พบผลลัพธ์ทั้งหมด 248 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3277/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีละเมิดของทายาท: หน้าที่การพิสูจน์ความรับผิดและทรัพย์มรดก
ในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายในฐานะเป็นทายาทของผู้ตายซึ่งกระทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยเหตุที่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย และผู้ตายมีทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาทอย่างใดหรือไม่ แม้โจทก์จะอุทธรณ์เฉพาะปัญหาดังกล่าว เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของผู้ตายไม่เป็นละเมิด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ศาลอุทธรณ์ก็อาจยกฟ้องโจทก์โดยเหตุดังกล่าวได้โดยไม่จำต้องวินิจฉัยความรับผิดของจำเลยตามข้ออุทธรณ์ของโจทก์แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4775/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีซ้ำซ้อน: การวินิจฉัยคดีโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่โจทก์แถลงรับและคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีก่อน ไม่ถือเป็นข้อเท็จจริงนอกสำนวน
โจทก์อ้างส่งสำเนาคำพิพากษาฎีกาในคดีก่อนต่อศาลและยังแถลงรับอีกว่าคำพิพากษาดังกล่าวนั้นถูกต้อง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงเรื่องที่โจทก์เคยฟ้องจำเลยมาแล้วจึงมิใช่ข้อเท็จจริงนอกสำนวน ทั้งการที่ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์แถลงรับดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการไต่สวนมูลฟ้องแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีนี้และคดีก่อนมีข้อเท็จจริงเดียวกันสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) พิพากษายกฟ้อง เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์มิได้อ้างอิงว่าฟ้องโจทก์คดีนี้กับคดีก่อนเป็นคนละประเด็นกันอย่างไรบ้าง จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวโดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกอุทธรณ์ของโจทก์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีนี้และคดีก่อนมีข้อเท็จจริงเดียวกันสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) พิพากษายกฟ้อง เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์มิได้อ้างอิงว่าฟ้องโจทก์คดีนี้กับคดีก่อนเป็นคนละประเด็นกันอย่างไรบ้าง จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวโดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกอุทธรณ์ของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4775/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยคดีซ้ำซ้อนและการไต่สวนมูลฟ้อง: ศาลอุทธรณ์ยกอุทธรณ์กรณีคดีมีข้อเท็จจริงซ้ำกับคดีก่อน
โจทก์อ้างส่งสำเนาคำพิพากษาฎีกาในคดีก่อนต่อศาลและยังแถลงรับอีกว่าคำพิพากษาดังกล่าวนั้นถูกต้อง การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยถึงเรื่องที่โจทก์เคยฟ้องจำเลยมาแล้วจึงมิใช่ข้อเท็จจริงนอกสำนวน ทั้งการที่ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์แถลงรับดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการไต่สวนมูลฟ้องแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีนี้และคดีก่อนมีข้อเท็จจริงเดียวกันสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) พิพากษายกฟ้อง เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์มิได้อ้างอิงว่าฟ้องโจทก์คดีนี้กับคดีก่อนเป็นคนละประเด็นกันอย่างไรบ้าง จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวโดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกอุทธรณ์ของโจทก์.
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีนี้และคดีก่อนมีข้อเท็จจริงเดียวกันสิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) พิพากษายกฟ้อง เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์มิได้อ้างอิงว่าฟ้องโจทก์คดีนี้กับคดีก่อนเป็นคนละประเด็นกันอย่างไรบ้าง จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวโดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกอุทธรณ์ของโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4268/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ราคาสินค้านำเข้า: การประเมินราคาต้องอ้างอิงราคาอันแท้จริงในท้องตลาด ไม่ใช่ราคาที่สืบจากแหล่งข่าวที่ไม่ชัดเจน
จำเลยได้สำแดงราคาสินค้าไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดในเวลาและสถานที่ซึ่งนำของเข้าเพื่อเสียภาษีถูกต้องแล้ว กรมศุลกากรกับกรมสรรพากรโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงเพื่อเสียภาษีต่ำกว่าราคาที่โจทก์ถือเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเพื่อเป็นการประเมินเรียกเก็บภาษี ดังนั้นการประเมินราคาสินค้าให้สูงขึ้นกว่าที่จำเลยสำแดงเพื่อเรียกเก็บภาษีเพิ่มของโจทก์จึงไม่ชอบ
จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนเงินประกันแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันชำระเงิน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์คืนเงินประกันแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลพิพากษา จำเลยไม่อุทธรณ์ ดังนี้ปัญหาว่าโจทก์ต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่จำเลยตั้งแต่เมื่อใด ย่อมไม่เป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์
จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนเงินประกันแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันชำระเงิน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์คืนเงินประกันแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลพิพากษา จำเลยไม่อุทธรณ์ ดังนี้ปัญหาว่าโจทก์ต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่จำเลยตั้งแต่เมื่อใด ย่อมไม่เป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4268/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ราคาสินค้าสำแดงถูกต้อง กรมศุลกากรประเมินสูงเกินไปไม่ได้
จำเลยได้สำแดงราคาสินค้าไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดในเวลาและสถานที่ซึ่งนำของเข้าเพื่อเสียภาษีถูกต้องแล้ว กรมศุลกากรกับกรมสรรพากรโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงเพื่อเสียภาษีต่ำกว่าราคาที่โจทก์ถือเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเพื่อเป็นการประเมินเรียกเก็บภาษีดังนั้นการประเมินราคาสินค้าให้สูงขึ้นกว่าที่จำเลยสำแดงเพื่อเรียกเก็บภาษีเพิ่มของโจทก์จึงไม่ชอบ
จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนเงินประกันแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันชำระเงิน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์คืนเงินประกันแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลพิพากษา จำเลยไม่อุทธรณ์ดังนี้ปัญหาว่าโจทก์ต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่จำเลยตั้งแต่เมื่อใด ย่อมไม่เป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์
จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์คืนเงินประกันแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันชำระเงิน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์คืนเงินประกันแก่จำเลยพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลพิพากษา จำเลยไม่อุทธรณ์ดังนี้ปัญหาว่าโจทก์ต้องชำระดอกเบี้ยให้แก่จำเลยตั้งแต่เมื่อใด ย่อมไม่เป็นประเด็นในชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2367/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองทรัพย์มรดกและการฟ้องแบ่งทรัพย์สินร่วม สิทธิเจ้าของร่วมไม่อยู่ในอายุความมรดก
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ แต่ให้ยกฟ้องโจทก์เพราะเหตุอื่น โจทก์แต่ฝ่ายเดียวอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่า "ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในตอนต้น ว่า คดีไม่ขาดอายุความแล้ววินิจฉัยต่อมาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิ์ขอแบ่งที่พิพาทเพราะล่วงเลยอายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 เป็นการขัดกันเองและขัดเหตุผล" เมื่อจำเลยได้ยื่นคำแก้ อุทธรณ์ในปัญหานี้แล้วปัญหาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จึงเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลอุทธรณ์จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัย โจทก์จะอ้างว่าศาลอุทธรณ์หยิบยกเอาปัญหาเรื่องคดีโจทก์ขาดอายุความขึ้นวินิจฉัยทั้ง ๆ ที่จำเลยมิได้อุทธรณ์เป็นการมิชอบนั้นไม่ได้ ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกที่โจทก์และมารดาจำเลยร่วมกันรับมรดกและร่วมกันครอบครอง ต่อมาโจทก์สมรสแล้วย้ายไปอยู่กับสามีโดยมีมารดาจำเลยครอบครองที่พิพาทแทนโจทก์ การที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อมาจึงอยู่ในฐานะเดียวกับมารดาของตน คือครอบครองแทนโจทก์เช่นกัน เมื่อโจทก์ยังมิได้สละสิทธิรับมรดก โจทก์จึงยังมีสิทธิในที่พิพาทอันเป็นมรดกรายนี้ การที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งแยกที่พิพาทจากจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิเจ้าของร่วมขอแบ่งทรัพย์พิพาท หาใช่การฟ้องคดีมรดกไม่ ดังนั้น จึงจะนำอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754มาใช้บังคับไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2082/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมที่ลงลายพิมพ์นิ้วมือและพยาน การวินิจฉัยนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์ และข้อห้ามฎีกา
พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองที่ผู้ทำลงลายพิมพ์นิ้วมือและมีผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานสองคน กับมีปลัดอำเภอรักษาราชการแทนปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้ากิ่งอำเภอเป็นผู้จัดทำและลงลายมือชื่อด้วย แต่มิได้ประทับตราตำแหน่งไว้เป็นสำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1655 (4) นั้น เป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์ในฐานะที่เป็นพินัยกรรมธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656 และมาตรา 1665
คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยให้ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เป็นการไม่ชอบ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนนี้ไม่มีผล การที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้มาอีก จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินจฉัย
คำแก้ฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น ต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกา จะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาหาได้ไม่
คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยให้ เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น เป็นการไม่ชอบ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนนี้ไม่มีผล การที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้มาอีก จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินจฉัย
คำแก้ฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้น ต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกา จะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2082/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมลงลายพิมพ์นิ้วมือและพยาน การแบ่งทรัพย์มรดก และการวินิจฉัยนอกประเด็นในชั้นอุทธรณ์
พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองที่ผู้ทำลงลายพิมพ์นิ้วมือและมีผู้ลงลายมือชื่อเป็นพยานสองคนกับมีปลัดอำเภอรักษาราชการแทนปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้ากิ่งอำเภอเป็นผู้จัดทำและลงลายมือชื่อด้วยแต่มิได้ประทับตราตำแหน่งไว้เป็นสำคัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1655(4)นั้นเป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์ในฐานะที่เป็นพินัยกรรมธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1656และมาตรา1665. คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์แต่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นเป็นการไม่ชอบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ส่วนนี้ไม่มีผลการที่จำเลยฎีกาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้มาอีกจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249ศาลฎีกาไม่รับวินจฉัย. คำแก้ฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ศาลฎีกาพิพากษานอกเหนือจากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นั้นต้องกระทำโดยยื่นคำฟ้องฎีกาจะเพียงแต่ขอมาในคำแก้ฎีกาหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 364/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีหมิ่นประมาท ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาที่ขัดแย้งข้อเท็จจริงที่ฟังยุติแล้ว
ฎีกาของจำเลยที่ว่า ในการวินิจฉัยคดีนั้น ศาลล่างทั้งสองหยิบยกพยานหลักฐานของจำเลยขึ้นมาพิจารณาแต่เพียงบางส่วน จึงเห็นว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม ถ้าพิจารณาให้ครบถ้วนแล้ว จะเห็นได้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด การวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 นั้น เป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานของศาลโดยการโต้เถียงข้อเท็จจริง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นมากล่าวอ้างนั้น เป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องและที่จำเลยให้การรับซึ่งฟังเป็นยุติแล้ว ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ไม่ได้
เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยลงโฆษณานั้นเป็นข้อความที่หมิ่นประมาทโจทก์ร่วมแล้ว จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิที่จะนำข้อความหมิ่นประมาทนั้นไปลงประกาศในหนังสือพิมพ์หรือไม่เพราะจำเลยไม่มีสิทธิที่จะกระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมายได้ ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่า จำเลยมีสิทธิลงประกาศในหนังสือพิมพ์หรือไม่ไม่ได้ทำให้การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยลงโฆษณานั้นเป็นข้อความที่หมิ่นประมาทโจทก์ร่วมแล้ว จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิที่จะนำข้อความหมิ่นประมาทนั้นไปลงประกาศในหนังสือพิมพ์หรือไม่เพราะจำเลยไม่มีสิทธิที่จะกระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมายได้ ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่า จำเลยมีสิทธิลงประกาศในหนังสือพิมพ์หรือไม่ไม่ได้ทำให้การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 364/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีหมิ่นประมาท ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาที่อ้างพยานหลักฐานไม่ครบถ้วนและประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์
ฎีกาของจำเลยที่ว่าในการวินิจฉัยคดีนั้นศาลล่างทั้งสองหยิบยกพยานหลักฐานของจำเลยขึ้นมาพิจารณาแต่เพียงบางส่วนจึงเห็นว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ร่วมถ้าพิจารณาให้ครบถ้วนแล้วจะเห็นได้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิดการวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา227นั้นเป็นฎีกาโต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานของศาลโดยการโต้เถียงข้อเท็จจริงจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อเท็จจริงที่จำเลยยกขึ้นมากล่าวอ้างนั้นเป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องและที่จำเลยให้การรับซึ่งฟังเป็นยุติแล้วศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ไม่ได้. เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อความที่จำเลยลงโฆษณานั้นเป็นข้อความที่หมิ่นประมาทโจทก์ร่วมแล้วจึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิที่จะนำข้อความหมิ่นประมาทนั้นไปลงประกาศในหนังสือพิมพ์หรือไม่เพราะจำเลยไม่มีสิทธิที่จะกระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมายได้ที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าจำเลยมีสิทธิลงประกาศในหนังสือพิมพ์หรือไม่ไม่ได้ทำให้การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย.