คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 86

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 621 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3923/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอฟังว่าจำเลยสนับสนุนการพยายามฆ่า และไม่มีส่วนร่วมในความผิดฐานมีอาวุธปืน จึงยกฟ้อง
ผู้เสียหาย ส. และ ป. ประจักษ์พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า จำหน้าคนร้ายได้และยืนยันว่าจำเลยทำหน้าที่เป็นคนขับรถจักรยานยนต์ แต่มิใช่คนร้ายที่ไล่ยิงผู้เสียหาย โดยขณะเกิดเหตุจำเลยยังคงนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับมาและขณะนั้นได้ดับเครื่องรถตลอดเวลาด้วย ทั้งผู้เสียหายเบิกความว่า เมื่อถูกยิง1 นัดแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีคนร้ายไล่ตามมาทำร้ายอีก และไม่เห็นคนร้ายและจำเลยร่วมกันหลบหนีไปทางใด ลักษณะเช่นนี้เห็นได้ว่าจำเลยไม่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะช่วยเหลือพากันหลบหนีได้ทันที อีกทั้งผู้เสียหายกับจำเลยต่างไม่เคยรู้จักกันและไม่มีสาเหตุใด ๆ ต่อกันมาก่อน เมื่อจำเลยถูกจับกุมก็ได้แจ้งชื่อคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับนำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมคนร้ายจนสามารถยึดอาวุธปืนและรถจักรยานยนต์มาเป็นของกลางอีกด้วย รูปคดีทำให้มีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้ช่วยเหลือในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานสนับสนุนการมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 9 เดือน ฐานสนับสนุนการพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 4 เดือน 15 วัน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานสนับสนุนการพยายามฆ่าผู้อื่น ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 วรรคหนึ่ง 215 และ 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1950/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานสนับสนุนการปล้นทรัพย์ข้ามชาติ เจ้าพนักงานตำรวจมีหน้าที่ปราบปรามแต่กลับให้ความช่วยเหลือ
แม้จำเลยที่ 3 มิได้อยู่ในฐานะเป็นตัวการในการปล้นเงินที่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพราะขณะทำการปล้นจำเลยที่ 3 อยู่ที่ประเทศไทย แต่พฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 ที่ร่วมวางแผนปรึกษากับผู้ร่วมกระทำความผิดเพื่อจะไปปล้นเงินดังกล่าว และให้ความช่วยเหลือด้านอุปกรณ์ที่ใช้ในการปล้นแก่ตัวการก่อนการกระทำความผิด ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานปล้นทรัพย์
จำเลยที่ 6 ขับรถยนต์ไปส่งจำเลยที่ 1 กับพวกลงเรือข้ามฝั่งไปประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อไปปล้นเงินตามแผนการที่กำหนดไว้ ทั้งยังคอยอำนวยความสะดวกด้วยการไปรอรับโบกเสื้อคลุมให้สัญญาณภายหลังที่จำเลยที่ 1 กับพวกกระทำการปล้นเงินแล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 6 ให้การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์แก่จำเลยที่ 1 กับพวกทั้งก่อนและหลังกระทำความผิด จำเลยที่ 6 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดฐานปล้นทรัพย์
จำเลยที่ 1 กับพวกได้ร่วมกันปล้นธนาคารในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แล้วพาทรัพย์หนีเข้ามาในประเทศไทย คณะกรรมการปกครองกำแพงนครเวียงจันทน์ได้แต่งตั้งเจ้าพนักงานตำรวจมาสมทบกับเจ้าพนักงานตำรวจของไทยเพื่อติดตามคนร้ายพร้อมของกลางมาลงโทษตามกฎหมาย เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้ได้รับการแต่งตั้งจากประเทศดังกล่าวได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดที่เป็นคนไทยต่อพันตำรวจเอก ส. หัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดหนองคายแล้ว ดังนั้นพนักงานสอบสวนที่ได้รับแต่งตั้งจากพันตำรวจเอก ส. ให้ทำการสอบสวนคดีนี้ จึงถือเป็นพนักงานสอบสวนซึ่งรัฐบาลประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้ร้องฟ้องให้ทำโทษผู้ต้องหา มีอำนาจสอบสวนในระหว่างรอฟังคำสั่งจากอัยการสูงสุดหรือผู้รักษาการแทนโดยต้องดำเนินการที่จำเป็นทุกอย่างเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหาย เมื่อต่อมาอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พลตำรวจตรี ห. เป็นพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบ การสอบสวนที่พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ย่อมถือว่าเป็นการสอบสวนโดยชอบไม่ต้องคำนึงว่าพลตำรวจตรี ห. ได้ปฏิบัติเกี่ยวกับการสอบสวนมาแล้วหรือไม่เพียงใด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
แม้เอกสารที่โจทก์อ้างส่งศาลมิได้ระบุไว้ในบัญชีพยานโจทก์อันไม่ถูกต้องตามกระบวนพิจารณาก็ตามแต่เอกสารที่โจทก์อ้างส่งศาลคดีนี้ โจทก์เพียงใช้ประกอบคำเบิกความของพยานบุคคลซึ่งได้ระบุไว้ในบัญชีพยานโจทก์ จำเลยที่ 2 มีโอกาสซักค้านพยานบุคคลของโจทก์ที่เกี่ยวกับเอกสารทุกฉบับที่โจทก์อ้างส่งศาลได้อยู่แล้ว ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 เสียเปรียบหรือหลงผิดในการต่อสู้คดี เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลย่อมมีอำนาจรับฟังพยานเอกสารเช่นว่านี้ได้เพราะเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1394/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้สนับสนุนการส่งยาเสพติดข้ามชาติ: การปรับบทลงโทษตาม พ.ร.บ. มาตรการปราบปรามยาเสพติด
การที่จำเลยที่ 3 เป็นล่ามให้จำเลยที่ 6 ในการติดต่อ ซื้อเฮโรอีนของกลาง โดยจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 6 นั่งเรือหางยาว พร้อมกันไปขึ้นเรือของกลาง เมื่อเรือของกลางแล่นไปใน ทะเลได้ประมาณ 1 ชั่วโมง ได้มีเรือหางยาวนำเฮโรอีนของกลาง บรรจุห่อ พี.วี.ซี.3 ท่อน และใส่กระสอบปุ๋ยนำมาขึ้นเรือ ของกลาง จำเลยที่ 3 กับพวกก็ช่วยกันขนเฮโรอีน ของกลางขึ้นเรือของกลาง จำเลยที่ 6 เป็นชาวไต้หวันมีวิทยุมือถือ 1 เครื่องน่าเชื่อว่ามีไว้เพื่อติดต่อกับพวกในการนำเฮโรอีนออกนอก ราชอาณาจักรไทย และการที่ จ. ผู้ควบคุมเรือของกลางเตรียมเสบียงอาหารไว้รับประทานขณะเดินทางในทะเลเป็นเวลานาน ถึงหนึ่งเดือนและมีน้ำมันโซล่า ถังละประมาณ 200 ลิตร มีจำนวน มากถึง 25 ถัง ทั้งสภาพของเรือเป็นเรือประมงใช้สำหรับหาปลา ในทะเลมิใช่เรือสำหรับใช้ท่องเที่ยว แสดงว่าจำเลยที่ 6 กับ จำเลยที่ 4และพวกเตรียมขนเฮโรอีนของกลางจำนวนมากเดินทาง ออกนอกราชอาณาจักรไทยไปยังเกาะไต้หวันซึ่งเป็นดินแดนที่จำเลยที่ 6 พักพำ นักอยู่หรือประเทศใกล้เคียง ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 6 กับพวกจะจำหน่ายเฮโรอีนให้แก่ลูกค้าภายในประเทศไทย จำเลยที่ 6 กับพวกได้นำเฮโรอีนของกลางบรรทุกในเรือและอยู่ในระหว่างการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรแต่ยัง ไม่พ้นน่านน้ำไทย จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 และที่ 6 กับพวกร่วมกัน พยายามส่งเฮโรอีนของกลางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก ในการที่จำเลยที่ 4 และที่ 6 กับพวกกระทำความผิดดังกล่าว ก่อนหรือขณะกระทำความผิด จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานเป็น ผู้สนับสนุน จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 แต่ตามมาตรา 6(1) แห่งพระราชบัญญัติ มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 เป็นกฎหมายพิเศษ ซึ่งกำหนดโทษให้ผู้สนับสนุนหรือ ช่วยเหลือผู้กระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิดต้องระวางโทษ เช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น บทบัญญัติตาม มาตรา 6(1) จึงเป็นกฎหมายที่เป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 3 อันมีผลทำให้ จำเลยที่ 3 ต้องได้รับโทษสูงขึ้นกว่าการเป็นผู้สนับสนุน โดยทั่วไป จึงต้องตีความโดยเคร่งครัด แม้โจทก์จะอ้างว่า จำเลยที่ 3 เป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดกับจำเลยอื่น แต่โจทก์ก็มิได้อ้างมาตรา 6(1) ตามกฎหมายดังกล่าวมาในคำขอ ท้ายฟ้อง ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษตามบทบัญญัติ มาตราดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ ดังนั้น หาใช่ต้องปรับบทลงโทษจำเลยที่ 3 ตามมาตรา 6(1) แห่งพระราชบัญญัติ มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ ด้วยไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1285/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยที่ 1 ขับรถส่งจำเลยที่ 2 ไปปล้นทรัพย์ ศาลฎีกาตัดสินว่ามีความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิด
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะพาจำเลยที่ 2 ผ่านหน้าบ้านผู้เสียหายไปประมาณ 300 เมตร แล้วจอดรถให้จำเลยที่ 2กับพวกลงจากรถเดินย้อนกลับไปปล้นทรัพย์ที่บ้านผู้เสียหายส่วนจำเลยที่ 1 ขับรถอ้อมไปอีกทางไปจอดรถรอรับจำเลยที่ 2กับพวกห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 1 กิโลเมตร หลังจากจำเลยที่ 2กับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแล้วได้มาขึ้นรถจำเลยที่ 1ตามที่นัดแนะกันไว้ จากนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถพาจำเลยที่ 2กับพวกหลบหนีไป แต่ขณะจำเลยที่ 2 กับพวกทำการปล้นทรัพย์อยู่ที่บ้านผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 อยู่ระหว่างขับรถอ้อมมาและจอดรถห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 1 กิโลเมตรจำเลยที่ 1 ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 2 กับพวกได้จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 2 กับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 กับพวกในการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายก่อนกระทำความผิด จำเลยที่ 1จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เท่านั้น และเมื่อจำเลยที่ 1ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2 กับพวกมีอาวุธติดตัวไปด้วย จึงไม่อาจ ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองได้ จำเลยที่ 1 คงมีความผิดตาม มาตรา 340 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 เพียงขับรถมาส่งจำเลยที่ 2 กับพวกห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 300 เมตร แล้วขับรถอ้อมไปจอดรอรับจำเลยที่ 2 กับพวกห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ1 กิโลเมตร จึงเป็นเพียงการใช้ยานพาหนะเพื่อให้พ้นการจับกุมเท่านั้นจำเลยที่ 1 มิได้ใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดด้วยแม้ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ยกขึ้นฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1285/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการปล้นทรัพย์: การกระทำที่เกินกว่าการช่วยเหลือเพื่อให้พ้นการจับกุม
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะพาจำเลยที่ 2 ผ่านหน้าบ้านผู้เสียหายไปประมาณ 300 เมตร แล้วจอดรถให้จำเลยที่ 2 กับพวกลงจากรถเดินย้อนกลับไปปล้นทรัพย์ที่บ้านผู้เสียหาย ส่วนจำเลยที่ 1 ขับรถอ้อมไปอีกทางไปจอดรถรอรับจำเลยที่ 2 กับพวกห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 1 กิโลเมตรหลังจากจำเลยที่ 2 กับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแล้วได้มาขึ้นรถจำเลยที่ 1 ตามที่นัดแนะกันไว้ จากนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถพาจำเลยที่ 2 กับพวกหลบหนีไป แต่ขณะจำเลยที่ 2 กับพวกทำการปล้นทรัพย์อยู่ที่บ้านผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 อยู่ระหว่างขับรถอ้อมมาและจอดรถห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 1 กิโลเมตร จำเลยที่ 1ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 2 กับพวกได้ จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 2 กับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1เป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 กับพวกในการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายก่อนกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวตาม ป.อ.มาตรา 86 เท่านั้น และเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2 กับพวกมีอาวุธติดตัวไปด้วย จึงไม่อาจปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามป.อ.มาตรา 340 วรรคสองได้ จำเลยที่ 1 คงมีความผิดตามมาตรา 340 วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ 1 เพียงขับรถมาส่งจำเลยที่ 2 กับพวกห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 300 เมตร แล้วขับรถอ้อมไปจอดรอรับจำเลยที่ 2 กับพวกห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 1 กิโลเมตร จึงเป็นเพียงการใช้ยานพาหนะเพื่อให้พ้นการจับกุมเท่านั้นจำเลยที่ 1 มิได้เป็นการใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดด้วยแม้ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยที่ 1จะไม่ได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสองประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1285/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการสนับสนุนการปล้นทรัพย์ ศาลฎีกาแก้ไขโทษจำเลยที่ 1 เป็นผู้สนับสนุนฯ ลดบทลงโทษ
จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะพาจำเลยที่ 2 ผ่านหน้าบ้านผู้เสียหายไปประมาณ 300 เมตร แล้วจอดรถให้จำเลยที่ 2 กับพวกลงจากรถเดินย้อนกลับไปปล้นทรัพย์ที่บ้านผู้เสียหาย ส่วน จำเลยที่ 1 ขับรถอ้อมไปอีกทางไปจอดรถรอรับจำเลยที่ 2 กับพวก ห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ 1 กิโลเมตร หลังจากจำเลยที่ 2 กับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแล้วได้มาขึ้นรถจำเลยที่ 1 ตามที่ นัดแนะกันไว้ จากนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถพาจำเลยที่ 2 กับพวก หลบหนีไปแต่ขณะจำเลยที่ 2 กับพวกทำการปล้นทรัพย์อยู่ที่ บ้านผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 อยู่ระหว่างขับรถอ้อมมาและจอดรถห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 1 กิโลเมตร จำเลยที่ 1ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 2 กับพวกได้ จึง ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 2กับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นเพียง การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 2 