คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
กฤษณ์ โสภิตกุล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 727 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2646-2649/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภาษีเงินได้นิติบุคคล: ดอกเบี้ยส่งไปสำนักงานใหญ่ ถือรายจ่ายต้องห้ามและเป็นการจำหน่ายกำไร
ธนาคารสาขาของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศที่เข้ามาดำเนินกิจการในประเทศไทย เป็นนิติบุคคลเดียวกันกับธนาคารสำนักงานใหญ่ที่อยู่ต่างประเทศ แม้พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 จะบังคับให้สาขาของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศต้องมีทรัพย์สินในประเทศไทย ให้ทำงบดุลต่างหาก ก็เป็นการบังคับไว้เพื่อให้ธนาคารดังกล่าวมีความมั่นคงในการดำเนินกิจการในประเทศไทย หาใช่รับรองให้มีสภาพบุคคลเป็นเอกเทศจากสำนักงานใหญ่ไม่
ธนาคารสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศหรือสาขาของธนาคารในต่างประเทศส่งเงินที่รับฝากจากลูกค้ามาลงทุนในธนาคารสาขาในประเทศไทย เงินนั้นเป็นสังกมะทรัพย์เมื่อรับฝากจากลูกค้าแล้วก็ย่อมเป็นเงินหรือทรัพย์ของธนาคารสำนักงานใหญ่หรือสาขา ถือได้ว่าสำนักงานใหญ่หรือสาขานั้นเป็นผู้ส่งมาลงทุน แม้สำนักงานใหญ่หรือสาขาในต่างประเทศมีพันธะผูกพันจะต้องจ่ายดอกเบี้ยแก่ผู้ฝากดอกเบี้ยนั้นก็เป็นรายจ่ายโดยแท้ของสำนักงานใหญ่หรือสาขาในต่างประเทศ มิใช่รายจ่ายโดยตรงของธนาคารสาขาในประเทศไทยการที่ธนาคารสาขาในประเทศไทยส่งดอกเบี้ยไปให้สำนักงานใหญ่หรือสาขาในต่างประเทศ จึงเป็นรายจ่ายเพื่อผ่อนภาระของสำนักงานใหญ่หรือสาขาในต่างประเทศ ถือได้ว่าเป็นรายจ่ายที่กำหนดขึ้นเองโดยไม่มีการจ่ายจริง และถือได้ว่าเป็นค่าตอบแทนแก่ทรัพย์สินซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นเจ้าของเอง ตามมาตรา 65 ตรี (9)(10) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งตามมาตรา 65 ทวิ มิให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ จึงต้องนำไปรวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 65 ซึ่งถือได้ว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกำไร เมื่อธนาคารสาขาในประเทศไทยส่งเงินดังกล่าวออกไปให้สำนักงานใหญ่หรือสาขาในต่างประเทศก็เท่ากับเป็นการจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย จึงต้องเสียภาษีเงินได้ตามมาตรา 70 ทวิ อีกส่วนหนึ่งด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2576/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยินยอมโอนหุ้นที่ผิดกฎหมายธนาคารพาณิชย์ ทำให้สิทธิเรียกร้องค่าหุ้นขาดผลบังคับใช้
บริษัทโจทก์และบริษัทจำเลยที่ 1 ต่างรู้เห็นร่วมกันให้บริษัทจำเลยที่ 1ซึ่งประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ มีไว้ซึ่งหุ้นของบริษัทโจทก์เป็นจำนวนเกินกว่าที่พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์บัญญัติไว้ อันเป็นความผิดทางอาญา ย่อมได้ชื่อว่าต่างไม่สุจริตด้วยกัน เพราะร่วมกันก่อให้เกิดความผิดทางอาญาขึ้น บริษัทโจทก์จะยกสิทธิอันไม่สุจริตซึ่งเกิดขึ้นจากการกระทำความผิดทางอาญาด้วยกันมาเรียกร้องเงินค่าหุ้นของบริษัทโจทก์ซึ่งยังไม่ได้รับชำระจากบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ไม่สุจริตด้วยกันหาได้ไม่เมื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมซึ่งกระทำการแทนบริษัทจำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องรับผิดด้วย กรณีดังกล่าวแล้วเป็นเรื่องเรียกเงินค่าหุ้นที่ค้างชำระอันเกิดจากการร่วมกันใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจำเลยร่วมในฐานะผู้จัดการผู้ทำแทนบริษัทจำเลยที่ 1 จึงมิได้ทำให้เกิดเสียหายแก่บริษัทโจทก์ จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 76 มาใช้หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2576/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดทางอาญาจากการถือหุ้นเกินสัดส่วนในธนาคารพาณิชย์ ทำให้สิทธิเรียกร้องเงินค่าหุ้นตกไป
บริษัทโจทก์และบริษัทจำเลยที่ 1 ต่างรู้เห็นร่วมกันให้บริษัทจำเลยที่ 1ซึ่งประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ มีไว้ซึ่งหุ้นของบริษัทโจทก์เป็นจำนวนเกินกว่าที่พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์บัญญัติไว้ อันเป็นความผิดทางอาญา ย่อมได้ชื่อว่าต่างไม่สุจริตด้วยกัน เพราะร่วมกันก่อให้เกิดความผิดทางอาญาขึ้น บริษัทโจทก์จะยกสิทธิอันไม่สุจริต ซึ่งเกิดขึ้นจากการกระทำความผิดทางอาญาด้วยกันมาเรียกร้องเงินค่าหุ้นของบริษัทโจทก์ซึ่งยังไม่ได้รับชำระจากบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ไม่สุจริตด้วยกันหาได้ไม่เมื่อบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมซึ่งกระทำการแทนบริษัทจำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องรับผิดด้วย กรณีดังกล่าวแล้วเป็นเรื่องเรียกเงินค่าหุ้นที่ค้างชำระอันเกิดจากการร่วมกันใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจำเลยร่วมในฐานะผู้จัดการผู้ทำแทนบริษัทจำเลยที่ 1 จึงมิได้ทำให้เกิดเสียหายแก่บริษัทโจทก์ จะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 76 มาใช้หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2567/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กระบวนการยุติธรรมไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีโดยไม่รอสำเนาอุทธรณ์จากผู้ร้อง
ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาให้โจทก์แก้ภายใน 7 วัน ผู้ร้องไม่นำส่งภายในกำหนดเวลา ศาลชั้นต้นสั่งให้รวบรวมสำนวนส่งศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาต่อไป ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับกระบวนพิจารณาดังกล่าวแต่กลับพิจารณาพิพากษาคดีไป ซึ่งเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาคดีโดยมิชอบ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ผู้ร้องฎีกามายังมิได้ผ่านการพิจารณาและพิพากษาของศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2484/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำประเด็นค่าเสียหายที่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว และการรับชำระหนี้ตามคำพิพากษา มิใช่ลาภมิควรได้
คดีก่อน จำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่โจทก์และบริวารให้ออกไปจากห้องเช่าพร้อมกับเรียกค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหาย ศาลพิพากษาให้ขับไล่โจทก์และบริวาร และให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้าง 4 เดือน เป็นเงิน 2,000 บาท กับค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 1,500 บาท จนกว่าโจทก์จะคืนห้องเช่าให้จำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยที่ 1 ว่า ศาลพิพากษาในคดีก่อน กำหนดค่าเสียหายให้จำเลยที่ 1 เดือนละ 1,500 บาท ไม่ถูก ความจริงควรเป็นเดือนละ 500 บาท ดังนี้ เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
การที่จำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์ไปตามคำพิพากษาของศาลซึ่งมีผลบังคับตามกฎหมายนั้นหาใช่ลาภมิควรได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2484/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำประเด็นเดิมที่ศาลวินิจฉัยแล้วย่อมต้องห้ามตามกฎหมาย และการชำระหนี้ตามคำพิพากษาไม่ใช่ลาภมิควรได้
คดีก่อน จำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่โจทก์และบริวารให้ออกไปจากห้องเช่าพร้อมกับเรียกค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหาย ศาลพิพากษาให้ขับไล่โจทก์และบริวาร และให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้าง 4 เดือนเป็นเงิน 2,000 บาท กับค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 1,500 บาทจนกว่าโจทก์จะคืนห้องเช่าให้จำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยที่ 1 ว่า ศาลพิพากษาในคดีก่อน กำหนดค่าเสียหายให้จำเลยที่ 1 เดือนละ 1,500 บาท ไม่ถูก ความจริงควรเป็นเดือนละ 500 บาท ดังนี้ เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ต้องห้าม มิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
การที่จำเลยรับชำระหนี้จากโจทก์ไปตามคำพิพากษาของศาลซึ่งมีผลบังคับตามกฎหมายนั้น หาใช่ลาภมิควรได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2483/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสภาพหนี้และการผ่อนเวลาชำระหนี้ของผู้ค้ำประกัน รวมถึงอำนาจศาลในการรับฟ้องแย้ง
จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันลูกหนี้ซึ่งกู้เงินโจทก์ ภายหลังจำเลยได้ทำสัญญารับสภาพหนี้ยอมใช้เงินให้โจทก์ โจทก์มาฟ้องเรียกเงินตามสัญญารับสภาพหนี้นั้น จำเลยจะอ้างแต่เพียงว่าโจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้ลูกหนี้ หาเพียงพอที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดตามสัญญารับสภาพหนี้ไม่และที่จำเลยต่อสู้คดีว่า โจทก์ยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลย ก็มิใช่เป็นเรื่องผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 ที่จำเลยจะหลุดพ้นจากความรับผิด
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวง จำเลยฟ้องแย้งเรียกเงินจากโจทก์ 3,850 บาท จำนวนทุนทรัพย์ตามฟ้องแย้งนั้นไม่อยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะรับไว้พิจารณาพิพากษาได้ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 15, 22(4) เพราะทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาท จำเลยจึงฟ้องแย้งมาในคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2483/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การค้ำประกันหนี้และการผ่อนเวลาชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดเมื่อเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ มิใช่ผู้ค้ำประกัน
จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันลูกหนี้ซึ่งกู้เงินโจทก์ ภายหลังจำเลยได้ทำสัญญารับสภาพหนี้ยอมใช้เงินให้โจทก์ โจทก์มาฟ้องเรียกเงินตามสัญญารับสภาพหนี้นั้น จำเลยจะอ้างแต่เพียงว่าโจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้ลูกหนี้หาเพียงพอที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดตามสัญญารับสภาพหนี้ไม่และที่จำเลยต่อสู้คดีว่า โจทก์ยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลย ก็มิใช่เป็นเรื่องผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 ที่จำเลยจะหลุดพ้นจากความรับผิด
โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวง จำเลยฟ้องแย้งเรียกเงินจากโจทก์3,850 บาท จำนวนทุนทรัพย์ตามฟ้องแย้งนั้นไม่อยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะรับไว้พิจารณาพิพากษาได้ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 15, 22 (4) เพราะทุนทรัพย์เกิน 2,000 บาท จำเลยจึงฟ้องแย้งมาในคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2450/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลักษณะเก็บของในคลังสินค้า: ความรับผิดของคลังสินค้าต่อการส่งมอบสินค้าขัดต่อคำสั่งผู้ฝาก
จำเลยที่ 1 ทำการค้าส่งสินค้าไปต่างประเทศ หากต้องการเงินก่อนส่งสินค้าลงเรือไปให้ลูกค้าต่างประเทศ จำเลยที่ 1 จะเอาสินค้านั้นมาขายให้แก่โจทก์โดยวิธีเอาใบรับฝากสินค้าที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคลังสินค้าออกให้มาสลักหลังโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์และขอรับเงินค่าสินค้าไป แล้วโจทก์จะแจ้งการโอนกรรมสิทธิ์ในสินค้านั้นให้จำเลยที่ 2 ทราบ เมื่อถึงกำหนดจะส่งสินค้าไปให้ลูกค้าต่างประเทศ จำเลยที่ 1 ก็จะชำระราคาสินค้าให้โจทก์ โจทก์จะสลักหลังใบรับฝากสินค้าคืนให้จำเลยที่ 1 ไป โจทก์และจำเลยทั้งสองปฏิบัติกันเช่นนี้มา 5 ปีแล้ว และจำเลยที่ 2 ยังเคยออกใบรับฝากสินค้าเช่นนี้ให้ลูกค้าคนอื่นอีก ใบรับฝากสินค้าที่จำเลยที่ 2 ออกให้นั้นก็เป็นแบบฟอร์มพิมพ์ไว้ใช้ในกรณีลูกค้าเอาสินค้ามาฝากไว้ ทั้งมีคำเตือนหรือเงื่อนไขว่าบริษัทจะจ่ายสินค้าให้แก่ผู้ฝากก็ต่อเมื่อได้รับคืนใบรับฝากแล้ว การโอนหรือจำนำสินค้าจะต้องแจ้งให้บริษัททราบทุกครั้ง ใบรับฝากสินค้าก็ออกให้ในนามของจำเลยที่ 2 โดยมีวงเล็บ 'แผนกคลังสินค้า' ที่โกดังเก็บสินค้าก็มีป้ายบอกว่า คลังสินค้าจำเลยที่ 2 พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ปฏิบัติต่อจำเลยที่ 1 และโจทก์เป็นการติดต่อในฐานะนายคลังสินค้าผู้ทำการเก็บรักษาสินค้าเพื่อบำเหน็จเป็นทางค้าปกติ ไม่ใช่เป็นการให้เช่าสถานที่เก็บสินค้า แม้จะไม่ได้ความว่า จำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนขออนุญาตประกอบกิจการคลังสินค้าตามกฎหมาย ก็เป็นเรื่องความไม่สมบูรณ์ในการประกอบกิจการของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 และโจทก์ไม่ได้ร่วมรู้เห็นด้วย จึงไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงจำเลยที่ 1 และโจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองและโจทก์ปฏิบัติต่อกันและเข้าใจกันอย่างเช่นจำเลยที่ 2 เป็นนายคลังสินค้าก็ต้องถือว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ตกลงกันนำลักษณะเก็บของในคลังสินค้ามาใช้ต่อกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2430/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขาย, การผิดสัญญา, การชำระหนี้, ศาลแก้คำพิพากษาให้ถูกต้อง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินให้ตามสัญญาจะซื้อขายแม้จะได้บรรยายฟ้องถึงข้อตกลงเกินเลยแตกต่างกับที่ปรากฏในสัญญาไปบ้างก็เป็นเรื่องชั้นวินิจฉัยคดีว่าจะเชื่อฟังข้ออ้างของโจทก์ได้เพียงไรหรือไม่ เพียงเท่านี้ไม่เป็นเหตุที่จะถือว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
แม้หนังสือสัญญาขายที่ดินจะใช้คำว่าสัญญาซื้อขาย แต่ตามพฤติการณ์ที่ฝ่ายผู้ขายคือจำเลยยังครอบครองที่ดินอยู่และตกลงกันให้โจทก์ผู้ซื้อชำระค่าที่ดินที่ค้างในภายหลัง ทั้งยังต้องมีการปฏิบัติตามสัญญาต่อไปอีก กล่าวคือจำเลยจะต้องไปขอแบ่งแยกที่ดินมาโอนให้โจทก์ และเป็นที่เข้าใจกันว่าเมื่อแบ่งแยกที่ดินและโจทก์ชำระค่าที่ดินให้แล้ว จำเลยจะต้องทำการโอนให้โจทก์ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาจะซื้อขาย มิใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
การนำสืบถึงข้อเท็จจริงที่เข้าใจกันระหว่างโจทก์จำเลยว่าเมื่อโจทก์ชำระค่าที่ดินงวดสุดท้ายให้แล้ว จำเลยโอนโฉนดที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายให้นั้น แม้ความข้อนี้มิได้ระบุในสัญญา ก็ไม่เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในสัญญา
ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายให้โจทก์โดยไม่ได้บังคับให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่ค้างชำระให้จำเลยย่อมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 แม้จำเลยจะไม่ได้อุทธรณ์ในข้อนี้ เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์อย่างศาลล่าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาแก้ให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่ค้างชำระให้จำเลยได้ เพราะเป็นเรื่องการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทน
of 73