พบผลลัพธ์ทั้งหมด 269 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1362/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีไม่มีทุนทรัพย์: การฟ้องขอคืนเช็คเพื่อลบล้างหนี้ ไม่ใช่การเรียกร้องค่าเช็ค
ตามฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องอ้างว่าหนี้ระงับแล้ว ขอให้บังคับจำเลย ส่งคืนเช็คสองฉบับให้โจทก์ตามสัญญา มิใช่เป็นการฟ้องเรียกร้องกระดาษเช็คในฐานะที่เป็นทรัพย์สินที่มีราคามาเป็นของโจทก์ เพราะ โจทก์หาได้ประสงค์จะถือเอาประโยชน์จากเช็คอันมีมูลค่าฉบับละ 25 สตางค์ นั้นไม่ และหาใช่หนี้ตามเช็คจะระงับต่อเมื่อโจทก์ได้รับเช็คพิพาทคืนมาไม่ แต่เป็นคำฟ้องที่อ้างว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้แล้ว ดังนี้ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ อยู่ในอำนาจศาลจังหวัดพิจารณาพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1362/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีไม่มีทุนทรัพย์: การฟ้องขอคืนเช็คเพื่อระงับหนี้ ไม่ใช่การฟ้องเพื่อเอาทรัพย์สิน
ตามฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องอ้างว่าหนี้ระงับแล้ว ขอให้บังคับจำเลยส่งคืนเช็คสองฉบับให้โจทก์ตามสัญญา มิใช่เป็นการฟ้องเรียกร้องกระดาษเช็คในฐานะที่เป็นทรัพย์สินที่มีราคามาเป็นของโจทก์ เพราะโจทก์หาได้ประสงค์จะถือเอาประโยชน์จากเช็คอันมีมูลค่าฉบับละ 25 สตางค์นั้นไม่ และหาใช่หนี้ตามเช็คระงับต่อเมื่อโจทก์ได้รับเช็คพิพาทคืนมาไม่แต่เป็นคำฟ้องที่อ้างว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้แล้ว ดังนี้ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ อยู่ในอำนาจศาลจังหวัดพิจารณาพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 921/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนเงินภาษีที่ชำระโดยมิชอบ และอำนาจฟ้องคดีภาษีอากรของผู้ประกอบการ
โจทก์สั่งวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักร การที่จำเลยเก็บภาษีจากโจทก์ตามที่โจกท์ชำระก็โดยอาศัยประมวลรัษฎากรเป็นหลัก จึงเป็นการได้มาโดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ขณะรับทรัพย์นั้น กรณีมิใช่ลาภมิควรได้อันจะขาดอายุความหนึ่งปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419
โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้ายื่นคำขอชำระค่าภาษีเอง มิใช่โดยการประเมินของเจ้าพนักงานตามมาตรา 87 หรือ 18 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ที่มาตรา 77 ทวิ บัญญัติว่า ภาษีการค้าเป็นภาษีอากรประเมินก็เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 14 หาใช่หมายความว่าภาษีการค้าทุกรายแม้ผู้ประกอบการค้าชำระภาษีเอง จักต้องถือว่าได้มีการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ จึงนำบทบัญญัติเรื่องอุทธรณ์ตามมาตรา 30 มาใช้บังคับไม่ได้
โจทก์เพียงแต่ฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยาน มิได้ขอให้ชนะคดี จึงควรเสียค่าขึ้นศาล 50 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ก. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขใหม่
โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้ายื่นคำขอชำระค่าภาษีเอง มิใช่โดยการประเมินของเจ้าพนักงานตามมาตรา 87 หรือ 18 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ที่มาตรา 77 ทวิ บัญญัติว่า ภาษีการค้าเป็นภาษีอากรประเมินก็เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 14 หาใช่หมายความว่าภาษีการค้าทุกรายแม้ผู้ประกอบการค้าชำระภาษีเอง จักต้องถือว่าได้มีการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ จึงนำบทบัญญัติเรื่องอุทธรณ์ตามมาตรา 30 มาใช้บังคับไม่ได้
โจทก์เพียงแต่ฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยาน มิได้ขอให้ชนะคดี จึงควรเสียค่าขึ้นศาล 50 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ก. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 921/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกคืนภาษีที่ชำระเกิน สิทธิเรียกร้องไม่เป็นลาภมิควรได้ และการประเมินภาษี
โจทก์สั่งวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรการที่จำเลยเก็บภาษีจากโจทก์ตามที่โจทก์ชำระก็โดยอาศัยประมวลรัษฎากรเป็นหลักจึงเป็นการได้มาโดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ขณะรับทรัพย์นั้นกรณีมิใช่ลาภมิควรได้อันจะขาดอายุความหนึ่งปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 419
โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้ายื่นคำขอชำระค่าภาษีเอง มิใช่โดยการประเมินของเจ้าพนักงานตามมาตรา 87 หรือ 18 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ที่มาตรา 77 ทวิ บัญญัติว่า ภาษีการค้าเป็นภาษีอากรประเมินก็เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 14 หาใช่หมายความว่าภาษีการค้าทุกรายแม้ผู้ประกอบการค้าชำระภาษีเอง จักต้องถือว่าได้มีการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ จึงนำบทบัญญัติเรื่องอุทธรณ์ตามมาตรา 30 มาใช้บังคับไม่ได้
โจทก์เพียงแต่ฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยาน มิได้ขอให้ชนะคดี จึงควรเสียค่าขึ้นศาล 50 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ก ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขใหม่
โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้ายื่นคำขอชำระค่าภาษีเอง มิใช่โดยการประเมินของเจ้าพนักงานตามมาตรา 87 หรือ 18 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ที่มาตรา 77 ทวิ บัญญัติว่า ภาษีการค้าเป็นภาษีอากรประเมินก็เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 14 หาใช่หมายความว่าภาษีการค้าทุกรายแม้ผู้ประกอบการค้าชำระภาษีเอง จักต้องถือว่าได้มีการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ จึงนำบทบัญญัติเรื่องอุทธรณ์ตามมาตรา 30 มาใช้บังคับไม่ได้
โจทก์เพียงแต่ฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยาน มิได้ขอให้ชนะคดี จึงควรเสียค่าขึ้นศาล 50 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ก ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1438/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์: ทรัพย์สินที่ไม่ใช่ของจำเลยแต่มีราคา ยึดได้และต้องเสียค่าธรรมเนียม
คำว่า "ทรัพย์สิน" ตามตาราง 5 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หมายถึงทรัพย์ซึ่งมีราคาและถือเอาได้โดยสภาพของตัวทรัพย์นั้นเอง โดยไม่จำกัดว่าบุคคลใดเป็นเจ้าของ
โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดหุ้นมาเพื่อขายทอดตลาดใช้หนี้ตามคำพิพากษาแล้วได้ขอถอนการยึดเสีย แม้ได้ความว่าหุ้นที่ยึดมานั้นไม่ใช่ของจำเลย โจทก์ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง 5ข้อ 3 ท้าย ป.วิ.พ.
โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดหุ้นมาเพื่อขายทอดตลาดใช้หนี้ตามคำพิพากษาแล้วได้ขอถอนการยึดเสีย แม้ได้ความว่าหุ้นที่ยึดมานั้นไม่ใช่ของจำเลย โจทก์ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง 5ข้อ 3 ท้าย ป.วิ.พ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 853/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์จากการฟ้องเพิกถอนนิติกรรมอำพรางและเรียกคืนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
โจทก์ยื่นคำฟ้องความว่า โจทก์ตกลงจำนองที่ดินไว้แก่จำเลย แต่โจทก์จำเลยทำสัญญาขายฝากและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินก่อนสัญญาถึงกำหนด โจทก์ขอไถ่ จำเลยบ่ายเบี่ยงเพื่อจำเลยจะได้อ้างกรรมสิทธิ์ต่อโจทก์ เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต สัญญาขายฝากนั้นเป็นนิติกรรมอำพรางเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันระหว่างคู่กรณีย่อมเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝาก และให้จำเลยส่งมอบโฉนดให้แก่โจทก์ ดังนี้ ตามคำฟ้องของโจทก์ เป็นการฟ้องเพื่อเรียกเอาคืนซึ่งกรรมสิทธิ์จากจำเลย โดยอ้างว่านิติกรรมที่ได้ทำไว้ต่อกันนั้นเสื่อมเสีย คำขอของโจทก์จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ซึ่งอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ อันจะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาที่ดิน เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมให้ครบภายใน 15วัน แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ศาลก็ต้องสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 853/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์จากการฟ้องเพิกถอนนิติกรรมอำพราง การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลทำให้ศาลสั่งไม่รับฟ้อง