กับพวกในการ ปล้นทรัพย์ผู้เสียหายก่อนกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงมีความผิด ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เท่านั้น และเมื่อจำเลยที่ 1ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2 กับพวกมีอาวุธติดตัวไปด้วย จึงไม่อาจ ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสองได้ จำเลยที่ 1 คงมีความผิดตามมาตรา 340 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 เพียงขับรถมาส่งจำเลยที่ 2 กับพวกห่างบ้าน ผู้เสียหายประมาณ 300 เมตร แล้วขับรถอ้อมไปจอดรอรับจำเลยที่ 2 กับพวกห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นเพียง การใช้ยานพาหนะเพื่อให้พ้นการจับกุมเท่านั้น จำเลยที่ 1 มิได้ ใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดด้วย แม้ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสีย ให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการกระทำความผิดทางอาญา: ผู้ใช้/ผู้สนับสนุน vs. ผู้ร่วมกระทำความผิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับ ด.ร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแต่ข้อเท็จจริงในทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่า ในขณะที่ ด.จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้สายลับผู้ล่อซื้อ จำเลยไม่ได้อยู่ร่วมด้วย โดยในขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่บ้านเพื่อนของจำเลย แต่จำเลยได้มอบเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ให้ ด.จำหน่ายให้สายลับผู้ล่อซื้อ อันเป็นการใช้หรือก่อให้ ด.กระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 84 ดังนี้จำเลยจึงมิใช่ผู้ร่วมกับ ด.กระทำการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นความผิดตามมาตรา 83 ที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งเป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญ ย่อมลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้ใช้ให้ ด.กระทำการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ได้ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา192 วรรคสอง การที่จำเลยมอบเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ให้ ด.เพื่อจำหน่ายถือได้ว่าเป็นการกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ ด.กระทำการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ และเป็นการให้ความสะดวกก่อนหรือขณะที่ ด.กระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 86 ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ตามที่ทางพิจารณาได้ความนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้สนับสนุนการกระทำความผิดยาเสพติด: การมอบยาให้ผู้อื่นจำหน่าย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับ ด. ร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแต่ข้อเท็จจริงในทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่า ในขณะที่ ด. จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้สายลับผู้ล่อซื้อ จำเลยไม่ได้อยู่ ร่วมด้วย โดยในขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่บ้านเพื่อนของจำเลย แต่จำเลยได้มอบเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ให้ ด. จำหน่ายให้สายลับผู้ล่อซื้อ อันเป็นการใช้หรือก่อให้ ด. กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 ดังนี้ จำเลยจึงมิใช่ผู้ร่วม กับ ด.กระทำการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นความผิดตามมาตรา 83 ที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งเป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญ ย่อมลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้ใช้ให้ ด.กระทำการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง การที่จำเลยมอบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ไว้ให้ ด. เพื่อจำหน่ายถือได้ว่าเป็นการกระทำด้วยประการใด ๆอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ ด. กระทำการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ และเป็นการ ให้ความสะดวกก่อนหรือขณะที่ ด.กระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ตามที่ทางพิจารณาได้ความนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 70/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่มิชอบ, ทำไม้ผิดกฎหมาย, และความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน
ป่าไม้เขตได้ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นเจ้าหน้าที่คัดเลือกไม้ที่ไม่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจประเภทไม้แก่จัดมีขนาดโตเกินขนาดจำกัดมากและอยู่ในวัยเสื่อมโทรมหรือยอดไม่สมบูรณ์และให้ตีตราคัดเลือกอนุญาตให้ตัดฟันไม้เพื่อบำรุงป่า หรือ บร. กับทำบัญชีคัดเลือกไม้เสนอผู้บังคับบัญชาแล้วป่าไม้เขตจะได้ประมูลหาผู้รับจ้างตัดโค่นและซื้อไม้ดังกล่าว โดยแต่งตั้งให้จำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 และที่ 11 ถึงที่ 15ไปทำการตรวจวัดตีตรารัฐบาลขาย หรือ รข.เป็นการอนุญาตให้ชักลากไม้ได้ โดยจำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 และที่ 11 ถึงที่ 15จะต้องตีตราเฉพาะไม้ที่มีตรา บร. เท่านั้น และจะต้องตรวจดูว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตีตราต้นไม้ถูกต้องหรือไม่ หากไม่ถูกต้อง จะตีตรา รข. ไม่ได้ และจะต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แต่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 กลับตีตราไม้ที่ดีมีค่าทางเศรษฐกิจเป็นการขัดคำสั่ง ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เกิดความเสียหายแก่กรมป่าไม้และ รัฐเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำบัญชีสำรวจคัดเลือกตีตราไม้เสนอ ผู้บังคับบัญชา ซึ่งไม่เป็นความจริง จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารดังกล่าว จึงมีความผิดฐานรับรองเป็นหลักฐานว่าได้กระทำการตามที่ระบุในเอกสารขึ้นอันเป็นความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(1) จำเลยที่ 16 ซึ่งเป็นบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 17 เป็นกรรมการ ได้ทำสัญญาตัดฟันไม้และซื้อไม้เหล่านั้นกับกรมป่าไม้ โดยจำเลยที่ 16 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการตัดฟันไม้แทน และจำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 และที่ 11 ถึงที่ 15 ได้ตีตราไม้ที่ยังไม่มีตรา บร. แสดงว่าเป็นไม้ที่ยังไม่ได้รับการคัดเลือกจากจำเลยที่ 2ถึงที่ 4 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเกิดความเสียหายแก่กรมป่าไม้และรัฐตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157และการที่จำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 และที่ 11 ถึงที่ 15 เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำเอกสารได้ทำบัญชีรับรองเป็นหลักฐานว่าตน ได้ตีตรา รข. บนไม้ที่มีการคัดเลือกแล้วทุกต้น อันเป็นความเท็จ จำเลยที่ 5 ถึงที่ 9 และที่ 11 ถึงที่ 15 จึงมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162(1) ด้วย ขณะที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตีตรา บร. คัดเลือกไม้ที่จะทำการ โค่น จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ยังไม่ทราบว่าใครจะเป็นผู้ประมูล โค่นไม้และซื้อไม้ได้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 16 และ ที่ 17 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 1 ที่ 16 และที่ 17 ตัดโค่นไม้ที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ตีตราไว้ตามสัญญาจ้างตัดโค่นและขายไม้ที่ทำไว้ จำเลยที่ 1 ที่ 16 และที่ 17 จึงไม่เป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 และที่ 11 ถึงที่ 15 อย่างไรก็ดีปรากฏว่า ไม้ที่ตัดโค่นบางส่วนไม่มีตราของทางราชการใด ๆ เลย จำเลยที่ 1 ที่ 16 และที่ 17 จึงมีความผิดฐานร่วมกันทำไม้ และมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดย ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7279/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สนับสนุนการมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้ไม่มีตัวการ ศาลพิจารณาจากคำรับสารภาพและลดโทษได้
จำเลยยินยอมให้ พ. นำเฮโรอีนไปซุกซ่อนไว้ในที่ดินของจำเลยอันเป็นการให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ พ. กับพวกมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้โจทก์จะยังไม่ได้ฟ้อง พ. และยังไม่ได้ตัว น.ผู้ว่าจ้างให้ พ. ทำการซุกซ่อนเฮโรอีนมาดำเนินคดีก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยพ้นจากการเป็นผู้สนับสนุนไปได้
จำเลยกระทำความผิดต้องรับโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 โทษที่ศาลล่างทั้งสองวางลงโทษจำเลยจากฐานจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษต่ำสุดที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแล้ว จึงวางโทษจำคุกสถานเบากว่านี้อีกไม่ได้
คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนที่จำเลยให้การว่าได้อนุญาตให้ พ. นำเฮโรอีนไปซุกซ่อนในที่ดินของจำเลยเท่ากับจำเลยรับสารภาพในความผิดฐานสนับสนุนการมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและคำรับดังกล่าวนั้นได้ใช้ประกอบการวินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดอันเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของศาล จึงสมควรลดโทษให้จำเลย
of 63