พบผลลัพธ์ทั้งหมด 200 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้ การนำสืบพยาน และหน้าที่แถลงประเด็นของคู่ความ
(1) ในกรณีที่คู่ความทำสัญญาซื้อขายของและฝ่ายหนึ่งต่อสู้ว่าได้แปลงหนี้ แต่นำสืบได้เพียงว่า อีกฝ่ายหนึ่งได้พูดว่าให้หาเงินมาให้เร็ว ถ้าช้าจะคิดดอกเบี้ยบ้าง นั้นตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสองยังไม่ได้เป็นหลักฐานมั่นคงถึงกับจะฟังว่าได้มีการแปลงหนี้กันใหม่
(2) จำเลยเท่านั้นมีหน้าที่รับหรือปฏิเสธตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามฉะนั้น ในการที่จำเลยต่อสู้คดีมีข้ออ้างบางประการขึ้นนั้น โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องแถลงรับหรือปฏิเสธ
(3) โดยเหตุผลในข้อ (2) ข้างบนนี้และเมื่อจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้ออ้างของจำเลยโจทก์ก็ย่อมนำสืบหักล้างได้ เพราะถ้าพยานหลักฐานใดเกี่ยวถึงข้อเท็จจริง ที่ฝ่ายใดจะต้องนำสืบ พยานหลักฐานนั้นก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 87(1) คือ มิใช่ว่าจะมีสิทธินำสืบแต่เฉพาะข้อที่ตนอ้างและมีหน้าที่ตามมาตรา 84,85 เท่านั้น ข้อความที่ฝ่ายหนึ่งอ้างขึ้นฝ่ายเดียวอีกฝ่ายหนึ่งแม้จะไม่ได้อ้างข้อความนั้นก็สืบหักล้างได้จะเป็นการสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนหรือหักล้างข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็คงเป็นพยานในประเด็นเดียวกัน ซึ่งต่างนำสืบโต้เถียงกันนั่นเอง
(4) การนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยชำระหนี้รายอื่นเช่นนี้จะถือว่าโจทก์รับตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว และโจทก์อ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่หาได้ไม่ เพราะโจทก์ไม่ได้รับว่าได้แปลงหนี้ใหม่ตามที่จำเลยอ้าง
(5) เมื่อศาลสอบถามโจทก์ตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว โจทก์มิได้แถลงให้เป็นประเด็นไว้ตามมาตรา 183 โจทก์ย่อมไม่มีประเด็นนำสืบ ตามฎีกาที่ 972/2492 แต่ถ้าศาลไม่ได้สอบถาม โจทก์มีสิทธินำสืบหักล้างได้ และเมื่อโจทก์ได้ถามค้านไว้ตามมาตรา 89 แล้ว ศาลย่อมรับฟังข้อนำสืบของโจทก์ได้ว่าเงินที่จำเลยชำระนั้นเป็นการชำระหนี้รายอื่น
(ข้อ (2),(3),(4),(5), ประชุมใหญ่ ครั้งที่44/2505)
(2) จำเลยเท่านั้นมีหน้าที่รับหรือปฏิเสธตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสามฉะนั้น ในการที่จำเลยต่อสู้คดีมีข้ออ้างบางประการขึ้นนั้น โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องแถลงรับหรือปฏิเสธ
(3) โดยเหตุผลในข้อ (2) ข้างบนนี้และเมื่อจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้ออ้างของจำเลยโจทก์ก็ย่อมนำสืบหักล้างได้ เพราะถ้าพยานหลักฐานใดเกี่ยวถึงข้อเท็จจริง ที่ฝ่ายใดจะต้องนำสืบ พยานหลักฐานนั้นก็ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 87(1) คือ มิใช่ว่าจะมีสิทธินำสืบแต่เฉพาะข้อที่ตนอ้างและมีหน้าที่ตามมาตรา 84,85 เท่านั้น ข้อความที่ฝ่ายหนึ่งอ้างขึ้นฝ่ายเดียวอีกฝ่ายหนึ่งแม้จะไม่ได้อ้างข้อความนั้นก็สืบหักล้างได้จะเป็นการสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนหรือหักล้างข้ออ้างของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็คงเป็นพยานในประเด็นเดียวกัน ซึ่งต่างนำสืบโต้เถียงกันนั่นเอง
(4) การนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยชำระหนี้รายอื่นเช่นนี้จะถือว่าโจทก์รับตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว และโจทก์อ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่หาได้ไม่ เพราะโจทก์ไม่ได้รับว่าได้แปลงหนี้ใหม่ตามที่จำเลยอ้าง
(5) เมื่อศาลสอบถามโจทก์ตามข้ออ้างของจำเลยแล้ว โจทก์มิได้แถลงให้เป็นประเด็นไว้ตามมาตรา 183 โจทก์ย่อมไม่มีประเด็นนำสืบ ตามฎีกาที่ 972/2492 แต่ถ้าศาลไม่ได้สอบถาม โจทก์มีสิทธินำสืบหักล้างได้ และเมื่อโจทก์ได้ถามค้านไว้ตามมาตรา 89 แล้ว ศาลย่อมรับฟังข้อนำสืบของโจทก์ได้ว่าเงินที่จำเลยชำระนั้นเป็นการชำระหนี้รายอื่น
(ข้อ (2),(3),(4),(5), ประชุมใหญ่ ครั้งที่44/2505)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 506/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขาดนัดพิจารณา & เอกสารขีดฆ่าใช้เป็นหลักฐานได้หากปิดแสตมป์ครบ
ประมวลรัษฎากร มาตรา 118 บัญญัติเพียงว่า ตราสารใดที่ไม่ปิดแสตมป์ครบจำนวนและได้ขีดฆ่าแล้วจะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ ไม่ได้บังคับถึงเวลาทีปิดหรือบุคคลผู้ปิดและขีดฆ่า
ศาลกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบ พยานโจทก์จำเลยไม่มาศาล ถือว่า จำเลยขาดนัดพิจารณาความประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรค 2 และมาตรา 202
ศาลกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบ พยานโจทก์จำเลยไม่มาศาล ถือว่า จำเลยขาดนัดพิจารณาความประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรค 2 และมาตรา 202
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1372/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าอ้างประพฤติชั่วร้าย: ศาลต้องรับฟังพยานหลักฐานก่อนพิจารณา
สามีฟ้องหย่ากับภริยาโดยกล่าวในฟ้องว่าภริยาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โดยภริยาสมคบกับพี่สาวลักเช็คของสามี เงิน 3,000 บาท ไป และภริยายักยอกหรือฉ้อโกงเงินราชการกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 42,500 บาท 75 สตางค์ จำเลยให้การปฏิเสธ เช่นนี้ เป็นการสมควรที่ศาลจะได้ฟังพยานหลักฐานของคู่ความเสียก่อนเพราะถ้าได้ความจริงตามฟ้อง ก็อาจถือได้ว่าเป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(2) ได้
ฟ้องหย่าอ้างเหตุว่าภรรยาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฟ้องในข้อต่อมากล่าวว่าจำเลยด่าท้าทายญาติพี่น้องตลอดถึงบุพการีของโจทก์เมื่ออ่านรวมกับฟ้องทั้งหมดแล้วเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์อ้างเหตุนี้เป็นเพียงเหตุประกอบคำฟ้องของโจทก์ในตอนต้นๆ เพื่อให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยตามฟ้องตอนต้นนั้น เป็นการประพฤติชั่วถึงขีดร้ายแรงเท่านั้น แม้โจทก์ไม่ได้กล่าวว่าด่าท้าทายว่าอย่างไร โจทก์ก็นำสืบได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 26/2503)
ฟ้องหย่าอ้างเหตุว่าภรรยาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฟ้องในข้อต่อมากล่าวว่าจำเลยด่าท้าทายญาติพี่น้องตลอดถึงบุพการีของโจทก์เมื่ออ่านรวมกับฟ้องทั้งหมดแล้วเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์อ้างเหตุนี้เป็นเพียงเหตุประกอบคำฟ้องของโจทก์ในตอนต้นๆ เพื่อให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยตามฟ้องตอนต้นนั้น เป็นการประพฤติชั่วถึงขีดร้ายแรงเท่านั้น แม้โจทก์ไม่ได้กล่าวว่าด่าท้าทายว่าอย่างไร โจทก์ก็นำสืบได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 26/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1372/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าอ้างประพฤติชั่วร้าย การพิจารณาหลักฐาน และการใช้เหตุประกอบฟ้อง
สามีฟ้องหย่ากับภริยากล่าวในฟ้องว่า ภริยาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง โดยภริยาสมคบกับพี่สาวลักเช็คของสามี เงิน 3,000 บาท ไปและภริยายักยอกหรือฉ้อโกงเงินราชการกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม 42,500 บาท 75 สตางค์ จำเลยให้การปฏิเสธ เช่นนี้ เป็นการสมควรที่ศาลจะได้ฟังพยานหลักฐานของคู่ความเสียก่อน เพราะถ้าได้ความจริงตามฟ้อง ก็อาจถือได้ว่าเป็นความประพฤติชั่วอย่างร้อยแรง ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500 (2) ได้
ฟ้องหย่าอ้างเหตุว่าภรรยาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฟ้องในข้อต่อมากล่าวว่าจำเลย ด่าท้าทายญาติพี่น้องตลอดถึงบุพพารีของโจทก์เมื่ออ่านรวมกับฟ้องทั้งหมดแล้วเป็นที่เห็นได้ว่า โจทก์อ้างเหตุนี้เป็นเพียงเหตุประกอบคำฟ้องของโจทก์ในตอนต้น ๆ เพื่อให้เห็นว่า การกระทำของจำเลยตามฟ้องตอนต้นนั้น เป็นการประพฤติชั่วถึงขีดร้ายแรงเท่านั้น แม้โจทก์ไม่ได้กล่าวว่าค่าท้าทายว่า อย่างไร โจทก์ก็นำสืบได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 26/2503)
ฟ้องหย่าอ้างเหตุว่าภรรยาประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ฟ้องในข้อต่อมากล่าวว่าจำเลย ด่าท้าทายญาติพี่น้องตลอดถึงบุพพารีของโจทก์เมื่ออ่านรวมกับฟ้องทั้งหมดแล้วเป็นที่เห็นได้ว่า โจทก์อ้างเหตุนี้เป็นเพียงเหตุประกอบคำฟ้องของโจทก์ในตอนต้น ๆ เพื่อให้เห็นว่า การกระทำของจำเลยตามฟ้องตอนต้นนั้น เป็นการประพฤติชั่วถึงขีดร้ายแรงเท่านั้น แม้โจทก์ไม่ได้กล่าวว่าค่าท้าทายว่า อย่างไร โจทก์ก็นำสืบได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 26/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 861/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดอำนาจศาล: ศาลรับฟังพยานหลักฐานจากทุกฝ่ายได้ ผู้เสียหายเท่านั้นร้องขอโทษได้
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเมื่อศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวน ศาลก็ย่อมฟังข้อเท็จจริงได้จากหลักฐานและคำพยานที่ปรากฏมีอยู่ในสำนวนประกอบการวินิจฉัยได้ทั้งหมดไม่ว่าผู้ใดจะเป็นผู้อ้างหรือนำมาสืบ และผู้ถูกหาว่าละเมิดอำนาจศาลก็มีโอกาสซักค้านพยานนั้นได้อยู่แล้ว ศาลย่อมฟังลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลได้ ไม่ขัดต่อกฎหมาย
โจทก์ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทำร้ายพยานโจทก์ข้างฝานอกห้องพิจารณาบนศาล ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าพยานโจทก์ทำร้ายผู้ร้องฝ่ายเดียว ต่างฝ่ายต่างขอให้ลงโทษอีกฝ่ายในฐานละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วฟังว่า ผู้ร้องทำร้ายพยานโจทก์ ลงโทษผู้ร้องข้างเดียวฐานละเมิดอำนาจศาล จำคุก 4 เดือน เช่นนี้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาว่าพยานโจทก์ดังกล่าวมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลด้วยเพราะผู้ร้อง ไม่ใช่ผู้เสียหายในส่วนการละเมิดอำนาจศาลของพยานโจทก์ดังกล่าวนั้น
โจทก์ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทำร้ายพยานโจทก์ข้างฝานอกห้องพิจารณาบนศาล ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าพยานโจทก์ทำร้ายผู้ร้องฝ่ายเดียว ต่างฝ่ายต่างขอให้ลงโทษอีกฝ่ายในฐานละเมิดอำนาจศาล ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วฟังว่า ผู้ร้องทำร้ายพยานโจทก์ ลงโทษผู้ร้องข้างเดียวฐานละเมิดอำนาจศาล จำคุก 4 เดือน เช่นนี้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาว่าพยานโจทก์ดังกล่าวมีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลด้วยเพราะผู้ร้อง ไม่ใช่ผู้เสียหายในส่วนการละเมิดอำนาจศาลของพยานโจทก์ดังกล่าวนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 832/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับรองผัดชำระหนี้ ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์
หนังสือที่เป็นคำรับรองที่ผู้ค้ำประกันยินยอมในการที่ผู้กู้ขอผัดชำระหนี้นั้น ไม่จำเป็นต้องปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 832/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารยินยอมผัดชำระหนี้ของผู้ค้ำประกัน ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์
หนังสือที่เป็นคำรับรองที่ผู้ค้ำประกันยินยอมในการที่ผู้กู้ขอผัดชำระหนี้นั้น ไม่จำเป็นต้องปิดอากรแสตมป์ ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์พินัยกรรมปลอม สิทธิรับมรดกของบุตรนอกกฎหมายที่ได้รับการรับรอง
โจทก์อ้างว่า ผู้วายชนม์ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์ จำเลยต่อสู้ว่า พินัยกรรมนั้นปลอม เช่นนี้ เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่า พินัยกรรมที่อ้างนี้ไม่ปลอม
การเชื่อฟังพยานหลักฐานในข้อที่ว่าลายมือชื่อในพินัยกรรมเป็นลายมือ ชื่ออันแท้จริงของผู้ทำพินัยกรรมหรือไม่ นั้น ตามปกติควรเชื่อคำประจักษ์พยานยิ่งกว่าคำผู้เชี่ยวชาญ การพิสูจน์หลักฐาน เพราะประจักษ์พยานเป็นผู้ได้ยินกับหูเห็นด้วยตาของตนเอง ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงเหตุผลต่าง ๆ ประกอบให้พอเชื่อฟังได้ด้วย
การเชื่อฟังพยานหลักฐานในข้อที่ว่าลายมือชื่อในพินัยกรรมเป็นลายมือ ชื่ออันแท้จริงของผู้ทำพินัยกรรมหรือไม่ นั้น ตามปกติควรเชื่อคำประจักษ์พยานยิ่งกว่าคำผู้เชี่ยวชาญ การพิสูจน์หลักฐาน เพราะประจักษ์พยานเป็นผู้ได้ยินกับหูเห็นด้วยตาของตนเอง ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงเหตุผลต่าง ๆ ประกอบให้พอเชื่อฟังได้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์พินัยกรรมปลอมและสิทธิรับมรดกของบุตรนอกกฎหมายที่ได้รับการรับรอง
โจทก์อ้างว่า ผู้วายชนม์ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้แก่โจทก์จำเลยต่อสู้ว่าพินัยกรรมนั้นปลอมเช่นนี้เป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความว่า พินัยกรรมที่อ้างนี้ไม่ปลอม
การเชื่อฟังพยานหลักฐานในข้อที่ว่าลายมือชื่อในพินัยกรรมเป็นลายมือชื่ออันแท้จริงของผู้ทำพินัยกรรมหรือไม่นั้น ตามปกติควรเชื่อคำประจักษ์พยานยิ่งกว่าคำผู้เชี่ยวชาญการพิสูจน์หลักฐานเพราะประจักษ์พยานเป็นผู้ได้ยินกับหูเห็นด้วยตาของตนเองทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงเหตุผลต่างๆประกอบให้พอเชื่อฟังได้ด้วย
การเชื่อฟังพยานหลักฐานในข้อที่ว่าลายมือชื่อในพินัยกรรมเป็นลายมือชื่ออันแท้จริงของผู้ทำพินัยกรรมหรือไม่นั้น ตามปกติควรเชื่อคำประจักษ์พยานยิ่งกว่าคำผู้เชี่ยวชาญการพิสูจน์หลักฐานเพราะประจักษ์พยานเป็นผู้ได้ยินกับหูเห็นด้วยตาของตนเองทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงเหตุผลต่างๆประกอบให้พอเชื่อฟังได้ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานลักทรัพย์: เลือกใช้บทลงโทษเบากว่าเมื่อกฎหมายใหม่ไม่ถือเป็นเหตุฉกรรจ์
เหตุเกิดในขณะใช้กฎหมายลักษณะอาญา จำเลยทั้ง 4 คน สมคบกันลักของใช้สำหรับราชการ และลักในเวลาค่ำคืน แต่ประมวลกฎหมายอาญา ม.335 มิได้บัญญัติว่าการลักของใช้ในราชการเป็นเหตุฉกรรจ์ของการลักทรัพย์ จึงลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 294 (4) ไม่ได้ (เทียบฎีกาที่ 535/2500)
แต่ว่าโดยที่การกระทำของจำเลยยังเป็นเหตุฉกรรจ์ ของการลักทรัพย์อยู่อีก 2ประการคือ ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และร่วมกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ซึ่งประมวลกฎหมาย ม. 335 ยังบัญญัติไว้ให้เป็นเหตุฉกรรจ์อยู่ในอนุมาตรา (1) และ (7) ซึ่งตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา ม.293(1) และ (11) และโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 เบากว่าโทษในประมวลกฎหมายอาญา ม.335 เช่นนี้ ต้องวางบทลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 (1) และ (11)
ขณะนี้ผลแห่งการตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ ยังมิใช่เป็นพยานหลักฐานที่ศาลยุติธรรมจะรับฟังเป็นยุติ
แต่ว่าโดยที่การกระทำของจำเลยยังเป็นเหตุฉกรรจ์ ของการลักทรัพย์อยู่อีก 2ประการคือ ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และร่วมกระทำผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ซึ่งประมวลกฎหมาย ม. 335 ยังบัญญัติไว้ให้เป็นเหตุฉกรรจ์อยู่ในอนุมาตรา (1) และ (7) ซึ่งตรงกับกฎหมายลักษณะอาญา ม.293(1) และ (11) และโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 เบากว่าโทษในประมวลกฎหมายอาญา ม.335 เช่นนี้ ต้องวางบทลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา ม. 293 (1) และ (11)
ขณะนี้ผลแห่งการตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ ยังมิใช่เป็นพยานหลักฐานที่ศาลยุติธรรมจะรับฟังเป็นยุติ