โจทก์ยื่นคำฟ้องความว่า โจทก์ตกลงจำนองที่ดินไว้แก่จำเลยแต่โจทก์จำเลยทำสัญญาขายฝากและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินก่อนสัญญาถึงกำหนด โจทก์ขอไถ่ จำเลยบ่ายเบี่ยงเพื่อจำเลยจะได้อ้างกรรมสิทธิ์ต่อโจทก์เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต สัญญาขายฝากนั้นเป็นนิติกรรมอำพรางเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันระหว่างคู่กรณีย่อมเป็นโมฆะ ขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝาก และให้จำเลยส่งมอบโฉนดให้แก่โจทก์ ดังนี้ ตามคำฟ้องของโจทก์ เป็นการฟ้องเพื่อเรียกเอาคืนซึ่งกรรมสิทธิ์จากจำเลย โดยอ้างว่านิติกรรมที่ได้ทำไว้ต่อกันนั้นเสื่อมเสีย คำขอของโจทก์จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ซึ่งอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ อันจะต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาที่ดิน เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมให้ครบภายใน 15 วันแต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้น ศาลก็ต้องสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235-241/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีใหม่, ค่าอ้างเอกสาร, และการรับฟังพยานบุคคล: หลักเกณฑ์และขอบเขต
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรคสองนั้นเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา ต้องมีการโต้แย้งไว้ภายหลังมีคำสั่งนั้นแล้ว คู่ความที่โต้แย้งจึงจะยกขึ้นอุทธรณ์คัดค้านได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)
การที่โจทก์เสียค่าอ้างเอกสารไม่ครบ ไม่ปรากฏว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนไม่เสียเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้โจทก์เสียให้ครบและโจทก์เสียครบแล้ว ก็รับฟังเอกสารทั้งหมดเป็นพยานได้
ตัวโจทก์มิได้มาเบิกความเป็นพยาน แต่บุตรโจทก์มาเบิกความในฐานะเป็นพยานโจทก์โดยเป็นผู้รู้เห็นเรื่องราวที่เบิกความเอง ดังนี้ บุตรโจทก์หาใช่เบิกความเป็นพยานแทนตัวโจทก์ไม่ คำของบุตรโจทก์จึงรับฟังเป็นพยานได้ตามกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐาน
การที่โจทก์เสียค่าอ้างเอกสารไม่ครบ ไม่ปรากฏว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนไม่เสียเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้โจทก์เสียให้ครบและโจทก์เสียครบแล้ว ก็รับฟังเอกสารทั้งหมดเป็นพยานได้
ตัวโจทก์มิได้มาเบิกความเป็นพยาน แต่บุตรโจทก์มาเบิกความในฐานะเป็นพยานโจทก์โดยเป็นผู้รู้เห็นเรื่องราวที่เบิกความเอง ดังนี้ บุตรโจทก์หาใช่เบิกความเป็นพยานแทนตัวโจทก์ไม่ คำของบุตรโจทก์จึงรับฟังเป็นพยานได้ตามกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235-241/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลระหว่างพิจารณา, ค่าอ้างเอกสาร, พยานบุคคล: หลักเกณฑ์การอุทธรณ์และการรับฟังพยานหลักฐาน
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรคสองนั้นเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา ต้องมีการโต้แย้งไว้ภายหลังมีคำสั่งนั้นแล้ว คู่ความที่โต้แย้งจึงจะยกขึ้นอุทธรณ์คัดค้านได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)
การที่โจทก์เสียค่าอ้างเอกสารไม่ครบ ไม่ปรากฏว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนไม่เสียเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้โจทก์เสียให้ครบและโจทก์เสียครบแล้ว ก็รับฟังเอกสารทั้งหมดเป็นพยานได้
ตัวโจทก์มิได้มาเบิกความเป็นพยาน แต่บุตรโจทก์มาเบิกความในฐานะเป็นพยานโจทก์โดยเป็นผู้รู้เห็นเรื่องราวที่เบิกความเอง ดังนี้ บุตรโจทก์หาใช่เบิกความเป็นพยานแทนตัวโจทก์ไม่ คำของบุตรโจทก์จึงรับฟังเป็นพยานได้ตามกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐาน
การที่โจทก์เสียค่าอ้างเอกสารไม่ครบ ไม่ปรากฏว่าโจทก์จงใจฝ่าฝืนไม่เสียเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้โจทก์เสียให้ครบและโจทก์เสียครบแล้ว ก็รับฟังเอกสารทั้งหมดเป็นพยานได้
ตัวโจทก์มิได้มาเบิกความเป็นพยาน แต่บุตรโจทก์มาเบิกความในฐานะเป็นพยานโจทก์โดยเป็นผู้รู้เห็นเรื่องราวที่เบิกความเอง ดังนี้ บุตรโจทก์หาใช่เบิกความเป็นพยานแทนตัวโจทก์ไม่ คำของบุตรโจทก์จึงรับฟังเป็นพยานได้ตามกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1626/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเสียค่าอ้างเอกสารและการรับฟังพยานหลักฐาน ศาลต้องรับฟังหากชำระก่อนมีคำพิพากษา
โจทก์ผู้อ้างพยานเอกสารมิได้เสียค่าอ้างเอกสารภายในกำหนด 3 วันตามคำสั่งศาลชั้นต้น แต่ได้เสียก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษา ดังนี้ศาลจะตัดไม่รับฟังพยานเอกสารของโจทก์ไม่ได้