พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,162 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 636/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความพินัยกรรม: เจตนาของผู้ทำพินัยกรรมสำคัญกว่ารูปแบบเอกสาร
พินัยกรรม์ต้องเป็นการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายตาม ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 1646 แม้เอกสารจะใช้คำว่า พินัยกรรม์และข้อความในตอนต้นอาจมีทางพอจะตีความว่าได้เป็นพินัยกรรม์ก็ดี แต่เมื่ออ่านข้อความตอนอื่นประกอบแล้ว เห็นว่าผู้ตายหาได้มีเจตนาจะทำพินัยกรรม์ไม่ หากเป็นหนังสือสัญญาซึ่งทำไว้แก่ฝ่ายสาว เวลาที่ผู้ตายจะได้จำเลยเป็นภริยาเท่านั้น การที่ผู้ตายเขียนคำว่า ขอทำพินัยกรรม์ ในตอนต้นจึงเป็นการใช้ถ้อยคำผิดดังนี้ เอกสารเช่นว่านั้น จึงไม่ใช่พินัยกรรม์
โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่า จำเลยไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องในกองมฤดกของผู้ตาย และห้ามมิให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องในการรับมฤดกของผู้ตาย คำขอไม่ให้เกี่ยวข้องนี้กว้างมาก หากศาลพิพากษาห้ามดังโจทก์ขอแล้ว อาจไปกระทบกระเทือนสิทธิของจำเลยซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ฟ้องร้องกันนี้ก็ได้ ฉะนั้นศาลจึงพิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับกองมฤดกของผู้ตาย ในฐานะเป็นผู้รับมฤดก ส่วนคำขอท้ายฟ้องที่โจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากเรือนซึ่งเป็นกองมฤดกของผู้ตายก็เช่นเดียวกัน.
โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่า จำเลยไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องในกองมฤดกของผู้ตาย และห้ามมิให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องในการรับมฤดกของผู้ตาย คำขอไม่ให้เกี่ยวข้องนี้กว้างมาก หากศาลพิพากษาห้ามดังโจทก์ขอแล้ว อาจไปกระทบกระเทือนสิทธิของจำเลยซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ฟ้องร้องกันนี้ก็ได้ ฉะนั้นศาลจึงพิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับกองมฤดกของผู้ตาย ในฐานะเป็นผู้รับมฤดก ส่วนคำขอท้ายฟ้องที่โจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากเรือนซึ่งเป็นกองมฤดกของผู้ตายก็เช่นเดียวกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 636/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำพินัยกรรม: เอกสารที่ไม่ชัดเจนถึงเจตนาสั่งพินัยกรรม ไม่ถือเป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์
พินัยกรรมต้องเป็นการแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1646 แม้เอกสารจะใช้คำว่าพินัยกรรมและข้อความในตอนต้นอาจมีทางพอจะตีความว่าได้เป็นพินัยกรรมก็ดี แต่เมื่ออ่านข้อความตอนอื่นประกอบแล้ว เห็นว่าผู้ตายหาได้มีเจตนาจะทำพินัยกรรมไม่หากเป็นหนังสือสัญญาซึ่งทำไว้แก่ฝ่ายสาว เวลาที่ผู้ตายจะได้จำเลยเป็นภริยาเท่านั้น การที่ผู้ตายเขียนคำว่า ขอทำพินัยกรรม ในตอนต้นจึงเป็นการใช้ถ้อยคำผิด ดังนี้ เอกสารเช่นว่านั้น จึงไม่ใช่พินัยกรรม
โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าจำเลยไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องในกองมรดกของผู้ตาย และห้ามมิให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องในการรับมรดกของผู้ตายคำขอไม่ให้เกี่ยวข้องนี้กว้างมาก หากศาลพิพากษาห้ามดังโจทก์ขอแล้ว อาจไปกระทบกระเทือนสิทธิของจำเลยซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ฟ้องร้องกันนี้ก็ได้ ฉะนั้นศาลจึงพิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับกองมรดกของผู้ตาย ในฐานะเป็นผู้รับมรดก ส่วนคำขอท้ายฟ้องที่โจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากเรือนซึ่งเป็นกองมรดกของผู้ตายก็เช่นเดียวกัน
โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าจำเลยไม่มีสิทธิเกี่ยวข้องในกองมรดกของผู้ตาย และห้ามมิให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องในการรับมรดกของผู้ตายคำขอไม่ให้เกี่ยวข้องนี้กว้างมาก หากศาลพิพากษาห้ามดังโจทก์ขอแล้ว อาจไปกระทบกระเทือนสิทธิของจำเลยซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ฟ้องร้องกันนี้ก็ได้ ฉะนั้นศาลจึงพิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับกองมรดกของผู้ตาย ในฐานะเป็นผู้รับมรดก ส่วนคำขอท้ายฟ้องที่โจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกจากเรือนซึ่งเป็นกองมรดกของผู้ตายก็เช่นเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 481/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการแสดงอำนาจพิเศษในการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ แม้เป็นบริวารของจำเลย หากแสดงอำนาจพิเศษได้ คำพิพากษาไม่ผูกพัน
ศาลพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิในการเช่าตึกของกระทรวงการคลังจำเลยเป็นเพียงผู้อาศัยให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกพิพาทในชั้นแรกผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลย ศาลได้มีคำสั่งให้ผู้ร้องออกจากตึกเช่าของโจทก์ซึ่งเช่าจากกระทรวงการคลังในฐานะเป็นบริวารของจำเลยแล้วต่อมาถ้าปรากฏว่าผู้ร้องได้เป็นผู้เช่าตึกรายนี้จากกระทรวงการคลังแล้ว ดังนี้ ถือว่าผู้ร้องมีอำนาจพิเศษในการที่จะอยู่ในที่ดินนั้นได้ โดยไม่อาศัยอำนาจของจำเลยแล้ว ก็เป็นอันนำเอาคำพิพากษานั้นมาบังคับผู้ร้องไม่ได้ต่อไป
การบังคับขับไล่บุคคลนอกคดีนั้น จะบังคับได้ก็เฉพาะที่เป็นบริวารของจำเลยและไม่สามารถแสดงอำนาจพิเศษได้ตามมาตรา 142(1) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่ถ้าผู้นั้นแสดงอำนาจพิเศษได้ว่าอยู่ในที่ดินโดยไม่ได้อาศัยอำนาจของจำเลยไม่ว่าในขณะใดแล้ว ก็จะนำเอาคำพิพากษานั้นมาบังคับผู้นั้นไม่ได้อีกต่อไป
การบังคับขับไล่บุคคลนอกคดีนั้น จะบังคับได้ก็เฉพาะที่เป็นบริวารของจำเลยและไม่สามารถแสดงอำนาจพิเศษได้ตามมาตรา 142(1) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่ถ้าผู้นั้นแสดงอำนาจพิเศษได้ว่าอยู่ในที่ดินโดยไม่ได้อาศัยอำนาจของจำเลยไม่ว่าในขณะใดแล้ว ก็จะนำเอาคำพิพากษานั้นมาบังคับผู้นั้นไม่ได้อีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย: การอ้างสิทธิเช่าเพื่ออ้างคุ้มครองค่าเช่าที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ทำให้ฟ้องเคลือบคลุม
ฟ้องบรรยายข้อเท็จจริงตั้งแต่สัญญาเช่าเดิมระหว่างโจทก์กับ ห. ต่อมาถึง จ. และต่อมาจนกระทั่งถึงตัวจำเลย และกล่าวยืนยันว่าจำเลยเข้าอยู่ในที่พิพาทโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ แม้จำเลยจะอ้างสิทธิการเช่าของ จ. เพื่อได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ แต่เมื่อ จ. ได้ถึงแก่กรรมแล้ว จำเลยไม่ได้แจ้งความจำนงให้โจทก์ทราบและจำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์เลย จึงไม่ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติคุ้มครองค่าเช่าและในตอนท้ายบรรยายว่า การเช่าตั้งแต่ครั้ง ห. สืบตลอดมาเป็นการเช่าไปเพื่อทำการค้า ไม่ควรได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ อีกด้วยก็ตามก็เป็นการบรรยายยืนยันให้เห็นว่า ถึงอย่างไรจำเลยก็ไม่มีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ และโจทก์มีอำนาจบอกเลิกสัญญาและขับไล่จำเลยได้ ทั้งจำเลยให้การต่อสู้ข้อหาของโจทก์ทุกข้อ จึงไม่เป็นการยากแก่จำเลยที่จะต่อสู้คดี ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าช่วงโดยไม่ได้รับความยินยอม ทำให้ผู้เช่าเสียสิทธิความคุ้มครองตามกฎหมาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ดี พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯก็ดีย่อมไม่ให้ความคุ้มครองแก่ผู้เช่าที่เอาห้องไปให้ผู้อื่นเช่าช่วงโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่าเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของร่วมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่เจ้าของร่วมอื่นออกจากเรือนพิพาท
เจ้าของร่วมในเรือนพิพาทไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่เจ้าของร่วมอีกผู้หนึ่งออกจากเรือนพิพาทได้
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากเรือนพิพาทโดยอ้างว่าจำเลยอาศัย จำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ ข้อเท็จจริงฟังว่าเรือนพิพาท จำเลยเป็นเจ้าของอยู่ด้วย ดังนี้ คดีไม่มีประเด็นว่าโจทก์อาจเป็นเจ้าของรวมหรืออาจไม่เป็นเจ้าของเลยหรือจะควรแบ่งกึ่งให้โจทก์จำเลยหรือจะควรประการใด ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง./
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากเรือนพิพาทโดยอ้างว่าจำเลยอาศัย จำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ ข้อเท็จจริงฟังว่าเรือนพิพาท จำเลยเป็นเจ้าของอยู่ด้วย ดังนี้ คดีไม่มีประเด็นว่าโจทก์อาจเป็นเจ้าของรวมหรืออาจไม่เป็นเจ้าของเลยหรือจะควรแบ่งกึ่งให้โจทก์จำเลยหรือจะควรประการใด ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง./
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าของร่วมฟ้องขับไล่เจ้าของร่วมอื่นไม่ได้ แม้มีข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์
เจ้าของร่วมในเรือนพิพาทไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่เจ้าของร่วมอีกผู้หนึ่งออกจากเรือนพิพาทได้
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากเรือนพิพาทโดยอ้างว่าจำเลยอาศัยจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ ข้อเท็จจริงฟังว่าเรือนพิพาท จำเลยเป็นเจ้าของอยู่ด้วยดังนี้ คดีไม่มีประเด็นว่าโจทก์อาจเป็นเจ้าของรวมหรืออาจไม่เป็นเจ้าของเลยหรือจะควรแบ่งกึ่งให้โจทก์จำเลยหรือจะควรประการใดศาลต้องพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากเรือนพิพาทโดยอ้างว่าจำเลยอาศัยจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ ข้อเท็จจริงฟังว่าเรือนพิพาท จำเลยเป็นเจ้าของอยู่ด้วยดังนี้ คดีไม่มีประเด็นว่าโจทก์อาจเป็นเจ้าของรวมหรืออาจไม่เป็นเจ้าของเลยหรือจะควรแบ่งกึ่งให้โจทก์จำเลยหรือจะควรประการใดศาลต้องพิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1238/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าเพื่อใช้เป็นสำนักงานพาณิชย์ ไม่คุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า เมื่อจำเลยให้การรับตามฟ้อง โจทก์ไม่ต้องสืบพยาน
ในคดีแพ่ง เมื่อจำเลยให้การรับตามฟ้องของโจทก์แล้วโจทก์ก็ไม่ต้องสืบพยานในข้อที่จำเลยรับ
สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเป็นสถานที่ทำการหาใช่เป็นเคหะไม่เพราะมิใช่เป็นที่อยู่อาศัย จึงไม่ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ (อ้างฎีกาที่ 1099-1147/2491)
สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเป็นสถานที่ทำการหาใช่เป็นเคหะไม่เพราะมิใช่เป็นที่อยู่อาศัย จึงไม่ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ (อ้างฎีกาที่ 1099-1147/2491)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการครอบครองที่ดินหลังเลิกสัญญาเช่า: ผู้เช่าช่วงไม่มีสิทธิอ้าง พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ยันต่อเจ้าของที่ดิน
เมื่อศาลพิพากษาว่าสัญญาเช่าที่ดินระหว่างเจ้าของที่ดินกับผู้เช่าระงับไปแล้ว เมื่อผู้เช่าสามารถรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปได้เมื่อใด ก็ให้จัดการรื้อไปย่อมแสดงว่า ผู้เช่าไม่มีสิทธิที่จะใช้ที่ดินของโจทก์เป็นที่สำหรับปลูกสร้างต่อไปแล้ว ส่วนการที่ผู้เช่าจะรื้อถอนไปเมื่อใดนั้น เป็นเรื่องของการบังคับคดี
เมื่อผู้เช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน แล้วมาปลูกบ้านให้คนเช่าหมดสิทธิในที่ดินแล้ว ผู้เช่าที่ดินก็ย่อมไม่มีสิทธิจะให้ผู้ใดเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินที่เช่านั้นต่อไป
จำเลยเป็นผู้เช่าเรือนโรงไปจากผู้เช่าที่ดินของโจทก์นั้น ไม่ใช่เป็นผู้เช่าหรือผู้เช่าช่วงที่ดินจากโจทก์ ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
เมื่อผู้เช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน แล้วมาปลูกบ้านให้คนเช่าหมดสิทธิในที่ดินแล้ว ผู้เช่าที่ดินก็ย่อมไม่มีสิทธิจะให้ผู้ใดเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินที่เช่านั้นต่อไป
จำเลยเป็นผู้เช่าเรือนโรงไปจากผู้เช่าที่ดินของโจทก์นั้น ไม่ใช่เป็นผู้เช่าหรือผู้เช่าช่วงที่ดินจากโจทก์ ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าที่ดินระงับเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุด ผู้เช่าช่วงไม่มีสิทธิในที่ดิน แม้ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
เมื่อศาลพิพากษาว่าสัญญาเช่าที่ดินระหว่างเจ้าของที่ดินกับผู้เช่าระงับไปแล้ว เมื่อผู้เช่าสามารถรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปได้เมื่อใด ก็ให้จัดการรื้อไป ย่อมแสดงว่า ผู้เช่าไม่มีสิทธิที่จะใช้ที่ดินของโจทก์เป็นที่สำหรับปลูกสร้างต่อไปแล้ว ส่วนการที่ผู้เช่าจะรื้อถอนไปเมื่อใดนั้น เป็นเรื่องของการบังคับคดี
เมื่อผู้เช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน แล้วมาปลูกบ้านให้คนเช่าหมดสิทธิในที่ดินแล้ว ผู้เช่าที่ดินก็ย่อมไม่มีสิทธิจะให้ผู้ใดเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินที่เช่านั้นต่อไป
จำเลยเป็นผู้เช่าเรือนโรงไปจากผู้เช่าที่ดินของโจทก์นั้นไม่ใช่เป็นผู้เช่า หรือผู้เช่าช่วงที่ดินจากโจทก์ ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน
เมื่อผู้เช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน แล้วมาปลูกบ้านให้คนเช่าหมดสิทธิในที่ดินแล้ว ผู้เช่าที่ดินก็ย่อมไม่มีสิทธิจะให้ผู้ใดเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินที่เช่านั้นต่อไป
จำเลยเป็นผู้เช่าเรือนโรงไปจากผู้เช่าที่ดินของโจทก์นั้นไม่ใช่เป็นผู้เช่า หรือผู้เช่าช่วงที่ดินจากโจทก์ ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน