พบผลลัพธ์ทั้งหมด 200 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2060/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้พยานหลักฐานจากคดีอาญาในคดีแพ่ง และการยกอายุความต้องยกขึ้นต่อสู้ตั้งแต่ชั้นต้น
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันให้ถือเอาพยานหลักฐานต่าง ๆ ในคดีอาญาอีกเรื่องหนึ่งมาเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ โดยโจทก์ไม่ขอสืบพยานอื่นอีกจนศาลได้พิพากษาไปแล้วนั้น จำเลยที่ 2 ซึ่งขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาจะโต้แย้งว่าข้อตกลงและคำพิพากษา ไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 ไม่ได้ เพราะโจทก์มีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานใด ๆ มาสืบได้ ไม่จำต้องสืบพยานบุคคลเสมอไป และการนี้โจทก์ขอถือเอาพยานหลักฐานต่าง ๆ ในคดีอาญาเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ก็ถือได้ว่าโจทก์ได้สืบพยานแล้วใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบการพิจารณาชี้ขาดคดีได้
จำเลยให้การว่า จำเลยออกเช็คให้กับผู้มีชื่อเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว โจทก์กระทำการโดยไม่สุจริต ลงวันที่ในเช็คเองโดยจำเลยมิได้ยินยอม ถือว่าโจทก์มีเช็คไว้ครอบครองโดยมิชอบ จึงเป็นผู้ทรงโดยมิชอบคำให้การเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการยกอายุความขึ้นต่อสู้ เมื่อจำเลยมิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้น จะยกขึ้นต่อสู้ในชั้นฎีกาไม่ได้
จำเลยให้การว่า จำเลยออกเช็คให้กับผู้มีชื่อเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว โจทก์กระทำการโดยไม่สุจริต ลงวันที่ในเช็คเองโดยจำเลยมิได้ยินยอม ถือว่าโจทก์มีเช็คไว้ครอบครองโดยมิชอบ จึงเป็นผู้ทรงโดยมิชอบคำให้การเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการยกอายุความขึ้นต่อสู้ เมื่อจำเลยมิได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้น จะยกขึ้นต่อสู้ในชั้นฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีของเจ้าอาวาส: การพิสูจน์สถานะและการมีกฎมหาเถรสมาคมที่ชัดเจน
กฎมหาเถรสมาคมตราขึ้นโดยมหาเถรสมาคมอันประกอบด้วยสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานโดยตำแหน่ง โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 เพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ตลอดจนวางหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส แต่กฎมหาเถรสมาคมไม่ใช่กฎหมาย
เรื่องการแต่งตั้งเจ้าอาวาสหรือการพ้นจากหน้าที่เจ้าอาวาสไม่มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ จึงอาจวางเป็นระเบียบขึ้นไว้โดยกฎมหาเถรสมาคม เมื่อคดีมีประเด็นโต้เถียงกันย่อมเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่คู่ความจะต้องนำสืบว่ากฎมหาเถรสมาคมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมีอยู่อย่างไร
เรื่องการแต่งตั้งเจ้าอาวาสหรือการพ้นจากหน้าที่เจ้าอาวาสไม่มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ จึงอาจวางเป็นระเบียบขึ้นไว้โดยกฎมหาเถรสมาคม เมื่อคดีมีประเด็นโต้เถียงกันย่อมเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่คู่ความจะต้องนำสืบว่ากฎมหาเถรสมาคมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมีอยู่อย่างไร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งเจ้าอาวาส/ผู้รักษาการแทน: กฎมหาเถรสมาคมไม่ใช่กฎหมาย ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
กฎมหาเถรสมาคมตราขึ้นโดยมหาเถรสมาคมอันประกอบด้วยสมเด็จพระสังฆราชเป็นประธานโดยตำแหน่ง โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 เพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ ตลอดจนวางหลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส แต่กฎมหาเถรสมาคมไม่ใช่กฎหมาย
เรื่องการแต่งตั้งเจ้าอาวาสหรือการพ้นจากหน้าที่เจ้าอาวาสไม่มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ จึงอาจวางเป็นระเบียบขึ้นไว้โดยกฎมหาเถรสมาคม เมื่อคดีมีประเด็นโต้เถียงกัน ย่อมเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่คู่ความจะต้องนำสืบว่ากฎมหาเถรสมาคมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมีอยู่อย่างไร
เรื่องการแต่งตั้งเจ้าอาวาสหรือการพ้นจากหน้าที่เจ้าอาวาสไม่มีบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ จึงอาจวางเป็นระเบียบขึ้นไว้โดยกฎมหาเถรสมาคม เมื่อคดีมีประเด็นโต้เถียงกัน ย่อมเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่คู่ความจะต้องนำสืบว่ากฎมหาเถรสมาคมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมีอยู่อย่างไร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1969/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่มาจากการช่วยเหลือด้านกฎหมาย: การนำสืบสัญญาเดิมเพื่อพิสูจน์เจตนาและส่วนได้เสีย
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ออกเงินค่าใช้จ่ายในการเป็นความให้จำเลยโดยมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะขายที่ดินที่เป็นความให้โจทก์ในราคาที่โจทก์ต้องออกค่าใช้จ่ายไป ในที่สุดจำเลยได้ที่พิพาทกลับคืนมาโจทก์จำเลยจึงทำหนังสือสัญญาซื้อขายฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน2509 โดยจำเลยขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยบิดพลิ้วโจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงและสัญญาดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์เป็นเรื่องแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน โดยที่โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในมูลคดีนั้นเลยข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยจึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะ โจทก์อุทธรณ์ว่าความจริงก่อนที่จำเลยจะเป็นความกับผู้มีชื่อ โจทก์ได้วางเงินมัดจำซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากจำเลยตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2509โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเมื่อจำเลยได้ที่พิพาทกลับคืนมาโจทก์จำเลยจึงได้นำสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม มาเขียนใหม่เป็นสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน และโจทก์ประสงค์จะนำสืบถึงสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม เช่นนี้ จึงเห็นได้ว่าเป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่า ก่อนที่จะมีการทำสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายนโจทก์จำเลยได้เคยทำสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม กันไว้ ซึ่งสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคมนี้ก็ถือได้ว่าเป็นพยานหลักฐานที่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบตามความในมาตรา 87(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์จึงนำสืบสัญญาฉบับนี้ได้(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19/2515)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1969/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบสัญญาเดิมเพื่อยืนยันสัญญาใหม่: การแสวงหาประโยชน์จากการเป็นความและผลกระทบต่อโมฆะของสัญญา
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ออกเงินค่าใช้จ่ายในการเป็นความให้จำเลยโดยมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะขายที่ดินที่เป็นความให้โจทก์ในราคาที่โจทก์ต้องออกค่าใช้จ่ายไป ในที่สุดจำเลยได้ที่พิพาทกลับคืนมาโจทก์จำเลยจึงทำหนังสือสัญญาซื้อขายฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2509 โดยจำเลยขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยบิดพลิ้วโจทก์จึงขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงและสัญญาดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์เป็นเรื่องแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกัน โดยที่โจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในมูลคดีนั้นเลย ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยจึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะ โจทก์อุทธรณ์ว่าความจริงก่อนที่จำเลยจะเป็นความกับผู้มีชื่อ โจทก์ได้วางเงินมัดจำซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากจำเลยตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม 2509 โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเมื่อจำเลยได้ที่พิพาทกลับคืนมา โจทก์จำเลยจึงได้นำสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม มาเขียนใหม่เป็นสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายน และโจทก์ประสงค์จะนำสืบถึงสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม เช่นนี้ จึงเห็นได้ว่าเป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่า ก่อนที่จะมีการทำสัญญาฉบับลงวันที่ 3 พฤศจิกายนโจทก์จำเลยได้เคยทำสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคม กันไว้ ซึ่งสัญญาฉบับลงวันที่ 5 พฤษภาคมนี้ก็ถือได้ว่าเป็นพยานหลักฐานที่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบตามความในมาตรา 87(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์จึงนำสืบสัญญาฉบับนี้ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19/2515)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1119/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังสำเนาสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันได้หากต้นฉบับสูญหายและมีพยานยืนยันความถูกต้อง
ในคดีผิดสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกัน ศาลสั่งให้โจทก์ส่งต้นฉบับสัญญาต่อศาลเพื่อให้จำเลยตรวจดูก่อนจำเลยให้การ โจทก์ยื่นคำแถลงว่ายังหาต้นฉบับไม่พบ เพราะหลงไปปะปนอยู่กับเรื่องอื่น คงพบแต่สำเนา จะได้ขอนำเข้าสืบแทนต้นฉบับ จำเลยมิได้โต้แย้งอย่างใด ต่อมาศาลรับฟังสำเนาสัญญานั้นเมื่อโจทก์นำเข้าสืบก็เท่ากับศาลอนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 (2)
สำเนาของเอกสารที่อ้างไว้ในคดีเรื่องหนึ่งแล้ว คู่ความอ้างมาเป็นพยานในคดีอีกเรื่องหนึ่งโดยชอบ ศาลย่อมรับฟังได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถไปจากโจทก์โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน แล้วนำสืบว่าจำเลยทำสัญญากับ อ. ตัวแทนของโจทก์ ดังนี้ ไม่เป็นการสืบแตกต่างกับฟ้องหรือนอกฟ้อง
สำเนาของเอกสารที่อ้างไว้ในคดีเรื่องหนึ่งแล้ว คู่ความอ้างมาเป็นพยานในคดีอีกเรื่องหนึ่งโดยชอบ ศาลย่อมรับฟังได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถไปจากโจทก์โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน แล้วนำสืบว่าจำเลยทำสัญญากับ อ. ตัวแทนของโจทก์ ดังนี้ ไม่เป็นการสืบแตกต่างกับฟ้องหรือนอกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1119/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังสำเนาสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันเป็นหลักฐานได้เมื่อต้นฉบับสูญหาย และการที่ตัวแทนลงนามในสัญญา
ในคดีผิดสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกัน ศาลสั่งให้โจทก์ส่งต้นฉบับสัญญาต่อศาลเพื่อให้จำเลยตรวจดูก่อนจำเลยให้การ โจทก์ยื่นคำแถลงว่ายังหาต้นฉบับไม่พบเพราะหลงไปปะปนอยู่กับเรื่องอื่น คงพบแต่สำเนา จะได้ขอนำเข้าสืบแทนต้นฉบับ จำเลยมิได้โต้แย้งอย่างใด ต่อมาศาลรับฟังสำเนาสัญญานั้นเมื่อโจทก์นำเข้าสืบก็เท่ากับศาลอนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2)
สำเนาของเอกสารที่อ้างไว้ในคดีเรื่องหนึ่งแล้ว คู่ความอ้างมาเป็นพยานในคดีอีกเรื่องหนึ่งโดยชอบ ศาลย่อมรับฟังได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถไปจากโจทก์โดยจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันแล้วนำสืบว่าจำเลยทำสัญญากับ อ. ตัวแทนของโจทก์ดังนี้ ไม่เป็นการสืบแตกต่างกับฟ้องหรือนอกฟ้อง
สำเนาของเอกสารที่อ้างไว้ในคดีเรื่องหนึ่งแล้ว คู่ความอ้างมาเป็นพยานในคดีอีกเรื่องหนึ่งโดยชอบ ศาลย่อมรับฟังได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถไปจากโจทก์โดยจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันแล้วนำสืบว่าจำเลยทำสัญญากับ อ. ตัวแทนของโจทก์ดังนี้ ไม่เป็นการสืบแตกต่างกับฟ้องหรือนอกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1813/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการเรียกเอกสารพยานหลักฐาน และหน้าที่ของผู้ครอบครองเอกสารในการส่งตามคำสั่งศาล
สำนวนการสอบสวนคดีอาญาซึ่งอยู่ในความครอบครองของพนักงานอัยการ. เมื่อศาลมีคำสั่งเรียกมาเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีแพ่ง. พนักงานอัยการจะไม่ยอมส่ง.โดยอ้างว่าผู้ต้องหาหลบหนียังอยู่ในระหว่างหมายจับ ถ้าจับได้มา.จะไม่มีสำนวนดำเนินคดีนั้น.ไม่เป็นเหตุตามกฎหมายที่จะปฏิเสธคำสั่งของศาลได้.ทั้งทางแก้ก็มีอยู่แล้วโดยการคัดสำเนาส่งศาลแทน.
พนักงานอัยการเคยนำส่งสำนวนการสอบสวนมาศาลครั้งหนึ่งแล้วในวันพิจารณาและขอรับคืนไปเมื่อเสร็จการพิจารณาเฉพาะวัน. ครั้นภายหลังศาลมีคำสั่งเรียกให้ส่งมาเพื่อใช้พิจารณาประกอบการพิพากษา. พนักงานอัยการจะปฏิเสธไม่ยอมส่งโดยอ้างว่าเป็นความลับในราชการ. ย่อมฟังไม่ขึ้น.
การอนุญาตให้คู่ความอ้างเอกสารใดเป็นพยาน และจะมีคำสั่งเรียกมาหรือไม่เป็นอำนาจของศาลที่จะสั่งได้ตามกฎหมาย.ผู้ครอบครองเอกสารจะโต้แย้งว่า.ศาลไม่ควรอนุญาตหรือ.ไม่ควรเรียกมาหาได้ไม่.
คำสั่งของศาลที่เรียกเอกสารจากผู้ครอบครอง.กฎหมายมิได้กำหนดแบบไว้. ศาลจะมีคำสั่งในรูปหนังสือราชการก็อาจทำได้.
การหมายเรียกบุคคลที่ปฏิเสธไม่ยอมส่งเอกสารมาศาลเพื่อให้ชี้แจงเหตุผลนั้น.เมื่อศาลมีคำสั่งยืนยันให้ส่งเอกสารก็แสดงอยู่ในตัวว่าการปฏิเสธนั้นไม่มีเหตุผลฟังได้.
พนักงานอัยการเคยนำส่งสำนวนการสอบสวนมาศาลครั้งหนึ่งแล้วในวันพิจารณาและขอรับคืนไปเมื่อเสร็จการพิจารณาเฉพาะวัน. ครั้นภายหลังศาลมีคำสั่งเรียกให้ส่งมาเพื่อใช้พิจารณาประกอบการพิพากษา. พนักงานอัยการจะปฏิเสธไม่ยอมส่งโดยอ้างว่าเป็นความลับในราชการ. ย่อมฟังไม่ขึ้น.
การอนุญาตให้คู่ความอ้างเอกสารใดเป็นพยาน และจะมีคำสั่งเรียกมาหรือไม่เป็นอำนาจของศาลที่จะสั่งได้ตามกฎหมาย.ผู้ครอบครองเอกสารจะโต้แย้งว่า.ศาลไม่ควรอนุญาตหรือ.ไม่ควรเรียกมาหาได้ไม่.
คำสั่งของศาลที่เรียกเอกสารจากผู้ครอบครอง.กฎหมายมิได้กำหนดแบบไว้. ศาลจะมีคำสั่งในรูปหนังสือราชการก็อาจทำได้.
การหมายเรียกบุคคลที่ปฏิเสธไม่ยอมส่งเอกสารมาศาลเพื่อให้ชี้แจงเหตุผลนั้น.เมื่อศาลมีคำสั่งยืนยันให้ส่งเอกสารก็แสดงอยู่ในตัวว่าการปฏิเสธนั้นไม่มีเหตุผลฟังได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1813/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการเรียกเอกสารพยาน และหน้าที่ของผู้ครอบครองเอกสารตามกฎหมาย
สำนวนการสอบสวนคดีอาญาซึ่งอยู่ในความครอบครองของพนักงานอัยการ เมื่อศาลมีคำสั่งเรียกมาเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีแพ่ง พนักงานอัยการจะไม่ยอมส่งโดยอ้างว่าผู้ต้องหาหลบหนียังอยู่ในระหว่างหมายจับ ถ้าจับได้มาจะไม่มีสำนวนดำเนินคดีนั้นไม่เป็นเหตุตามกฎหมายที่จะปฏิเสธคำสั่งของศาลได้ทั้งทางแก้ก็มีอยู่แล้วโดยการคัดสำเนาส่งศาลแทน
พนักงานอัยการเคยนำส่งสำนวนการสอบสวนมาศาลครั้งหนึ่งแล้วในวันพิจารณาและขอรับคืนไปเมื่อเสร็จการพิจารณาเฉพาะวัน ครั้นภายหลังศาลมีคำสั่งเรียกให้ส่งมาเพื่อใช้พิจารณาประกอบการพิพากษา พนักงานอัยการจะปฏิเสธไม่ยอมส่งโดยอ้างว่าเป็นความลับในราชการ ย่อมฟังไม่ขึ้น
การอนุญาตให้คู่ความอ้างเอกสารใดเป็นพยาน และจะมีคำสั่งเรียกมาหรือไม่เป็นอำนาจของศาลที่จะสั่งได้ตามกฎหมายผู้ครอบครองเอกสารจะโต้แย้งว่าศาลไม่ควรอนุญาตหรือไม่ควรเรียกมาหาได้ไม่
คำสั่งของศาลที่เรียกเอกสารจากผู้ครอบครองกฎหมายมิได้กำหนดแบบไว้ ศาลจะมีคำสั่งในรูปหนังสือราชการก็อาจทำได้
การหมายเรียกบุคคลที่ปฏิเสธไม่ยอมส่งเอกสารมาศาลเพื่อให้ชี้แจงเหตุผลนั้นเมื่อศาลมีคำสั่งยืนยันให้ส่งเอกสารก็แสดงอยู่ในตัวว่าการปฏิเสธนั้นไม่มีเหตุผลฟังได้
พนักงานอัยการเคยนำส่งสำนวนการสอบสวนมาศาลครั้งหนึ่งแล้วในวันพิจารณาและขอรับคืนไปเมื่อเสร็จการพิจารณาเฉพาะวัน ครั้นภายหลังศาลมีคำสั่งเรียกให้ส่งมาเพื่อใช้พิจารณาประกอบการพิพากษา พนักงานอัยการจะปฏิเสธไม่ยอมส่งโดยอ้างว่าเป็นความลับในราชการ ย่อมฟังไม่ขึ้น
การอนุญาตให้คู่ความอ้างเอกสารใดเป็นพยาน และจะมีคำสั่งเรียกมาหรือไม่เป็นอำนาจของศาลที่จะสั่งได้ตามกฎหมายผู้ครอบครองเอกสารจะโต้แย้งว่าศาลไม่ควรอนุญาตหรือไม่ควรเรียกมาหาได้ไม่
คำสั่งของศาลที่เรียกเอกสารจากผู้ครอบครองกฎหมายมิได้กำหนดแบบไว้ ศาลจะมีคำสั่งในรูปหนังสือราชการก็อาจทำได้
การหมายเรียกบุคคลที่ปฏิเสธไม่ยอมส่งเอกสารมาศาลเพื่อให้ชี้แจงเหตุผลนั้นเมื่อศาลมีคำสั่งยืนยันให้ส่งเอกสารก็แสดงอยู่ในตัวว่าการปฏิเสธนั้นไม่มีเหตุผลฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1813/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการเรียกเอกสารพยานหลักฐาน และหน้าที่ของผู้ครอบครองเอกสารในการส่งมอบตามคำสั่งศาล แม้มีข้ออ้างเรื่องความลับ
สำนวนการสอบสวนคดีอาญาซึ่งอยู่ในความครอบครองของพนักงานอัยการ เมื่อศาลมีคำสั่งเรียกมาเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีแพ่ง พนักงานอัยการจะไม่ยอมส่ง โดยอ้างว่าผู้ต้องหาหลบหนียังอยู่ในระหว่างหมายจับ ถ้าจับได้มา จะไม่มีสำนวนดำเนินคดีนั้น ไม่เป็นเหตุตามกฎหมายที่จะปฏิเสธคำสั่งของศาลได้ทั้งทางแก้ก็มีอยู่แล้วโดยการคัดสำเนาส่งศาลแทน
พนักงานอัยการเคยนำส่งสำนวนการสอบสวนมาศาลครั้งหนึ่งแล้วในวันพิจารณาและขอรับคืนไปเมื่อเสร็จการพิจารณาเฉพาะวัน ครั้นภายหลังศาลมีคำสั่งเรียกให้ส่งมาเพื่อใช้พิจารณาประกอบการพิพากษา พนักงานอัยการจะปฏิเสธไม่ยอมส่งโดยอ้างว่าเป็นความลับในราชการ ย่อมฟังไม่ขึ้น
การอนุญาตให้คู่ความอ้างเอกสารใดเป็นพยาน และจะมีคำสั่งเรียกมาหรือไม่เป็นอำนาจของศาลที่จะสั่งได้ตามกฎหมายผู้ครอบครองเอกสารจะโต้แย้งว่า ศาลไม่ควรอนุญาตหรือ ไม่ควรเรียกมาหาได้ไม่
คำสั่งของศาลที่เรียกเอกสารจากผู้ครอบครอง กฎหมายมิได้กำหนดแบบไว้ ศาลจะมีคำสั่งในรูปหนังสือราชการก็อาจทำได้
การหมายเรียกบุคคลที่ปฏิเสธไม่ยอมส่งเอกสารมาศาลเพื่อให้ชี้แจงเหตุผลนั้น เมื่อศาลมีคำสั่งยืนยันให้ส่งเอกสารก็แสดงอยู่ในตัวว่าการปฏิเสธนั้นไม่มีเหตุผลฟังได้
พนักงานอัยการเคยนำส่งสำนวนการสอบสวนมาศาลครั้งหนึ่งแล้วในวันพิจารณาและขอรับคืนไปเมื่อเสร็จการพิจารณาเฉพาะวัน ครั้นภายหลังศาลมีคำสั่งเรียกให้ส่งมาเพื่อใช้พิจารณาประกอบการพิพากษา พนักงานอัยการจะปฏิเสธไม่ยอมส่งโดยอ้างว่าเป็นความลับในราชการ ย่อมฟังไม่ขึ้น
การอนุญาตให้คู่ความอ้างเอกสารใดเป็นพยาน และจะมีคำสั่งเรียกมาหรือไม่เป็นอำนาจของศาลที่จะสั่งได้ตามกฎหมายผู้ครอบครองเอกสารจะโต้แย้งว่า ศาลไม่ควรอนุญาตหรือ ไม่ควรเรียกมาหาได้ไม่
คำสั่งของศาลที่เรียกเอกสารจากผู้ครอบครอง กฎหมายมิได้กำหนดแบบไว้ ศาลจะมีคำสั่งในรูปหนังสือราชการก็อาจทำได้
การหมายเรียกบุคคลที่ปฏิเสธไม่ยอมส่งเอกสารมาศาลเพื่อให้ชี้แจงเหตุผลนั้น เมื่อศาลมีคำสั่งยืนยันให้ส่งเอกสารก็แสดงอยู่ในตัวว่าการปฏิเสธนั้นไม่มีเหตุผลฟังได้