พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,162 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมซื้อขายจากหนังสือมอบอำนาจปลอมเป็นโมฆะ กรรมสิทธิ์ยังเป็นของเจ้าของเดิม แม้ผู้รับซื้อฝากจะสุจริต
จำเลยปลอมใบมอบอำนาจโจทก์ไปโอนโฉนดขายที่ดินของโจทก์ให้ตนเองแล้วขายฝากต่อไป ต้องถือว่ามิได้มีนิติกรรมการซื้อขายที่ดินดังกล่าวเกิดขึ้นเลย กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่ตามเดิม แม้ผู้รับซื้อฝากจะจดทะเบียนรับซื้อไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม ผู้รับซื้อฝากก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์
การที่โจทก์มอบโฉนดที่พิพาทให้จำเลยยึดถือเพราะได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทกันไว้ และจำเลยได้วางมัดจำไว้กับโจทก์แล้วด้วย ย่อมมีเหตุอันสมควรในการที่โจทก์จะมอบโฉนดที่พิพาทให้จำเลยไว้ จะว่าโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงมิได้
การที่โจทก์มอบโฉนดที่พิพาทให้จำเลยยึดถือเพราะได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทกันไว้ และจำเลยได้วางมัดจำไว้กับโจทก์แล้วด้วย ย่อมมีเหตุอันสมควรในการที่โจทก์จะมอบโฉนดที่พิพาทให้จำเลยไว้ จะว่าโจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 530/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดิน: ศาลฎีกายกฟ้องนอกประเด็น แล้วพิพากษาตามข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกตัดฟันต้นไม้และล้อมรั้วในที่ดินโฉนดของโจทก์ ขอให้ห้ามและรื้อรั้ว จำเลยให้การว่าว่าจำเลยทำในที่ดินโฉนดของจำเลย ซึ่งได้กรรมสิทธิ์ด้วยการซื้อโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริตโจทก์ไม่เคยครอบครองที่พิพาท มิได้ต่อสู้ว่าโฉนดที่ดินของโจทก์ออกทับโฉนดที่ดินของจำเลย ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทไว้เพียงว่าจำเลยได้ล้อมรั้วบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์จริงหรือไม่ส่วนปัญหาเรื่องออกโฉนดทับกันหรือไม่นั้น จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์และพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในการออกโฉนดเป็นอีกคดีหนึ่ง และศาลชั้นต้นไม่อนุญาตตามคำร้องของโจทก์ที่ให้รอคดีนี้ไว้ฟังผลคดีดังกล่าวดังนี้ การที่ศาลล่างกลับวินิจฉัยว่าโฉนดที่ดินทั้งแปลงของโจทก์ออกทับส่วนหนึ่งของที่ดินของจำเลย แล้วพิพากษายกฟ้อง จึงเป็นการวินิจฉัยและพิพากษาคดีนอกเหนือประเด็นพิพาท ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาพิพากษาคดีชอบที่ศาลฎีกาจะยกเสีย แต่เมื่อคู่ความได้นำสืบตามประเด็นแห่งคดีไว้แล้วศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยพิพากษาคดีไปได้ ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทตลอดมา จำเลยบุกรุกเข้าไปล้อมรั้วในที่พิพาท ศาลฎีกาก็ย่อมพิพาทให้จำเลยรื้อรั้วออกจากที่ดินพิพาทและห้ามเกี่ยวข้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 194/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดโฉนดโดยสุจริต แต่ขาดความยินยอมจากเจ้าของ สิทธิในการยึดถือไม่มีผล
จำเลยยึดโฉนดที่ดินของโจทก์ไว้โดยสุจริต เชื่อว่าโจทก์มอบอำนาจให้ ถ. นำมาวางประกันกู้เงินจำเลยซึ่งไม่เป็นความจริงโจทก์เรียกโฉนดคืนจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 147-148/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ในลำรางสาธารณะ: สิทธิครอบครองเหนือการขุดลอก
แม้ที่พิพาทจะเป็นลำรางสาธารณะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินชนิดทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1304(2) แต่เมื่อโจทก์ครอบครองใช้สอยปลูกต้นผลไม้ในที่พิพาทอยู่ก่อนจำเลยและปลูกติดต่อกันหลายปีตลอดมาการที่จำเลยเอาเสาคอนกรีตไปปักลงในที่พิพาท เห็นได้ว่าเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายเป็นการละเมิดโจทก์มีสิทธิฟ้องห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องรบกวนการครอบครองที่พิพาทได้
กรณีดังกล่าว แม้จำเลยอ้างว่าที่เอาเสาคอนกรีตไปปักเพื่อขุดลอกที่พิพาทและได้ขออนุญาตนายอำเภอแล้ว แต่เมื่อปรากฏว่านายอำเภอยังไม่มีคำสั่งอนุญาตทั้งนายอำเภอก็มิได้ดำเนินการให้โจทก์ออกจากที่พิพาทจึงไม่มีเหตุที่ทำให้จำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินในเขตโฉนดของโจทก์แต่ทางพิจารณาปรากฏว่าที่ดินที่จำเลยบุกรุกอยู่นอกเขตโฉนดของโจทก์เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้ด้วยว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปปักหลักเขตเสาคอนกรีตในที่ดินที่โจทก์ครอบครองอยู่ประกอบกับแผนที่ท้ายฟ้องก็แสดงว่าที่ดินที่จำเลยบุกรุกอยู่ภายในเขตที่โจทก์ครอบครองศาลย่อมพิพากษาห้ามจำเลยและบริวารรบกวนการครอบครองที่พิพาทได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
กรณีดังกล่าว แม้จำเลยอ้างว่าที่เอาเสาคอนกรีตไปปักเพื่อขุดลอกที่พิพาทและได้ขออนุญาตนายอำเภอแล้ว แต่เมื่อปรากฏว่านายอำเภอยังไม่มีคำสั่งอนุญาตทั้งนายอำเภอก็มิได้ดำเนินการให้โจทก์ออกจากที่พิพาทจึงไม่มีเหตุที่ทำให้จำเลยมีสิทธิดีกว่าโจทก์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินในเขตโฉนดของโจทก์แต่ทางพิจารณาปรากฏว่าที่ดินที่จำเลยบุกรุกอยู่นอกเขตโฉนดของโจทก์เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้ด้วยว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปปักหลักเขตเสาคอนกรีตในที่ดินที่โจทก์ครอบครองอยู่ประกอบกับแผนที่ท้ายฟ้องก็แสดงว่าที่ดินที่จำเลยบุกรุกอยู่ภายในเขตที่โจทก์ครอบครองศาลย่อมพิพากษาห้ามจำเลยและบริวารรบกวนการครอบครองที่พิพาทได้ ไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2596/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการพิจารณาฟ้องเคลือบคลุม, อายุความคดีแพ่ง, และการฟ้องเรียกทรัพย์คืนหลังมีคำพิพากษาอาญา
กรุงเทพมหานครโจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 และมีสิทธิทำกิจการเทศพาณิชย์ได้ตามมาตรา 57 ประกอบด้วยมาตรา 54 (12) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2511 การที่โจทก์จัดทำกิจการสถานธนานุบาล (โรงรับจำนำ) ซึ่งเป็นการค้าขายอย่างหนึ่งตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.2505 ย่อมถือได้ว่าเป็นการจัดทำกิจการเทศพาณิชย์อย่างหนึ่ง เพราะคำว่า "เทศพาณิชย" หมายความถึงการค้าขายของประเทศ ของบ้านเมือง หรือของท้องถิ่น
จำเลยไม่ได้ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายให้ชัดเจนว่าการค้ำประกันเริ่มตั้งแต่เมื่อใด เมื่อจำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะเหตุดังกล่าวศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ เพราะไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน พ. รายละเอียดปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้อง และตามเอกสารท้ายฟ้องก็เป็นสำเนาสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำสัญญาค้ำประกัน พ.ต่อโจทก์ตรงกับที่บรรยายฟ้อง ดังนี้ แม้สำเนาค้ำประกันท้ายสำเนาฟ้องที่ส่งให้จำเลยจะเป็นสำเนาค้ำประกันบุคคลอื่นไม่ใช่สำเนาค้ำประกัน พ.ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะจำเลยอาจขอดูสำเนาสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องหรือขอให้ศาลสั่งให้โจทก์ส่งสำเนาค้ำประกันที่ถูกต้องให้จำเลยได้
พ.กระทำผิดหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังยักยอกทรัพย์สินของโจทก์ไป โจทก์ย่อมฟ้องเรียกคืนทรัพย์หรือให้ใช้ราคาได้ อันเป็นการฟ้องเรียกคืนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 และปรากฏว่าการที่ พ.ยักยอกทรัพย์ของโจทก์ดังกล่าวศาลอาญาพิพากษาจำคุก พ.คดีถึงที่สุดแล้วก่อนโจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยผู้ค้ำประกันเป็นคดีนี้ สิทธิของโจทก์ซึ่งจะเรียกร้องให้ พ.รับผิดในทางแพ่งย่อมมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสาม มิใช่มีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ซึ่งจำเลยยกข้อต่อสู้ของ พ.ผู้เป็นลูกหนี้ที่มีต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ตามมาตรา 694
จำเลยไม่ได้ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายให้ชัดเจนว่าการค้ำประกันเริ่มตั้งแต่เมื่อใด เมื่อจำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะเหตุดังกล่าวศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ เพราะไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน พ. รายละเอียดปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้อง และตามเอกสารท้ายฟ้องก็เป็นสำเนาสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำสัญญาค้ำประกัน พ.ต่อโจทก์ตรงกับที่บรรยายฟ้อง ดังนี้ แม้สำเนาค้ำประกันท้ายสำเนาฟ้องที่ส่งให้จำเลยจะเป็นสำเนาค้ำประกันบุคคลอื่นไม่ใช่สำเนาค้ำประกัน พ.ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะจำเลยอาจขอดูสำเนาสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องหรือขอให้ศาลสั่งให้โจทก์ส่งสำเนาค้ำประกันที่ถูกต้องให้จำเลยได้
พ.กระทำผิดหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังยักยอกทรัพย์สินของโจทก์ไป โจทก์ย่อมฟ้องเรียกคืนทรัพย์หรือให้ใช้ราคาได้ อันเป็นการฟ้องเรียกคืนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 และปรากฏว่าการที่ พ.ยักยอกทรัพย์ของโจทก์ดังกล่าวศาลอาญาพิพากษาจำคุก พ.คดีถึงที่สุดแล้วก่อนโจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยผู้ค้ำประกันเป็นคดีนี้ สิทธิของโจทก์ซึ่งจะเรียกร้องให้ พ.รับผิดในทางแพ่งย่อมมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสาม มิใช่มีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ซึ่งจำเลยยกข้อต่อสู้ของ พ.ผู้เป็นลูกหนี้ที่มีต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ตามมาตรา 694
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2596/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยฟ้องเคลือบคลุม, อายุความคดีแพ่ง, การฟ้องเรียกทรัพย์คืนหลังมีคำพิพากษาอาญา
กรุงเทพมหานครโจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติเทศบาลพ.ศ. 2496 และมีสิทธิทำกิจการเทศพาณิชย์ได้ตามมาตรา 57 ประกอบด้วยมาตรา 55(12) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2511 การที่โจทก์จัดทำกิจการสถานธนานุบาล (โรงรับจำนำ) ซึ่งเป็นการค้าขายอย่างหนึ่งตามพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ.2505 ย่อมถือได้ว่าเป็นการจัดทำกิจการเทศพาณิชย์อย่างหนึ่ง เพราะคำว่า "เทศพาณิชย" หมายความถึงการค้าขายของประเทศของบ้านเมือง หรือของท้องถิ่น
จำเลยไม่ได้ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายให้ชัดเจนว่าการค้ำประกันเริ่มตั้งแต่เมื่อใด เมื่อจำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะเหตุดังกล่าวศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ เพราะไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน พ. รายละเอียดปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้อง และตามเอกสารท้ายฟ้องก็เป็นสำเนาสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำสัญญาค้ำประกัน พ. ต่อโจทก์ตรงกับที่บรรยายฟ้อง ดังนี้ แม้สำเนาค้ำประกันท้ายสำเนาฟ้องที่ส่งให้จำเลยจะเป็นสำเนาค้ำประกันบุคคลอื่นไม่ใช่สำเนาค้ำประกัน พ. ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะจำเลยอาจขอดูสำเนาสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องหรือขอให้ศาลสั่งให้โจทก์ส่งสำเนาค้ำประกันที่ถูกต้องให้จำเลยได้
พ.กระทำผิดหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังยักยอกทรัพย์สินของโจทก์ไป โจทก์ย่อมฟ้องเรียกคืนทรัพย์หรือให้ใช้ราคาได้อันเป็นการฟ้องเรียกคืนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 และปรากฏว่าการที่ พ. ยักยอกทรัพย์ของโจทก์ดังกล่าวศาลอาญาพิพากษาจำคุก พ. คดีถึงที่สุดแล้วก่อนโจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยผู้ค้ำประกันเป็นคดีนี้ สิทธิของโจทก์ซึ่งจะเรียกร้องให้ พ. รับผิดในทางแพ่งย่อมมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสาม มิใช่มีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ซึ่งจำเลยยกข้อต่อสู้ของ พ.ผู้เป็นลูกหนี้ที่มีต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ตามมาตรา 694
จำเลยไม่ได้ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายให้ชัดเจนว่าการค้ำประกันเริ่มตั้งแต่เมื่อใด เมื่อจำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะเหตุดังกล่าวศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ เพราะไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน พ. รายละเอียดปรากฏตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้อง และตามเอกสารท้ายฟ้องก็เป็นสำเนาสัญญาค้ำประกันที่จำเลยทำสัญญาค้ำประกัน พ. ต่อโจทก์ตรงกับที่บรรยายฟ้อง ดังนี้ แม้สำเนาค้ำประกันท้ายสำเนาฟ้องที่ส่งให้จำเลยจะเป็นสำเนาค้ำประกันบุคคลอื่นไม่ใช่สำเนาค้ำประกัน พ. ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะจำเลยอาจขอดูสำเนาสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องหรือขอให้ศาลสั่งให้โจทก์ส่งสำเนาค้ำประกันที่ถูกต้องให้จำเลยได้
พ.กระทำผิดหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังยักยอกทรัพย์สินของโจทก์ไป โจทก์ย่อมฟ้องเรียกคืนทรัพย์หรือให้ใช้ราคาได้อันเป็นการฟ้องเรียกคืนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 และปรากฏว่าการที่ พ. ยักยอกทรัพย์ของโจทก์ดังกล่าวศาลอาญาพิพากษาจำคุก พ. คดีถึงที่สุดแล้วก่อนโจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยผู้ค้ำประกันเป็นคดีนี้ สิทธิของโจทก์ซึ่งจะเรียกร้องให้ พ. รับผิดในทางแพ่งย่อมมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสาม มิใช่มีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ซึ่งจำเลยยกข้อต่อสู้ของ พ.ผู้เป็นลูกหนี้ที่มีต่อโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ตามมาตรา 694
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์สิน - การใช้คูน้ำร่วมกัน - ไม่เป็นละเมิด - ป้องกันทรัพย์สิน
จำเลยขุดคูเพื่อชักน้ำจากคลองใช้ทำสวน โจทก์ทำสวนในที่ดินแม่ยายและได้ขุดคูชักน้ำใช้ทำสวนต่อจากคูที่จำเลยขุดไว้ แล้วโจทก์ถือวิสาสะใช้เรือยนต์บรรทุกอุปกรณ์ในการทำสวนมีเครื่องสูบน้ำเป็นต้นผ่านคูที่จำเลยขุดเข้าไปในที่ดินที่โจทก์ทำสวนโดยไม่ขออนุญาตจากจำเลย ในหน้าน้ำจำเลยปักไม้ไผ่ขวางคูนั้นเป็นป้องกันคนร้ายนำเรือยนต์ผ่านคูที่จำเลยขุดมาขโมยผลไม้ในสวนของ จำเลย โจทก์นำเรือยนต์บรรทุกเครื่องยนต์เข้าไปสูบน้ำที่ท่วมในสวนของโจทก์ไม่ได้ ทำให้สวนของโจทก์ถูกน้ำท่วมเสียหายการกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิในทรัพย์สินของจำเลยไม่ได้มีเจตนา กลั่นแกล้งจึงไม่เป็นการละเมิด และไม่ใช่กรณีที่จำเลยใช้สิทธิไม่สุจริตในอสังหาริมทรัพย์ทำให้โจทก์เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินและการใช้ประโยชน์จากคูน้ำร่วมกัน การป้องกันทรัพย์สินไม่ถือเป็นการละเมิด
จำเลยขุดคูเพื่อชักน้ำจากคลองใช้ทำสวน โจทก์ทำสวนในที่ดินแม่ยายและได้ขุดคูชักน้ำใช้ทำสวนต่อจากคูที่จำเลยขุดไว้ แล้วโจทก์ถือวิสาสะใช้เรือยนต์บรรทุกอุปกรณ์ในการทำสวนมีเครื่องสูบน้ำเป็นต้นผ่านคูที่จำเลยขุดเข้าไปในที่ดินที่โจทก์ทำสวนโดยไม่ขออนุญาตจากจำเลย ในหน้าน้ำจำเลยปักไม้ไผ่ขวางคูนั้นเพื่อป้องกันคนร้ายนำเรือยนต์ผ่านคูที่จำเลยขุดมาขโมยผลไม้ในสวนของจำเลย โจทก์นำเรือยนต์บรรทุกเครื่องยนต์เข้าไปสูบน้ำที่ท่วมในสวนของโจทก์ไม่ได้ ทำให้สวนของโจทก์ถูกน้ำท่วมเสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิในทรัพย์สินของจำเลยไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้ง จึงไม่เป็นการละเมิด และไม่ใช่กรณีที่จำเลยใช้สิทธิไม่สุจริตในอสังหาริมทรัพย์ทำให้โจทก์เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2581/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิดและการแบ่งแยกฐานความรับผิดระหว่างเจ้าหน้าที่ทุจริตและผู้กำกับดูแล
คดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตยักยอกถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 สำหรับจำเลยที่ 4 ให้ยกฟ้องโจทก์ เพราะข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ปฏิบัติไปตามระเบียบแบบแผน เช่นนี้ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งซึ่งผู้เสียหายฟ้องจำเลยที่ 4 กับพวกให้ชดใช้เงินดังกล่าวในคดีอาญาคืนฐานละเมิด ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา โดยจำเลยที่ 4 ไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าน้ำประปาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่ อันหมายถึงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์โดยเอาเงินค่าน้ำประปาของโจทก์ไปโดยทุจริต เป็นการยึดถือเอาเงินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของเงินมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามมาตรา 1336 ประกอบด้วยมาตรา 438 ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 6 โจทก์ขอให้รับผิดใช้ค่าเสียหายเพราะปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 สมคบกันยักยอกเอาเงินไปได้ จำเลยที่ 5 ที่ 6 มิได้ยึดถือเงินของโจทก์ไว้ หากจะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นความรับผิดในค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรค 2 ซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448
คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งได้รายงานต่ออธิบดีกรมโจทก์ว่า เห็นควรให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันชดใช้นายดำรงรองอธิบดีได้รับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 และสั่งว่า "ปปก.พิจารณาเสนอความเห็น" ลงชื่อ "ดำรง แทน" เช่นนี้มีความหมายว่านายดำรงสั่งแทนอธิบดีและถื่อว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2507 ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ที่ 6 จึงพ้น 1 ปี และขาดอายุความแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าน้ำประปาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่ อันหมายถึงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์โดยเอาเงินค่าน้ำประปาของโจทก์ไปโดยทุจริต เป็นการยึดถือเอาเงินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของเงินมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามมาตรา 1336 ประกอบด้วยมาตรา 438 ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 6 โจทก์ขอให้รับผิดใช้ค่าเสียหายเพราะปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 สมคบกันยักยอกเอาเงินไปได้ จำเลยที่ 5 ที่ 6 มิได้ยึดถือเงินของโจทก์ไว้ หากจะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นความรับผิดในค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรค 2 ซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448
คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งได้รายงานต่ออธิบดีกรมโจทก์ว่า เห็นควรให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันชดใช้นายดำรงรองอธิบดีได้รับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 และสั่งว่า "ปปก.พิจารณาเสนอความเห็น" ลงชื่อ "ดำรง แทน" เช่นนี้มีความหมายว่านายดำรงสั่งแทนอธิบดีและถื่อว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2507 ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ที่ 6 จึงพ้น 1 ปี และขาดอายุความแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2581/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องละเมิดและการรับผิดของเจ้าหน้าที่ต่อการยักยอกเงิน, การพิจารณาความรับผิดตามหลักฐานในคดีอาญา
คดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตยักยอกถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 สำหรับจำเลยที่ 4 ให้ยกฟ้องโจทก์ เพราะข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ปฏิบัติไปตามระเบียบแบบแผน เช่นนี้ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งซึ่งผู้เสียหายฟ้องจำเลยที่ 4 กับพวกให้ชดใช้เงินดังกล่าวในคดีอาญาคืนฐานละเมิด ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา โดยจำเลยที่ 4 ไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าน้ำประปาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่ อันหมายถึงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์โดยเอาเงินค่าน้ำประปาของโจทก์ไปโดยทุจริต เป็นการยึดถือเอาเงินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของเงินมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามมาตรา 1336 ประกอบด้วยมาตรา 438 ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 6 โจทก์ขอให้รับผิดใช้ค่าเสียหายเพราะปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 สมคบกันยักยอกเอาเงินไปได้ จำเลยที่ 5 ที่ 6 มิได้ยึดถือเงินของโจทก์ไว้ หากจะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นความรับผิดในค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรค 2 ซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448
คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งได้รายงานต่ออธิบดีกรมโจทก์ว่า เห็นควรให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันชดใช้นายดำรงรองอธิบดีได้รับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 และสั่งว่า "ปปก.พิจารณาเสนอความเห็น"ลงชื่อ "ดำรง แทน" เช่นนี้ มีความหมายว่านายดำรงสั่งแทนอธิบดีและถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2507 ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ที่ 6 จึงพ้น 1 ปี และขาดอายุความแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าน้ำประปาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่ อันหมายถึงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์โดยเอาเงินค่าน้ำประปาของโจทก์ไปโดยทุจริต เป็นการยึดถือเอาเงินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของเงินมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามมาตรา 1336 ประกอบด้วยมาตรา 438 ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 6 โจทก์ขอให้รับผิดใช้ค่าเสียหายเพราะปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 สมคบกันยักยอกเอาเงินไปได้ จำเลยที่ 5 ที่ 6 มิได้ยึดถือเงินของโจทก์ไว้ หากจะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นความรับผิดในค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรค 2 ซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448
คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งได้รายงานต่ออธิบดีกรมโจทก์ว่า เห็นควรให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันชดใช้นายดำรงรองอธิบดีได้รับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 และสั่งว่า "ปปก.พิจารณาเสนอความเห็น"ลงชื่อ "ดำรง แทน" เช่นนี้ มีความหมายว่านายดำรงสั่งแทนอธิบดีและถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2507 ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ที่ 6 จึงพ้น 1 ปี และขาดอายุความแล้ว