พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,162 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4567/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินหลังสัญญาจะซื้อขาย - การโอนสิทธิครอบครองต้องทำนิติกรรมและจดทะเบียน
ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน น.ส. 3 เมื่อผู้ซื้อชำระราคาให้แก่ผู้ขายครบถ้วน แม้ผู้ขายจะได้มอบ น.ส. 3 กับให้ผู้ซื้อเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่เมื่อผู้ซื้อชำระราคางวดสุดท้ายแก่ผู้ขาย ผู้ขายแจ้งว่าจะไปโอนที่พิพาทให้ใน 1 เดือน แสดงว่าผู้ซื้อและผู้ขายมีเจตนาที่จะโอนสิทธิครอบครองในที่พิพาทโดยทำนิติกรรมและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไปฟังไม่ได้ว่าผู้ขายมีเจตนาสละการครอบครองที่พิพาทให้แก่ผู้ซื้อแล้ว ดังนี้การที่ผู้ซื้อยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ตลอดมานั้น เป็นการยึดถือครอบครองโดยอาศัยสิทธิของผู้ขายตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย จึงเป็นการยึดถือครอบครองแทนผู้ขายนั้นเอง การที่ผู้ซื้อครอบครองที่พิพาทแทนผู้ขายตามสัญญาจะซื้อจะขายเมื่อผู้ขายถึงแก่ความตาย ผู้ซื้อติดต่อทายาทให้ไปจัดการโอนที่พิพาท ทายาทปฏิเสธ ผู้ซื้อก็หาได้ใช้สิทธิฟ้องร้องบังคับทายาทให้โอนสิทธิครอบครองในที่พิพาทให้แก่ผู้ซื้อแต่อย่างใดสิทธิครอบครองในที่พิพาทจึงยังเป็นของทายาทผู้ขายผู้ซื้อเพียงแต่ครอบครองไว้แทนจนกว่าจะได้จดทะเบียนโอนกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เสียก่อนจึงจะได้สิทธิครอบครองในที่พิพาทเป็นของตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4470/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของทรัพย์จากการกระทำละเมิด, ความรับผิดของหุ้นส่วนจำกัด, และอายุความฟ้องร้องค่าเสียหาย
โจทก์เป็นเจ้าของตึกแถวได้จดทะเบียนให้ ส. เป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกิน ส. มีสิทธิครอบครองใช้และถือเอาซึ่งประโยชน์จากตึกแถว แต่กรรมสิทธิ์ในตึกแถวยังเป็นของโจทก์ ด้วยอำนาจการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ทำละเมิดทำให้ตึกแถวเสียหายได้ การที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด ต้องร่วมรับผิดในบรรดาหนี้ของห้างโดยไม่จำกัดแม้หนี้ดังกล่าวจะเกิดจากมูลละเมิด โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อตึกแถวของโจทก์ จึงมีอายุความหนึ่งปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อโจทก์ฟ้องคดียังไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำละเมิดคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4346/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่หลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ไม่ถือเป็นการฟ้องซ้ำ หากจำเลยยังคงครอบครอง
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อประมาณ 8 เดือนก่อนโจทก์ฟ้องจำเลย เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5649 - 5650/2516 ของศาลแพ่ง จำเลยที่ 1 ได้เข้าครอบครองตึกแถวพิพาทเลขที่ 166/5 และ 166/6 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โจทก์จึงฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย ศาลฎีกาฟังว่าตึกแถวพิพาทเลขที่ 166/5 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ การที่จำเลยเข้าครอบครองตึกนั้นย่อมเป็นละเมิดอาจถูกโจทก์ ฟ้องขับไล่ได้หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ยังคงครอบครองตึกแถวพิพาทดังกล่าวตลอดมาอีก โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภรรยากัน ให้ออกจากตึกแถวพิพาท การฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเพื่อขอให้บังคับ ตามสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาศาลฎีกา ที่กล่าวข้างต้น โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4346/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่หลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ หากจำเลยยังคงครอบครอง
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อประมาณ 8 เดือนก่อนโจทก์ฟ้องจำเลย เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5649-5650/2516 ของศาลแพ่ง จำเลยที่ 1 ได้เข้าครอบครองตึกแถวพิพาทเลขที่166/5 และ 166/6 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โจทก์จึงฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย ศาลฎีกาฟังว่าตึกแถวพิพาทเลขที่ 166/5 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ การที่จำเลยเข้าครอบครองตึกนั้นย่อมเป็นละเมิดอาจถูกโจทก์ ฟ้องขับไล่ได้หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ยังคงครอบครองตึกแถวพิพาทดังกล่าวตลอดมาอีก โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภรรยากัน ให้ออกจากตึกแถวพิพาท การฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเพื่อขอให้บังคับ ตามสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากผลของคำพิพากษาศาลฎีกา ที่กล่าวข้างต้น โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4015/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาจะซื้อขายและการคืนเงินมัดจำ: คดีติดตามทรัพย์สินไม่มีอายุความ แม้ทุนทรัพย์ชั้นฎีกาต่ำกว่าเกณฑ์
โจทก์จำเลยได้เลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันแล้ว คู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391แต่จำเลยไม่คืนเงินมัดจำและราคาที่ดินที่จำเลยรับไว้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงฟ้องคดีเพื่อเรียกเงินดังกล่าวคืน เป็นกรณีที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ติดตามเอาทรัพย์สินคืน ไม่มีอายุความ การพิจารณาทุนทรัพย์ว่าจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่นั้น ต้องถือตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4015/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เลิกสัญญามัดจำซื้อขายที่ดิน จำเลยต้องคืนเงินมัดจำและราคาที่ดิน คดีไม่มีอายุความ
โจทก์จำเลยได้เลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันแล้ว คู่สัญญาจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 แต่จำเลยไม่คืนเงินมัดจำและราคาที่ดินที่จำเลยรับไว้ให้แก่โจทก์โจทก์จึงฟ้องคดีเพื่อเรียกเงินดังกล่าวคืน เป็นกรณีที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ติดตามเอาทรัพย์สินคืน ไม่มีอายุความ
การพิจารณาทุนทรัพย์ว่าจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่นั้น ต้องถือตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในศาลชั้นต้น
การพิจารณาทุนทรัพย์ว่าจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่นั้น ต้องถือตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3664-3665/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรังวัดที่ดินผิดพลาด, การซื้อที่ดินโดยสุจริต, และภาระจำยอมในลำกระโดง
ที่ดินมีโฉนดของโจทก์และจำเลยที่ 1 มีแนวเขตด้านหนึ่งติดต่อกัน ต่อมาจำเลยที่ 1 ขอทำการรังวัดแบ่งแยกโฉนดและเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดผิดพลาดกำหนดแนวเขตที่ดินจำเลยที่1 รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ แม้จำเลยที่ 2ที่ 3 จะซื้อที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 โดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วจำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 1จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่รุกล้ำ กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 1299 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เมื่อกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนที่รุกล้ำเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 ลำกระโดงพิพาทซึ่งเป็นทางน้ำไหลผ่านที่ดินของโจทก์และจำเลยที่ 1 โดยแนวเขตที่ดินของโจทก์และจำเลยที่ 1อยู่ตรงกึ่งกลางลำกระโดง และโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ชักน้ำจากลำกระโดงเข้าไปใช้ในที่ดินของตนมาเป็นเวลาเกินกว่า10 ปีแล้วถือได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ภาระจำยอมในที่ดินของแต่ละฝ่ายในลำกระโดงนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา1382(วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2528)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3306/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ชายตลิ่งสาธารณสมบัติ: จำเลยมีสิทธิก่อนโจทก์ แม้โรงร้านกีดขวางที่ดินโจทก์บ้าง
โรงร้านที่จำเลยปลูกอยุ่ในที่ชายตลิ่งอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันหน้าที่ดินโจทก์ มิได้เกี่ยวกับที่ดินโจทก์ และจำเลยได้ปลูกโรงร้านพิพาทในที่ชายตลิ่งมาก่อนโจทก์ จำเลยย่อมมีสิทธิในที่ชายตลิ่งดีกว่าโจทก์ นอกจากนี้โจทก์ยังสามารถเข้าออกที่ดินโจทก์ ได้สะดวก เพราะยังมีที่ว่างที่เหลือคือที่จำเลยที่ 4 ได้รื้อไปแล้วและ
ที่ถูกพายุพัดพังไป ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ตามพฤติการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปยังไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จะบังคับให้จำเลยรื้อถอน โรงร้านพิพาท
ที่ถูกพายุพัดพังไป ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ตามพฤติการณ์ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปยังไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จะบังคับให้จำเลยรื้อถอน โรงร้านพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3306/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการใช้ที่ชายตลิ่งสาธารณสมบัติ: จำเลยมีสิทธิก่อนโจทก์ การเปลี่ยนแปลงพฤติการณ์เป็นเหตุให้ยกฟ้อง
โรงร้านที่จำเลยปลูกอยุ่ในที่ชายตลิ่งอันเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันหน้าที่ดิน โจทก์มิได้เกี่ยวกับที่ดินโจทก์และจำเลย ได้ปลูกโรง ร้านพิพาทในที่ชายตลิ่งมาก่อนโจทก์จำเลยย่อมมีสิทธิในที่ชายตลิ่งดีกว่าโจทก์ นอกจากนี้โจทก์ยังสามารถเข้าออกที่ดินโจทก์ ได้สะดวก เพราะยังมีที่ว่างที่เหลือคือที่จำเลยที่ 4 ได้รื้อไปแล้วและที่ถูกพายุพัดพังไปซึ่ง เกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ตามพฤติการณ์ ที่ได้ เปลี่ยนแปลงไปยังไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จะบังคับให้จำเลยรื้อถอน โรงร้านพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2903/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีเบียดบังทรัพย์สิน, ละเมิด, และค่าน้ำมันเบนซิน: หลักการและข้อยกเว้น
วัสดุที่ขาดบัญชีอยู่ในครอบครองและรับผิดชอบของจำเลย หากจำเลยยักย้ายเอาทรัพย์สินของโจทก์ไป โจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย ์มาตรา 1336 การที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ไม่ใช่เรื่องละเมิด จึงไม่มีอายุความในการฟ้องคดี
เมื่อจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ การที่รองผู้ว่าการไฟฟ้านครหลวงทำบันทึกให้จำเลยกับ ฉ. ร่วมกันชดใช้ราคาของที่หายและจำเลยเซ็นชื่อรับทราบคำสั่งในบันทึกดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าจำเลยยอมรับผิดตามบันทึกเพราะจำเลยเพียงแต่เซ็นชื่อรับทราบคำสั่งของรองผู้ว่าการไฟฟ้านครหลวงเท่านั้นโจทก์จะฟ้องร้องบังคับคดีให้จำเลยรับผิดตามบันทึกไม่ได้ และถือไม่ได้ว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์เกี่ยวกับความเสียหายดังกล่าวตั้งหลักฐานขึ้นโดยประนีประนอมยอมความการที่จำเลยผ่อนชำระเงินให้โจทก์เป็นการรับสภาพต่อเจ้าหนี้ด้วยใช้เงินบางส่วน เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงเท่านั้น
โจทก์มีวัตถุประสงค์ในการจัดหาจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า หรือประกอบธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้ามิใช่บุคคลผู้เป็นพ่อค้าน้ำมันเบนซิน สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการที่จะเรียกเอาค่าน้ำมันเบนซินจากจำเลยจึงมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
เมื่อจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ การที่รองผู้ว่าการไฟฟ้านครหลวงทำบันทึกให้จำเลยกับ ฉ. ร่วมกันชดใช้ราคาของที่หายและจำเลยเซ็นชื่อรับทราบคำสั่งในบันทึกดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าจำเลยยอมรับผิดตามบันทึกเพราะจำเลยเพียงแต่เซ็นชื่อรับทราบคำสั่งของรองผู้ว่าการไฟฟ้านครหลวงเท่านั้นโจทก์จะฟ้องร้องบังคับคดีให้จำเลยรับผิดตามบันทึกไม่ได้ และถือไม่ได้ว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์เกี่ยวกับความเสียหายดังกล่าวตั้งหลักฐานขึ้นโดยประนีประนอมยอมความการที่จำเลยผ่อนชำระเงินให้โจทก์เป็นการรับสภาพต่อเจ้าหนี้ด้วยใช้เงินบางส่วน เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงเท่านั้น
โจทก์มีวัตถุประสงค์ในการจัดหาจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า หรือประกอบธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้ามิใช่บุคคลผู้เป็นพ่อค้าน้ำมันเบนซิน สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการที่จะเรียกเอาค่าน้ำมันเบนซินจากจำเลยจึงมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164