คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 94

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,097 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7125/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบพยานบุคคลแสดงความเป็นมาของที่ดินเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของ ไม่ถือเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสาร
การที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลเพื่อแสดงความเป็นมาอันแท้จริงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยเป็นเพียงผู้มีชื่อในโฉนดที่พิพาทแทนโจทก์เท่านั้น และการนำสืบเช่นนี้ยังเป็นการนำสืบถึงการเป็นตัวแทนอีกส่วนหนึ่งด้วยซึ่งไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลย จึงหาใช่เป็นการนำสืบพยานบุคคลแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6895/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกัน: ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในวงเงินค้ำประกัน แม้จำเลยที่ 1 มีหนี้มากกว่า และแก้ไขสัญญาด้วยวาจาไม่ได้
จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดในหนี้สินของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันอย่างลูกหนี้ร่วมในวงเงินค้ำประกัน หมายความว่าแม้จำเลยที่ 1 จะมีหนี้อยู่มากกว่านี้ จำเลยที่ 2 คงต้องรับผิดเพียงวงเงินที่ค้ำประกันไว้เท่านั้นเมื่อจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่มากกว่าวงเงินที่ค้ำประกัน จำเลยที่ 2ต้องร่วมรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันที่ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในวงเงินค้ำประกัน สัญญาค้ำประกันมิได้มีข้อความระบุว่าถ้าจำเลยที่ 1 ชำระเงินเท่าใดจะให้จำเลยที่ 2 รับภาระหนี้ที่ค้ำประกันอยู่ลดลงตามจำนวนหนี้ที่ชำระมาแล้ว จำเลยที่ 2 จะนำสืบพยานบุคคลว่าโจทก์เคยมีข้อตกลงดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 มาแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในสัญญาค้ำประกันไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5752/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายบ้านแยกจากที่ดินได้หากเจตนาตรงกัน แม้บ้านจะไม่ได้ตั้งอยู่บนที่ดินนั้น
การซื้อขายบ้านในลักษณะที่คงสภาพอันเป็นอสังหาริมทรัพย์ โดยแยกต่างหากจากที่ดินที่บ้านนั้นปลูกสร้างอยู่สามารถทำได้โดยชอบ เมื่อการปลูกสร้างบ้านดังกล่าวมิได้ยึดถือแนวเขตที่ดินตามโฉนดเป็นตัวกำหนดที่ตั้ง ซึ่งจำเลยเป็นผู้รู้ข้อเท็จจริงนี้ดีและได้แสดงเจตนาขายบ้านและที่ดินพิพาทแก่โจทก์พร้อมกันได้ในคราวเดียว จึงเป็นการยอมรับสภาพในผลของสัญญาซื้อขายที่ทำขึ้นนั้นว่า เมื่อจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและบ้านหลังดังกล่าวแก่โจทก์แล้ว บ้านนั้นย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทันทีทั้งที่มิได้อยู่บนที่ดินพิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4674/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์จำนวนเงินกู้ที่แท้จริง และการใช้สิทธิรับฟังพยานหลักฐานการชำระหนี้โดยวิธีการอื่น
จำเลยสามารถนำสืบโต้แย้งจำนวนเงินที่กู้ไปจากโจทก์ได้ว่าไม่ได้รับเงินไปครบถ้วนตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน เป็นการนำสืบถึงความไม่สมบูรณ์แห่งหนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคท้าย
จำเลยนำสืบว่าในปี 2534 ถึง 2537 โจทก์นำบัตรถอนเงินอัตโนมัติของจำเลยไปเบิกเงินเดือนของจำเลยเป็นเงินประมาณ 300,000 บาทเป็นการนำสืบการใช้เงินโดยวิธีอื่น ว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้
การที่จำเลยอ้างส่งเทปบันทึกเสียงซึ่งบันทึกการสนทนาระหว่างโจทก์และจำเลยพร้อมเอกสารที่ถอดข้อความบันทึกการสนทนาเป็นพยานหลักฐานนั้นนับเป็นพยานหลักฐานซึ่งเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่จำเลยจะนำสืบในประเด็นเรื่องการใช้เงินแม้โจทก์จะไม่ทราบว่ามีการบันทึกเสียงไว้ก็ตาม แต่เมื่อเสียงที่ปรากฏเป็นเสียงของโจทก์จริง และการบันทึกเสียงดังกล่าวเกิดจากการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นคู่สนทนาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้บันทึกเสียงไว้เอง ซึ่งโดยปกติจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะเบิกความอ้างถึงการสนทนาในครั้งนั้นได้อยู่แล้ว จึงไม่ถือว่าเทปบันทึกเสียงและเอกสารที่ถอดข้อความนั้นเป็นการบันทึกถ้อยคำซึ่งเกิดจากการกระทำโดยมิชอบอันจะต้องมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 243 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4674/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบพยานเพื่อพิสูจน์การชำระหนี้ และการรับฟังเทปบันทึกเสียงเป็นพยานหลักฐาน
แม้โจทก์จะมีสัญญากู้ยืมเงินมาแสดงว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไป 400,000 บาท แต่จำเลยก็ยังนำสืบโต้แย้งจำนวนเงินที่กู้ไปจากโจทก์ว่า ไม่ได้รับเงินไปครบถ้วนตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญากู้ยืมเงิน อันเป็นการนำสืบถึงความไม่สมบูรณ์แห่งหนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 วรรคท้าย จำเลยทั้งสองย่อมนำสืบได้หาใช่เป็นกรณีต้องห้ามมิให้นำสืบไม่
ในการกู้ยืมเงินโจทก์ยึดสมุดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคารและบัตรถอนเงินอัตโนมัติของจำเลยไว้ ที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์นำบัตรถอนเงินอัตโนมัติของจำเลยไปเบิกเงินเดือนของจำเลยเป็นเงินประมาณ 300,000 บาท เป็นการนำสืบว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้
จำเลยอ้างส่งเทปบันทึกเสียงซึ่งบันทึกการสนทนาระหว่างโจทก์และจำเลยพร้อมเอกสารที่ถอดข้อความบันทึกการสนทนาดังกล่าว และรายการบัญชีเงินฝากของจำเลยเป็นพยานหลักฐานว่า โจทก์ได้ชำระหนี้ไปครบถ้วนแล้ว โดยเสียงที่ปรากฏในเทปบันทึกเสียงอันเป็นเสียงของโจทก์จริง เทปบันทึกเสียงการสนทนาระหว่างโจทก์และจำเลย เอกสารที่ถอดข้อความบันทึกการสนทนา นับเป็นพยานหลักฐานซึ่งเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่จำเลยจะนำสืบในประเด็นเรื่อง การใช้เงิน และเมื่อการบันทึกเสียงดังกล่าวเกิดจากการกระทำของจำเลยซึ่งเป็นคู่สนทนาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้บันทึกเสียงไว้เอง ซึ่งโดยปกติจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะเบิกความอ้างถึงการสนทนาในครั้งนั้นได้อยู่แล้ว จึงไม่ถือว่าเทปบันทึกเสียงและเอกสารที่ถอดข้อความบันทึกการสนทนา เป็นการบันทึกถ้อยคำซึ่งเกิดจากการกระทำโดยมิชอบ อันจะต้องห้ามมิให้ รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 243 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3481/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบพยานเพื่อแสดงความเป็นมาของสัญญา และการสละการครอบครองที่ดิน
หนังสือสัญญาขายที่ดินมีการกรอกข้อความและมีลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยในช่องลงลายมือชื่อผู้ขาย แต่ไม่มีผู้ใดลงลายมือชื่อผู้ซื้อ การที่จำเลยนำสืบว่า ว.และส. เคยมาขอซื้อที่ดินอีกแปลงหนึ่งของจำเลย จำเลยได้พิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือในเอกสารซื้อขายจำนวน 2 ฉบับที่ดินที่ขายไม่ใช่ที่ดินพิพาท จำเลยมีสิทธินำสืบได้ เพราะเป็นการนำสืบเพื่อแสดงถึงความเป็นมาอันแท้จริงของหนังสือสัญญาขายที่ดินว่าจำเลยลงลายพิมพ์นิ้วมือในเอกสารดังกล่าวเพราะเหตุใด ไม่ใช่เป็นการนำสืบเพิ่มเติม ตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3189/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำสืบพยานขัดแย้งกับเอกสารสัญญา และผลของการผิดสัญญาซื้อขาย
สัญญาจะซื้อขายบ้านและที่ดินมิได้กำหนดให้โจทก์ต้องรังวัดตรวจสอบเนื้อที่ดินก่อนโอนกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินให้จำเลย การที่จำเลยนำพยานบุคคลมาสืบว่าโจทก์ไม่ดำเนินการถือว่าผิดสัญญาเป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข) ศาลไม่อาจรับฟังคำพยานบุคคลดังกล่าวได้ และเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2584/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ราคาซื้อขายที่แท้จริงในคดีล้มละลาย การรับฟังพยานหลักฐานนอกเหนือจากสัญญาซื้อขาย
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) บัญญัติห้ามเฉพาะการขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างว่ายังมีข้อความเพิ่มเติมหรือแก้ไขข้อความในเอกสาร เมื่อมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงเท่านั้น การที่ผู้คัดค้านร่วมนำสืบกรรมการของผู้คัดค้านร่วมเป็นพยานประกอบสำเนาเช็คทั้งสี่ฉบับว่า ผู้คัดค้านร่วมชำระราคาที่ดินพิพาทที่ซื้อขายให้แก่จำเลยที่ 2 ต่างไปจากราคาที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน เป็นการนำสืบถึงข้อความจริงว่าผู้คัดค้านร่วมซื้อทรัพย์พิพาทจากจำเลยที่ 2 มาในราคาเท่าใด มิใช่เป็นการนำสืบเพื่อให้บังคับตามสัญญาซื้อขายจึงไม่ต้องด้วยหลักกฎหมายปิดปากและไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)
การซื้อขายทรัพย์พิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 ดังนี้ การซื้อขายทรัพย์พิพาทโดยไม่ระบุราคาซื้อขายอันแท้จริงลงในหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินไม่ตกเป็นโมฆะ การที่ผู้คัดค้านร่วมกับจำเลยที่ 2 ระบุราคาซื้อขายทรัพย์พิพาทต่ำกว่าราคาซื้อขายที่แท้จริงลงในหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน แม้จะเป็นการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม แต่ไม่เป็นข้อเท็จจริงที่แสดงว่าการโอนทรัพย์พิพาทได้กระทำโดยไม่สุจริตตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 114(เดิม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1656/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การให้โดยมีค่าภารติดพัน vs. การให้โดยเสน่หา: สิทธิในการถอนคืนการให้
โจทก์ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ตอบแทนที่จำเลยที่ 1ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทให้ เป็นการให้โดยมีค่าภารติดพันแม้หนังสือสัญญาให้ที่ดินระบุว่า เป็นการให้โดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทนจำเลยที่ 1 ก็นำสืบได้ว่าเป็นการให้โดยจำเลยที่ 1 ต้องไปกู้เงินจาก ส. มาไถ่ถอนจำนองที่ดินจาก ฉ. หาใช่เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่ โจทก์ไม่มีสิทธิถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1060/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อ-ประกันภัย: ผู้เช่าซื้อมีส่วนได้เสียในรถยนต์ที่เอาประกันภัย จำเลยร่วมต้องรับผิดตามกรมธรรม์
โจทก์นำสืบโดยส่งต้นฉบับสัญญาเช่าซื้อเป็นพยาน จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกจากโจทก์จริง ส่วนจำเลยร่วมถูกเรียกเข้ามาในคดีโดยมิได้ต่อสู้ว่าเอกสารสัญญาเช่าซื้อปลอม ไม่สมบูรณ์แต่ประการใด จำเลยร่วมจะอ้างคำเบิกความของ พ. กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1 หรือพยานบุคคลอื่นมาหักล้างเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาเช่าซื้อซึ่งระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อมิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)
เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุก จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธินำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปใช้ประโยชน์และมีสิทธิที่จะได้กรรมสิทธิ์เมื่อชำระค่าเช่าซื้อครบตลอดจนต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อ ความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแก่รถยนต์ที่เช่าซื้อ จำเลยที่ 1จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในวัตถุที่เอาประกันภัย ถึงแม้จะให้ผู้อื่นนำรถยนต์ไปใช้หรือชำระค่าเช่าซื้อเบี้ยประกันแทนก็หาทำให้เสียสิทธิหรือหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาไม่จำเลยร่วมจึงต้องผูกพันตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ทำไว้กับจำเลยที่ 1 และต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย
of 110