้ร้องไม่ได้ ต้องยกคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งคืนถ่านของกลาง โดยอ้างแต่เพียงว่าถ่านของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้องเท่านั้น มิได้อ้างว่าไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิด เป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ศาลจะสั่งคืนของกลางให้แก่ผู้ร้องไม่ได้ ต้องยกคำร้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1791/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขาย, เช็คลงวันที่ล่วงหน้า, และผลของการไม่นำเช็คไปขึ้นเงิน: หนี้ยังไม่ระงับ
จำเลยตกลงซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ โดยให้โจทก์อาศัยอยู่ในสิ่งปลูกสร้างอีก 6 เดือน โจทก์ยอมให้จำเลยชำระราคาบางส่วน ราคาส่วนที่เหลือจำเลยจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้า 6 เดือนให้โจทก์ไว้ ต่อมาโจทก์จำเลยขอให้เจ้าพนักงานที่ดินทำสัญญาซื้อขายจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้จำเลย ระบุว่าโจทก์ได้รับเงินค่าที่ดินเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อโจทก์นำเช็คไปขอรับเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน อ้างว่าเช็คพ้นกำหนดการจ่ายเงิน ดังนี้ โจทก์จำเลยยังเจตนาจะผูกพันกันตามสัญญาซื้อขายฉบับเดิมต่อไปตามเงื่อนไขเรื่องให้โจทก์มีสิทธิอยู่อาศัยในสิ่งปลูกสร้างแลกเปลี่ยนกับการผ่อนระยะเวลา การชำระค่าที่ดินที่ยังมิได้ชำระ การทำสัญญาซื้อขายจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเพียงพิธีการโอนกรรมสิทธิ์ให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น หาได้มีเจตนาจะแปลงหนี้หรือยกเลิกสัญญาฉบับเดิมไม่ เมื่อจำเลยมิได้เสียหายเนื่องจากการที่โจทก์มิได้นำเช็คไปรับเงินตามกำหนดและไม่มีข้อตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นกรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 และ 1005 จำเลยต้องรับผิดชำระราคาที่ดินที่ยังเหลืออยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1675/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้หลังอายุความ การละประโยชน์แห่งอายุความ และผลของการทำหนังสือยอมชำระหนี้
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าหนี้จำเลยขาดอายุความแล้ว และหลังจากนั้นจำเลยได้ทำหนังสือฝ่ายเดียว ยอมชำระหนี้ทั้งหมดให้โจทก์ ซึ่งกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 172 และไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 188 ก็ตาม แต่การที่จำเลยทำหนังสือไว้ให้โจทก์เช่นนั้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ละประโยชน์แห่งอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 192. จำเลยจะยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์หาได้ไม่
การรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172นั้น ต้องเป็นเรื่องรับสภาพกันภายในกำหนดอายุความ
การรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172นั้น ต้องเป็นเรื่องรับสภาพกันภายในกำหนดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1675/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้หลังอายุความ การละประโยชน์แห่งอายุความ และผลของการรับสภาพหนี้
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าหนี้จำเลยขาดอายุความแล้วและหลังจากนั้นจำเลยได้ทำหนังสือฝ่ายเดียว ยอมชำระหนี้ทั้งหมดให้โจทก์ ซึ่งกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 172 และไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 188 ก็ตาม แต่การที่จำเลยทำหนังสือไว้ให้โจทก์เช่นนั้น ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้ละประโยชน์แห่งอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 192 จำเลยจะยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์หาได้ไม่
การรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 นั้น ต้องเป็นเรื่องรับสภาพกันภายในกำหนดอายุความ
การรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 นั้น ต้องเป็นเรื่องรับสภาพกันภายในกำหนดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1658/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็น - ฟ้องซ้ำ - ค่าทดแทน: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นทางจำเป็นที่ไม่เป็นฟ้องซ้ำ และอำนาจศาลในการกำหนดค่าทดแทนที่สมควร
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางภาระจำยอมประเด็นที่พิพาทกันคือทางที่ฟ้องเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอผ่านที่จำเลยในเส้นทางเดิมที่เคยใช้เพราะถือว่าเป็นทางจำเป็นประเด็นพิพาทอยู่ที่ว่าเป็นทางจำเป็นหรือไม่แตกต่างกับคดีก่อนไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางจำเป็น และเสนอจำนวนเงินค่าทดแทนเพื่อให้ศาลสั่งให้แก่จำเลยเป็นรายปีๆ ละ50 บาทเข้ามาด้วย จำเลยต่อสู้ว่าค่าทดแทนที่โจทก์เสนอต่ำกว่าราคาเป็นจริงของที่ดินจำเลย ดังนี้ ข้อพิพาทในประเด็นเรื่องค่าทดแทนจึงมีอยู่แล้วตามคำฟ้องและคำให้การ เมื่อโจทก์จำเลยได้นำสืบพยานในประเด็นข้อนี้กันมาแล้วศาลก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าสมควรจะให้ค่าทดแทนกันเพียงใด
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางจำเป็น และเสนอจำนวนเงินค่าทดแทนเพื่อให้ศาลสั่งให้แก่จำเลยเป็นรายปีๆ ละ50 บาทเข้ามาด้วย จำเลยต่อสู้ว่าค่าทดแทนที่โจทก์เสนอต่ำกว่าราคาเป็นจริงของที่ดินจำเลย ดังนี้ ข้อพิพาทในประเด็นเรื่องค่าทดแทนจึงมีอยู่แล้วตามคำฟ้องและคำให้การ เมื่อโจทก์จำเลยได้นำสืบพยานในประเด็นข้อนี้กันมาแล้วศาลก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าสมควรจะให้ค่าทดแทนกันเพียงใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1658/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็น vs. ทางภาระจำยอม: ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นฟ้องซ้ำและค่าทดแทนการใช้ทาง
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางภาระจำยอม ประเด็นที่พิพาทกันคือทางที่ฟ้องเป็นทางภาระจำยอมหรือไม่ ศาลพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอผ่านที่จำเลยในเส้นทางเดิมที่เคยใช้เพราะถือว่าเป็นทางจำเป็นประเด็นพิพาทอยู่ที่ว่าเป็นทางจำเป็นหรือไม่แตกต่างกับคดีก่อน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางจำเป็น และเสนอจำนวนเงินค่าทดแทนเพื่อให้ศาลสั่งให้แก่จำเลยเป็นรายปีๆ ละ50 บาทเข้ามาด้วย จำเลยต่อสู้ว่าค่าทดแทนที่โจทก์เสนอต่ำกว่าราคาเป็นจริงของที่ดินจำเลย ดังนี้ ข้อพิพาทในประเด็นเรื่องค่าทดแทนจึงมีอยู่แล้วตามคำฟ้องและคำให้การ เมื่อโจทก์จำเลยได้นำสืบพยานในประเด็นข้อนี้กันมาแล้วศาลก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าสมควรจะให้ค่าทดแทนกันเพียงใด
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางจำเป็น และเสนอจำนวนเงินค่าทดแทนเพื่อให้ศาลสั่งให้แก่จำเลยเป็นรายปีๆ ละ50 บาทเข้ามาด้วย จำเลยต่อสู้ว่าค่าทดแทนที่โจทก์เสนอต่ำกว่าราคาเป็นจริงของที่ดินจำเลย ดังนี้ ข้อพิพาทในประเด็นเรื่องค่าทดแทนจึงมีอยู่แล้วตามคำฟ้องและคำให้การ เมื่อโจทก์จำเลยได้นำสืบพยานในประเด็นข้อนี้กันมาแล้วศาลก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่าสมควรจะให้ค่าทดแทนกันเพียงใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1611/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมสามีในนิติกรรมซื้อขายที่ดิน และการโอนกรรมสิทธิ์รวมโดยชอบด้วยกฎหมาย
สามียินยอมให้ภรรยาทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินกับ ซ. แล้วภรรยาไปทำบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมที่สำนักงานที่ดินยอมให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรของ ซ. ถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินที่ซื้อขายกันแทน ซ. เป็นการกระทำที่สืบเนื่องมาจากนิติกรรมซื้อขายที่ดินที่สามียินยอมให้ภรรยาทำนั่นเอง ภรรยาไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากสามีอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1611/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมสามีในนิติกรรมซื้อขายที่ดิน และการโอนกรรมสิทธิ์รวมโดยชอบด้วยกฎหมาย
สามียินยอมให้ภรรยาทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินกับ ซ. แล้วภรรยาไปทำบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมที่สำนักงานที่ดิน ยอมให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรของ ซ.ถือกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดินที่ซื้อขายกันแทน ซ. เป็นการกระทำที่สืบเนื่องมาจากนิติกรรมซื้อขายที่ดินที่สามียินยอมให้ภรรยาทำนั่นเอง ภรรยาไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากสามีอีก