พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,162 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3214/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งแยกที่ดินและกรรมสิทธิ์ตามการครอบครองจริง แม้ชื่อในโฉนดจะสลับกัน ศาลมีสิทธิแก้ไขชื่อให้ตรงตามการครอบครอง
โจทก์ และ ล. ได้รับมรดกตามพินัยกรรมเป็นที่ดิน 1 แปลงโดยลงชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดร่วมกัน ต่อมาโจทก์และ ล.ได้ขอแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกไป 2 โฉนด โดยขอแบ่งแยกตามส่วนที่แต่ละคนครอบครอง แต่มีการระบุชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินสลับกันกรณี เช่นนี้ต้องถือว่าแต่ละฝ่ายมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินในส่วนที่ตนครอบครองอย่างเป็นเจ้าของจริง ๆ ตลอดมา และมีสิทธิขอแก้ไขชื่อในโฉนดให้ตรงตามความจริงได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิยึดหน่วงทรัพย์สิน: การชำระค่าตอบแทนการเช่าสถานที่ ไม่เป็นเหตุให้มีสิทธิยึดทรัพย์ที่ใช้ในกิจการ
โจทก์กับ อ.ร่วมกันเปิดศูนย์ภาษาขึ้นที่ตึกแถวของจำเลยโดยตกลงกันว่าโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการทั้งหมด และจะจ่ายผลประโยชน์เป็นค่าตอบแทนให้แก่จำเลยในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้างที่ได้รับ โจทก์ได้ซื้อทรัพย์พิพาทมาจากบุคคลภายนอก เพื่อใช้ในการประกอบกิจการของศูนย์ภาษาในตึกแถวดังกล่าวโดยไม่มีหนี้อันเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทนั้นแต่อย่างใด ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ และค่าผลประโยชน์ที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยอยู่ เป็นหนี้ที่เกิดจากการดำเนินกิจการของศูนย์ภาษา หาใช่เป็นหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทซึ่งจำเลยครองอยู่ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์พิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1496/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิยึดหน่วงทรัพย์สิน: เจ้าของสถานที่ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์ที่ผู้เช่าซื้อมาใช้ในกิจการ หากหนี้มิได้เกี่ยวเนื่องกับทรัพย์สินโดยตรง
โจทก์กับ อ. ร่วมกันเปิดศูนย์ภาษาขึ้นที่ตึกแถวของจำเลยโดยตกลงกันว่า โจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการทั้งหมดและจะจ่ายผลประโยชน์เป็นค่าตอบแทนให้แก่จำเลยในอัตราร้อยละ 30ของค่าจ้างที่ได้รับ โจทก์ได้ซื้อทรัพย์พิพาทมาจากบุคคลภายนอกเพื่อใช้ในการประกอบกิจการของศูนย์ภาษาในตึกแถวดังกล่าวโดยไม่มีหนี้อันเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทนั้นแต่อย่างใด ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าค่าโทรศัพท์ และค่าผลประโยชน์ที่โจทก์ค้างชำระแก่จำเลยอยู่เป็นหนี้ที่เกิดจากการดำเนินกิจการของศูนย์ภาษา หาใช่เป็นหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยทรัพย์พิพาทซึ่งจำเลยครองอยู่ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์พิพาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 551/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาเรื่องฉ้อโกง การใช้เงินสินบน และการเป็นผู้ใช้ให้กระทำผิด
ปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหา เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ ในคำให้การและมิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ก็หยิบยก ขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142(5) โจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาข้อหาฉ้อโกง ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ฉะนั้นคดีนี้ซึ่งโจทก์และจำเลยเป็นคู่ความรายเดียวกันกับคดีอาญาดังกล่าวและมูลคดีเดียวกันจึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่อง กับ คดีอาญาในการพิพากษาคดีนี้ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ ปรากฏ ในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 โจทก์มอบเงินให้จำเลยเพื่อนำไปมอบให้พนักงานองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยซึ่งช่วยเหลือให้โจทก์ได้ทำสัญญาซื้อขายกับ องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเงินดังกล่าวจึงเป็นเงินสินบน ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ใช้ให้จำเลยไปกระทำความผิด แม้จำเลยรับเงิน ไปแล้วนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะ ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 551/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้ให้สินบน: แม้จะได้รับความเสียหาย แต่หากร่วมกระทำผิดให้สินบนกับจำเลย ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง
ปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การและมิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) โจทก์มอบเงินให้จำเลยเพื่อนำไปมอบให้พนักงานองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยซึ่งช่วยเหลือให้โจทก์ได้ทำสัญญาซื้อขายกับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินสินบน ถือได้ว่า โจทก์เป็นผู้ใช้ให้จำเลยไปกระทำความผิดแม้จำเลยรับเงินไปแล้วนำไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 415/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับเงินจากผู้อื่นโดยไม่ทราบแหล่งที่มาที่ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ถูกลักไป ไม่ถือเป็นการละเมิด
ทรัพย์ของโจทก์ถูกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ลักไป จำเลยทั้งสองได้ ขายทรัพย์นั้นและมอบเงินที่ได้ให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 แต่คดีฟังไม่ได้ ว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 ได้รับเงินไว้โดยรู้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้มา จากการขายทรัพย์ของโจทก์ที่ถูกลักไป ทั้งไม่ถือว่าเงินนั้นเป็น ของโจทก์เพราะไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด การกระทำของ จำเลยที่ 3ที่ 4 จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิ เรียกเงินดังกล่าวคืนจากจำเลยที่ 3 ที่ 4.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 415/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทรัพย์สินถูกลัก – เงินจากการขาย – จำเลยรับโดยไม่รู้ – ไม่เป็นละเมิด – สิทธิเรียกคืน
เงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินของโจทก์ที่ถูกลักไป ไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด และจำเลยรับไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินของโจทก์ที่ถูกลักไป การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ และจะถือว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินของโจทก์มิได้ เพราะมิใช่ตัวทรัพย์ของโจทก์ที่ถูกลักไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินดังกล่าวคืนจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 415/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับเงินจากผู้อื่นโดยไม่รู้ว่าเป็นเงินที่ได้จากการกระทำผิด ไม่ถือเป็นการละเมิด
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับพวกลักทรัพย์ของโจทก์ไปจำหน่ายและจำนำ และจำเลยที่ 2 นำเงินที่ได้จากการนี้บางส่วนไปฝากธนาคารต่อมาจำเลยที่ 2 ถอนเงินจำนวน 100,000 บาท และ 64,721.25 บาทมาให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 นำไปฝากธนาคารในนามจำเลยที่ 3 ที่ 4ตามลำดับ แล้วจำเลยที่ 4 มอบเงินที่รับมาให้จำเลยที่ 3 ไปอีก50,000 บาท แต่จำเลยที่ 3 ที่ 4 รับเงินจำนวนดังกล่าวไว้โดยไม่รู้ว่า จำเลยที่ 2 ได้มาจากการขายทรัพย์ของโจทก์ที่ถูกลักไปและเงินจำนวนนั้นก็ไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดการที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 รับเงินจำนวนดังกล่าวไว้ จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ และแม้เป็นเงินที่ได้มาจากการขายทรัพย์สินของโจทก์ที่ถูกลักไป ก็จะถือว่าเป็นเงินของโจทก์มิได้เพราะมิใช่ตัวทรัพย์ของโจทก์ที่ถูกลักไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากจำเลยที่ 3 ที่ 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 415/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินจากการขายทรัพย์สินที่ถูกลัก ไม่ใช่ทรัพย์สินโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืน
เงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินของโจทก์ที่ถูกลักไป ไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด และจำเลยรับไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินของโจทก์ที่ถูกลักไป การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ และจะถือว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินของโจทก์มิได้ เพราะมิใช่ตัวทรัพย์ของโจทก์ที่ถูกลักไปโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินดังกล่าวคืนจากจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6491/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการฟ้องเรียกเงินคืนจากสัญญาซื้อขายข้าว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าซื้อข้าวบางส่วนคืนโดยอ้างว่าจำเลยส่งมอบข้าวน้อยกว่าจำนวนที่ตกลงกัน มิใช่ฟ้องในข้อรับผิดเพื่อการที่ทรัพย์ขาดตกบกพร่องหรือล้ำจำนวน จึงนำอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 467 มาบังคับมิได้ การฟ้องเรียกเงินคืนมิได้มีอายุความกำหนดไว้ ฟ้องโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